โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
ผ่านไป 7 เดือนนับจากการประหารรัฐบาลนางปู ผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่เข้ามารับผิดชอบบ้านเมือง ดูเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว กิจกรรม พิธีกรรมเยอะ ดูสับสนอลหม่าน เหมือนสร้างความหวังว่าโลกสวยจริงรออยู่ไม่ไกล เมื่อชาวบ้านถูกจัดแถวให้เดินตามคำสั่งผู้นำ
เมื่อเพ่งพินิจผลที่ตามมา นอกจากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญเชิงโครงสร้างตามคำประกาศฟุ้ง โว โอ่ อ้าง มีโครงการกิจกรรมสร้างชาติสารพัดกรอกหูชาวบ้านให้เชื่อแล้ว ภาพแห่งเริ่มปรากฎว่าความทุกข์ยากลำบากต่างหากคือของแท้
ถ้าจะมีอะไรดีขึ้นในบ้านเมือง มีแต่ท่านผู้นำและพรรคพวกเท่านั้นที่เชื่อว่าโลกสวยเป็นความจริง ชาวบ้านทั่วไปห่วงใยอนาคตบ้านเมืองสงสัยหนักกว่าเดิมว่าโลกสวยที่เห็นนั้นเป็นมหกรรมลวงโลก เมื่อการป่าวร้องให้ชาวบ้านปรองดองเป็นเพียงม่านควัน
หลังม่านพรางตานั้น ภาพของพฤติกรรมเกี้ยเซียะต่อเนื่องกำลังเดินไปเป็นฉากๆ โดยการกำกับขับเคลื่อนของผู้มีอำนาจซึ่งพยายามเดินแผนแฝงเร้นไม่ให้ชาวบ้านรับรู้ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอำนาจการเมือง ต่อยอดการครอบงำเพื่อผลประโยชน์ชัดๆ
จากพฤติกรรม คำพูด ท่าทีลีลา แสดงให้เห็นว่าความกระมิดกระเมี้ยนแต่ก่อนของจอมทะเยอทะยานเริ่มหายไป เผยให้เห็นความผยองอำนาจ ความลืมตัว นึกว่าสภาวะจำยอมของประชาชนคือการยอมรับ เชื่อมั่นและศรัทธาในคณะผู้กุมอำนาจ
โดยหารู้ไม่ว่าสถานภาพที่แท้จริงเป็นอย่างที่ฝรั่งพูดเปรียบเปรยว่า “Give him enough rope, so that he can hang himself” หรือแปลเป็นไทยว่า “เอาเชือกให้มันเยอะๆ มันจะได้แขวนคอตัวเองได้ง่ายๆ” ทำให้พฤติกรรมเหลิงลำพองในอำนาจถูกมองด้วยความรู้สึกสมเพช
“ชะตาคนมิสู้ฟ้าลิขิต” สภาวะจำยอมภายไต้อำนาจนอกระบบ การที่ชาวบ้านต้องเผชิญกฎ ระเบียบเคร่งครัดภายไต้กฎอัยการศึก ประกาศควบคุมการทำงานของสื่อ การริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการแสดงออก เป็นเพียงตัวเร่งสู่จุดเปลี่ยนแปลง
อาการละล้าละลัง คำพูดห้าว กร้าว หวงอำนาจการควบคุมบังคับประชาชนเริ่มมีเสียงสั่นแฝงอยู่ เท่ากับว่าคำประกาศ “ผมไม่ทบทวน” คำขอให้ยกเลิกการควบคุมสื่อ กฎอัยการศึก ยืนยันชัดว่าคณะผู้กุมอำนาจจะอาศัยกฎเหล็กเพื่อกดหัวชาวบ้านต่อไป
มีเหตุผลง่ายๆ ต้องสร้างบรรยากาศปรองดอง หยุดความแตกแยก ทุกฝ่ายต้องมองโลกสวย เปิดทางให้ผู้มีอำนาจจัดการบริหารบ้านเมืองโดยไม่แยแสต่อเสียงเรียกร้องของคนดีให้จัดการวิกฤตอันเกิดจากความเสียหายโดยนักการเมืองกว่า 1 ล้านล้านบาทในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งควรถูกประเมินว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
หลังจากได้รับรู้ท่าที ผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันของคณะเสนาบดี มีแต่คำโว ไร้วิสัยทัศน์ อยู่ในสภาวะรัฐมนตรีโลกไม่รู้จักแล้ว ชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่าการวางก้ามของบางคนตั้งอยู่บนพื้นฐานของอะไร ชีวิตนี้ได้ทำอะไรให้บ้านเมืองจนน่าศรัทธายกย่องบ้าง
ถ้ามองอย่างง่ายๆ ชาวบ้านประเมินได้ว่าเสนาบดีส่วนใหญ่ไม่มีผลงานดีเด่นในชีวิต หลายคนหลงยุค พ้นสมัย มีประวัติด่างพร้อย มัวหมอง ไม่มีคำชื่นชมในเกียรติประวัติว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์ สุจริต ถูกสังคมระแวงว่าเป็นเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ด้วยซ้ำ
จอมทะเยอทะยานบางรายสำคัญตัวเองว่ามีอำนาจบารมีมากพอที่จะเป็นผู้นำรัฐบาล ถูกร่ำลือซุบซิบว่ากำลังวางแผนสร้างฐานการเมืองร่วมกับกลุ่มนักการเมืองกังฉินเงินหนา ต่อรองกับจอมโกงเพื่อใช้การเลือกตั้งเข้ามากุมอำนาจรัฐในลักษณะเกี้ยเซียะ
ประชาชนชุมนุมขับไล่นักการเมืองโฉดชั่วกังฉินยาวนานกว่า 7 เดือน ไม่ปรากฎว่ามีเสนาบดีหน้าไหนได้เข้าร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย โดนทุบตีเข่นฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มนักสังหารว่าจ้างโดยนักการเมืองชั่ว แต่นั่งเฝ้ารอจังหวะหาโอกาสชุบมือเปิบ
พวกนี้มีทั้งข้าราชการเกษียณอายุ คนว่างงาน ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ย่อมไม่มีวันจะได้รับเชิญมาเป็นเสนาบดี วางมาดเป็นเจ้านายประชาชน ใช้งบประมาณจากเงินภาษีประชาชนเสวยสุขจากการเดินทางไปเมืองนอกติดต่อเร้นลับกับกลุ่มกังฉินกินเมือง
เมื่อเข้ามาสวมหัวโขนจึงลืมตัว นึกว่าเป็นผู้กุมชะตากรรมประเทศ ไม่ต่างจากคางคกขึ้นวอ สวมหัวโขนแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีพฤติกรรมดีงาม ชาวบ้านอยากถามต่อหน้าว่ามาจากไหน มีสิทธิอะไรมาสั่งประชาชนให้ทำโน่นนี่นั่น
เมื่อรับรู้ความเสียหายค้างคาหลายแสนล้านบาทยังไม่คิดชำระสะสาง จัดการให้คนชั่วได้รับโทษ ถึงวันตัวเองสิ้นอำนาจ ตกกระป๋องไปแล้ว จะแอ่นอกรับผิดชอบอะไร นอกจากนั้นยังคิดออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมของประชาชนเพื่อรักษาอำนาจ กำหนดโทษทั้งจำคุกและปรับ ถ้าประชาชนละเมิดกฎ เริ่มออกลายเผด็จการย้อนยุค
ชาวบ้านขอบอกว่าถ้าถึงวาระต้องละเมิดกฎหมายการชุมนุมขับไล่รัฐบาล ไม่มีพฤติกรรมใดร้ายแรงมีโทษหนักกว่าการรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาการชุมนุมประท้วงของประชาชนไม่เคยสำเร็จถึงขั้นยึดอำนาจรัฐฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งสักครั้ง
ประชาชนมีแต่สละเวลา ทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิต ในการรวมตัวกันยืดเยื้อขับไล่นักการเมืองชั่วร้ายกังฉิน เรียกร้องรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกติกาแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ไม่เคยได้เข้ากุมอำนาจรัฐบาล
หลังการชุมนุมของประชาชน จะมีแต่นักชุบมือเปิบจัดกลุ่มเข้าไปเสวยสุข แบ่งปันผลประโยชน์สร้างความมั่งคั่ง แก่งแย่งกันโกงจนถูกประท้วงขับไล่ รัฐประหาร กลายเป็นวัฎจักรชั่วร้าย วงจรอุบาทว์ ลืมคำมั่นและภารกิจว่าจะฟื้นฟูบ้านเมืองตามคำโว ฟุ้ง
สภาพเช่นนี้ บอกได้ว่า “ไปลำบากจริงๆ” เว้นแต่จะยังดันทุรัง กลัวตกกระป๋อง! คลื่นไต้น้ำ ภาวะกระเพื่อม การท้าทายอำนาจ กระแสของความไม่พอใจต่อการใช้อำนาจ การจัดการงานต่างๆ ผิดรูปแบบ ได้ส่อแววว่าผู้นำเริ่มอยู่ในอาการ “เอาไม่อยู่”
วิกฤตเศรษฐกิจ การขาดความจริงใจ มีแต่ความล้มเหลวในการจัดการปัญหา มุ่งแต่การปรองดองจอมปลอมแฝงเร้นเจรจาต่อรองเกี้ยเซียะ ไม่แยแส เห็นหัวประชาชนจนอยู่ในสภาวะขาลงรวดเร็วแบบนี้ อย่าประหลาดใจถ้ามีเหตุพลิกผันขั้วอำนาจกระทันหัน
บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า “It is not over until it is over” “มันยังไม่จบ จนกว่าจะจบ” และจุดจบคาดหมายได้นี้น่าจะนำไปสู่ยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ ไม่ใช่โลกยูโทเปียแน่ๆ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
ผ่านไป 7 เดือนนับจากการประหารรัฐบาลนางปู ผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่เข้ามารับผิดชอบบ้านเมือง ดูเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว กิจกรรม พิธีกรรมเยอะ ดูสับสนอลหม่าน เหมือนสร้างความหวังว่าโลกสวยจริงรออยู่ไม่ไกล เมื่อชาวบ้านถูกจัดแถวให้เดินตามคำสั่งผู้นำ
เมื่อเพ่งพินิจผลที่ตามมา นอกจากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญเชิงโครงสร้างตามคำประกาศฟุ้ง โว โอ่ อ้าง มีโครงการกิจกรรมสร้างชาติสารพัดกรอกหูชาวบ้านให้เชื่อแล้ว ภาพแห่งเริ่มปรากฎว่าความทุกข์ยากลำบากต่างหากคือของแท้
ถ้าจะมีอะไรดีขึ้นในบ้านเมือง มีแต่ท่านผู้นำและพรรคพวกเท่านั้นที่เชื่อว่าโลกสวยเป็นความจริง ชาวบ้านทั่วไปห่วงใยอนาคตบ้านเมืองสงสัยหนักกว่าเดิมว่าโลกสวยที่เห็นนั้นเป็นมหกรรมลวงโลก เมื่อการป่าวร้องให้ชาวบ้านปรองดองเป็นเพียงม่านควัน
หลังม่านพรางตานั้น ภาพของพฤติกรรมเกี้ยเซียะต่อเนื่องกำลังเดินไปเป็นฉากๆ โดยการกำกับขับเคลื่อนของผู้มีอำนาจซึ่งพยายามเดินแผนแฝงเร้นไม่ให้ชาวบ้านรับรู้ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอำนาจการเมือง ต่อยอดการครอบงำเพื่อผลประโยชน์ชัดๆ
จากพฤติกรรม คำพูด ท่าทีลีลา แสดงให้เห็นว่าความกระมิดกระเมี้ยนแต่ก่อนของจอมทะเยอทะยานเริ่มหายไป เผยให้เห็นความผยองอำนาจ ความลืมตัว นึกว่าสภาวะจำยอมของประชาชนคือการยอมรับ เชื่อมั่นและศรัทธาในคณะผู้กุมอำนาจ
โดยหารู้ไม่ว่าสถานภาพที่แท้จริงเป็นอย่างที่ฝรั่งพูดเปรียบเปรยว่า “Give him enough rope, so that he can hang himself” หรือแปลเป็นไทยว่า “เอาเชือกให้มันเยอะๆ มันจะได้แขวนคอตัวเองได้ง่ายๆ” ทำให้พฤติกรรมเหลิงลำพองในอำนาจถูกมองด้วยความรู้สึกสมเพช
“ชะตาคนมิสู้ฟ้าลิขิต” สภาวะจำยอมภายไต้อำนาจนอกระบบ การที่ชาวบ้านต้องเผชิญกฎ ระเบียบเคร่งครัดภายไต้กฎอัยการศึก ประกาศควบคุมการทำงานของสื่อ การริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการแสดงออก เป็นเพียงตัวเร่งสู่จุดเปลี่ยนแปลง
อาการละล้าละลัง คำพูดห้าว กร้าว หวงอำนาจการควบคุมบังคับประชาชนเริ่มมีเสียงสั่นแฝงอยู่ เท่ากับว่าคำประกาศ “ผมไม่ทบทวน” คำขอให้ยกเลิกการควบคุมสื่อ กฎอัยการศึก ยืนยันชัดว่าคณะผู้กุมอำนาจจะอาศัยกฎเหล็กเพื่อกดหัวชาวบ้านต่อไป
มีเหตุผลง่ายๆ ต้องสร้างบรรยากาศปรองดอง หยุดความแตกแยก ทุกฝ่ายต้องมองโลกสวย เปิดทางให้ผู้มีอำนาจจัดการบริหารบ้านเมืองโดยไม่แยแสต่อเสียงเรียกร้องของคนดีให้จัดการวิกฤตอันเกิดจากความเสียหายโดยนักการเมืองกว่า 1 ล้านล้านบาทในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งควรถูกประเมินว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
หลังจากได้รับรู้ท่าที ผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันของคณะเสนาบดี มีแต่คำโว ไร้วิสัยทัศน์ อยู่ในสภาวะรัฐมนตรีโลกไม่รู้จักแล้ว ชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่าการวางก้ามของบางคนตั้งอยู่บนพื้นฐานของอะไร ชีวิตนี้ได้ทำอะไรให้บ้านเมืองจนน่าศรัทธายกย่องบ้าง
ถ้ามองอย่างง่ายๆ ชาวบ้านประเมินได้ว่าเสนาบดีส่วนใหญ่ไม่มีผลงานดีเด่นในชีวิต หลายคนหลงยุค พ้นสมัย มีประวัติด่างพร้อย มัวหมอง ไม่มีคำชื่นชมในเกียรติประวัติว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์ สุจริต ถูกสังคมระแวงว่าเป็นเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ด้วยซ้ำ
จอมทะเยอทะยานบางรายสำคัญตัวเองว่ามีอำนาจบารมีมากพอที่จะเป็นผู้นำรัฐบาล ถูกร่ำลือซุบซิบว่ากำลังวางแผนสร้างฐานการเมืองร่วมกับกลุ่มนักการเมืองกังฉินเงินหนา ต่อรองกับจอมโกงเพื่อใช้การเลือกตั้งเข้ามากุมอำนาจรัฐในลักษณะเกี้ยเซียะ
ประชาชนชุมนุมขับไล่นักการเมืองโฉดชั่วกังฉินยาวนานกว่า 7 เดือน ไม่ปรากฎว่ามีเสนาบดีหน้าไหนได้เข้าร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย โดนทุบตีเข่นฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มนักสังหารว่าจ้างโดยนักการเมืองชั่ว แต่นั่งเฝ้ารอจังหวะหาโอกาสชุบมือเปิบ
พวกนี้มีทั้งข้าราชการเกษียณอายุ คนว่างงาน ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ย่อมไม่มีวันจะได้รับเชิญมาเป็นเสนาบดี วางมาดเป็นเจ้านายประชาชน ใช้งบประมาณจากเงินภาษีประชาชนเสวยสุขจากการเดินทางไปเมืองนอกติดต่อเร้นลับกับกลุ่มกังฉินกินเมือง
เมื่อเข้ามาสวมหัวโขนจึงลืมตัว นึกว่าเป็นผู้กุมชะตากรรมประเทศ ไม่ต่างจากคางคกขึ้นวอ สวมหัวโขนแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีพฤติกรรมดีงาม ชาวบ้านอยากถามต่อหน้าว่ามาจากไหน มีสิทธิอะไรมาสั่งประชาชนให้ทำโน่นนี่นั่น
เมื่อรับรู้ความเสียหายค้างคาหลายแสนล้านบาทยังไม่คิดชำระสะสาง จัดการให้คนชั่วได้รับโทษ ถึงวันตัวเองสิ้นอำนาจ ตกกระป๋องไปแล้ว จะแอ่นอกรับผิดชอบอะไร นอกจากนั้นยังคิดออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมของประชาชนเพื่อรักษาอำนาจ กำหนดโทษทั้งจำคุกและปรับ ถ้าประชาชนละเมิดกฎ เริ่มออกลายเผด็จการย้อนยุค
ชาวบ้านขอบอกว่าถ้าถึงวาระต้องละเมิดกฎหมายการชุมนุมขับไล่รัฐบาล ไม่มีพฤติกรรมใดร้ายแรงมีโทษหนักกว่าการรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาการชุมนุมประท้วงของประชาชนไม่เคยสำเร็จถึงขั้นยึดอำนาจรัฐฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งสักครั้ง
ประชาชนมีแต่สละเวลา ทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิต ในการรวมตัวกันยืดเยื้อขับไล่นักการเมืองชั่วร้ายกังฉิน เรียกร้องรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกติกาแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ไม่เคยได้เข้ากุมอำนาจรัฐบาล
หลังการชุมนุมของประชาชน จะมีแต่นักชุบมือเปิบจัดกลุ่มเข้าไปเสวยสุข แบ่งปันผลประโยชน์สร้างความมั่งคั่ง แก่งแย่งกันโกงจนถูกประท้วงขับไล่ รัฐประหาร กลายเป็นวัฎจักรชั่วร้าย วงจรอุบาทว์ ลืมคำมั่นและภารกิจว่าจะฟื้นฟูบ้านเมืองตามคำโว ฟุ้ง
สภาพเช่นนี้ บอกได้ว่า “ไปลำบากจริงๆ” เว้นแต่จะยังดันทุรัง กลัวตกกระป๋อง! คลื่นไต้น้ำ ภาวะกระเพื่อม การท้าทายอำนาจ กระแสของความไม่พอใจต่อการใช้อำนาจ การจัดการงานต่างๆ ผิดรูปแบบ ได้ส่อแววว่าผู้นำเริ่มอยู่ในอาการ “เอาไม่อยู่”
วิกฤตเศรษฐกิจ การขาดความจริงใจ มีแต่ความล้มเหลวในการจัดการปัญหา มุ่งแต่การปรองดองจอมปลอมแฝงเร้นเจรจาต่อรองเกี้ยเซียะ ไม่แยแส เห็นหัวประชาชนจนอยู่ในสภาวะขาลงรวดเร็วแบบนี้ อย่าประหลาดใจถ้ามีเหตุพลิกผันขั้วอำนาจกระทันหัน
บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า “It is not over until it is over” “มันยังไม่จบ จนกว่าจะจบ” และจุดจบคาดหมายได้นี้น่าจะนำไปสู่ยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ ไม่ใช่โลกยูโทเปียแน่ๆ