“ประยุทธ์” ถึงไทย ยันไม่มีม็อบประท้วงที่อิตาลี ส่วนนายกฯอังกฤษ ไม่มีปัญหาคดีเกาะเต่า แต่จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการดำเนินคดี นักข่าวอาวุโสวิจารณ์การทำงานไม่ติดใจ เพราะเป็นเมียนายทหารรุ่นพี่ บอกทำดีไม่ต้องกลัวใครไล่ ปัดแวะดูไบพบ “นช.แม้ว”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากการร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ที่สนามบินสุวรรณภูมิว่า การเดินทางไปครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทุกประเทศได้ให้เกียรติประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ไม่มีการรังเกียจ รังงอนแต่อย่างใด
สำหรับการสร้างความเข้าใจกับสื่อต่างชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในของประเทศไทยให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องนั้น สื่อของไทยก็ต้องช่วยตนในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง บางครั้งสื่อต่างชาติก็นำข้อมูลจากสื่อไทยไปเผยแพร่ ตนเองก็เคยเชิญสื่อต่างชาติมาทำความเข้าใจแล้ว และเขาก็บอกเข้าใจดี
“ผมไม่ได้ห้ามการนำเสนอข่าว สื่อยังสามารถเสนอข้อเท็จจริงได้ แต่แค่เขียนปัญหาที่เกิดขึ้นเสนอออกไปนิดหน่อยก็แย่แล้ว หากมีการพูดอะไรที่เกินเลยไป ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม หลักการของผม ไม่ต้องการควบคุมสื่อ ที่ผมไปต่างประเทศครั้งนี้ ไปบอกว่าเราต้องการยุติความขัดแย้งให้เกิดความมั่นคง เดินหน้าเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ส่วนสถานการณ์ในไทยขอให้เป็นเรื่องภายในของเราเอง ให้เวลากับเราในการแก้ปัญหา ผมพูดไปเขาก็ตอบรับว่าเข้าใจ ไม่เห็นมาไล่ถามอะไร”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ ให้คะแนนความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ นายกฯกล่าวว่า ตนคงตอบเองไม่ได้ พร้อมกับหันไปถาม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ โดย พล.อ.ธนศักดิ์ พยักหน้าตอบว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนายกฯ กล่าวต่อว่า ทริปนี้ถือเป็นทริปแรกที่ตนเดินทางไปต่างประเทศ ทุกคนก็เป็นห่วงว่าจะดีหรือไม่ และจะได้รับการตอบรับหรือเปล่า ซึ่งก่อนเดินทาง ทางกระทรวงการต่างประเทศก็ได้เดินทางไปล่วงหน้าแล้วเพื่อสร้างความเข้าใจ ตนไปก็สบายใจไม่ติดขัดอะไรเลย และคำว่า 100 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องของการประชุมด้วยหลักการความร่วมมือและตกลงกันว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป ไม่ใช้ 100 เปอร์เซ็นต์จะได้หรือเสียอะไรมันคนละเรื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าวันนี้ ที่มาของนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่อุปสรรค์ต่อการไปหารือร่วมกับต่างประเทศใช้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันอยู่ที่การสร้างความเข้าใจ สิ่งที่ตนทำเพื่อแสดงออกให้เห็นว่าเราใช้ทุกอย่าง อย่างสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา เตรียมการทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย และการปฏิรูปต่างๆ เพื่อส่งต่อรัฐบาลต่อไป แต่สิ่งที่ออกมาคงไม่มีใครได้ทั้งหมด ต้องเฉลี่ยให้ได้ความเป็นธรรม นั้นคือหลักของกฎหมาย ผิดก็ต้องผิดถูกก็ต้องถูก รวมถึงต้องให้การคุ้มครองคนมีรายได้น้อย แต่ก็ต้องให้ความเชื่อมั่นสำหรับคนที่มีรายได้สูงด้วย ไม่เช่นนั้นจะเข้าหากันไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งถึงกรณีนางยุวดี ธัญสิริ นักข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ให้สัมภาษณ์ตำหนินายกฯ มีอคติ ไม่เหมาะเป็นนายกรัฐมนตรีว่า อ่านคำให้สัมภาษณ์แล้ว
เมื่อถามว่า นายกฯต้องปรับตัวอะไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ผมต้องปรับตัวด้วยเหรอ ไม่บอก ท่านเป็นภริยารุ่นพี่ผม ถ้าท่านไม่เข้าใจผม ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ผมอธิบายท่านเข้าใจไหมละ ที่พูดไปทั้งหมดถ้าเป็นอย่างนี้ ผมอยู่ไม่ได้ เป็นรัฐบาลก็ผมจะอยู่ ทำไมละ ก็ทำงานยังไม่เสร็จ หรือจะให้ผมทิ้งตอนนี้ก็แล้วแต่ ด้วยความเคารพผมไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูใคร ผมก็พูดกับท่านดี แต่เวลาท่านเขียนผมก็ขอร้อง อย่าไปเปิดประเด็นต่อ ทำงานงกๆ อยู่ทุกวันไม่ได้หยุดเลย ผมคิดว่าเสียงเชียร์คือแรงใจ เสียงตำหนิคือแรงหนุนส่งให้เรามีแรงใจมากขึ้น ไม่ใช่เอาเรื่องทั้งหมดมาเป็นเครื่องบั่นทอนจิตใจตัวเอง ถ้าเราบั่นทอนก็ทำอะไรไม่ได้ ผมได้รับการสั่งสอน เรียนรู้จากทุกคนมา เมื่อไรก็ตามที่จิตใจเราตก เราต้องหาอะไรที่ทำให้จิตใจเราคึกคัก เอาสิ่งที่เราตั้งใจ สิ่งที่เป็นความดีของเรามาเติม แล้วอดทนทำต่อ ถ้าเราท้อถอยก็ไม่ต้องอะไรกันแล้ว”
พล..อ.ประยุทธ์ ร่ายยาวว่า คนไทยต้องรู้ ต้องช่วยเสริมกัน ถ้าใครรักประเทศชาติก็ต้องเสริมตน เพราะตั้งใจทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีอย่างอื่น ตนไม่อยากตำหนิใครทั้งสิ้น เป็นเรื่องของกระบวนการที่ว่ากันไป ถ้าเราไปทำอะไรมากก็ไม่จบ เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีก คดีความก็ว่ากันไป อย่าให้เกิดขึ้นอีก ตรงนี้คือสิ่งที่ตนทำ
“วันนี้รัฐบาลทำทุกมติ ตั้งแต่เอาแผนมาดูก็เดินตามนี้ ทำตามแผน จัดกลุ่มบูรณาการร่วมกัน ตรวจสอบการทุจริต วันนี้เหนื่อยเพราะต้องมีบูรณาการ ซึ่งตนบอกทุกส่วนราชการรายงานทุก 3 เดือน ต้องมีผลงาน ถ้าไม่มีผลงานก็ว่ากันไป ถือว่าไม่ช่วยเราในการขับเคลื่อน คงไม่ถึงฆ่าแกงกันหรอก”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ท้อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เคยท้อแท้ ถ้าท้อแท้คงไม่มีวันนี้ คงไปอยู่บ้านเลี้ยงหลาน วันนี้ตนเอาชีวิตเข้ามาแล้วต้องทำให้สำเร็จ ขอให้คนไทยทุกคนอย่างท้อแท้ เรายังมีความหวัง ทุกประเทศชื่นชมประเทศไทย เมื่อเรามีศักยภาพเขาก็พร้อมมาลงทุนประเทศ เขาอยากมาเพราะเป็นประเทศที่มีความงดงาม ชื่นชมความเป็นคนไทย แต่เสียดายเราขัดแย้งกันทำไม บางอย่างทำให้การลงทุนต้องหยุดชะงัก แต่เมื่อเราเข้ามาการลงทุนก็เกิดขึ้นมากมาย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เดี๋ยวจะมีการหารือว่าจะสร้างมาตรการอะไรให้ต่างประเทศมาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น ที่จะตรงกับความต้องการเรา ทั้งเรื่องพลังงาน แปรรูปอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การปรับปรุงเครื่องจักรโรงงาน ตนทำให้ประเทศชาติ ใครไม่ทำต่อก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ถ้าไม่เลือกคนที่ทำแบบนี้ แต่ไปเลือกคนที่มีปัญหาตลอด ก็ตามใจ เพราะคนไทยเลือกเอง
“ผมเคยพูดว่าคนไทยอย่าเป็นตัวเหมือนไก่ตรุษจีน ที่เวลาเขาเอาไปขายใส่เข่งไปให้คนเลือกซื้อ ถ้าคนทุกคนอยู่ในประเทศไทยแล้วทะเลาะกัน เหมือนไก่ที่จิกตีในสุ่ม พอเวลาตรุษจีนเขาก็เอาไปเชือดหมด ตายหมด เวลาผมพูดมีคำคม เขาสอน เขาแนะนำมันต้องดี มันอาจไม่ทันสมัย เอามาปรับให้ทันสมัย พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์นักพัฒนา ทำประเทศชาติหลุดพ้นจากข้างล่าง จนขึ้นมาระดับนี้ เราต้องเอาท่านมาเป็นแนวทาง ท่านไม่เคยสั่งใคร ที่ท่านลงพระนามเพราะเป็นกฎหมาย เพราะท่านให้พระราชอำนาจกับฝ่ายบริหารทำแล้ว ทั้งฝ่ายบริหาร นิตบัญญัติ ตุลาการ ซึ่งจะมีสองส่วนทั้งภาคการเมือง ช้าราชการ ที่จะขับเคลื่อนประเทศชาติไปอย่างไร เหมือนตอนที่ตนมาท่านก็พระราชทานอำนาจให้ตนมีอำนาจในการปกครอง มีพระราชดำริออกมา ใครทำก็ทำ ใครไม่ทำก็ตามใจ ท่านก็ทำเอง ในส่วนการเมืองรัฐบาลก็ทำต่อมา ทำจริง ไม่ทำจริง ทำมาก ทำน้อย ก็ว่ากันไป ที่บอกว่าชอบสอนนักข่าว ความจริงผมอธิบาย ถ้าผมไม่พูดก็ไม่ใครพูด ขัดแย้งกันไปเรื่อย ความพอเพียงคือความสำคัญในการดำรงชีวิตขณะนี้ มีมากใช้มาก เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน พวกที่จนหน่อยก็ต้องมาดูการใช้เงิน พอประมาณไหม มีเหตุมีผลหรือเปล่า ใช้เงินอย่าเกินตัว รวมถึงการยกระดับตัวเอง”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าไม่ดี เขียนข่าวไม่ว่า เพราะเป็นข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ใช่ข้อเท็จจริงจะไม่ให้โมโหได้อย่างไร เพราะตนทุ่มเท ที่ถามว่าท้อแท้ไหมบางเวลาก็มี แต่ก็ต้องฮึดขึ้นมาใหม่ ตนท้อแท้แค่วินาทีเดียว ต้องเอาแรงนี้มาเป็นแรงดันให้ขับเคลื่อน ถ้าเราแต่คำชมอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะทำให้เหริง มันอาจจะทำให้ตนรู้สึกว่าต้องทำให้มากกว่านี้ เพราะกำลังใจเยอะ ความคาดหวังเยอะ ฉะนั้นเมื่อเราทำอะไรที่เยอะ และก้าวกระโดดต้องมีปัญหาตามมาแน่นอน ประชาชนตอบรับได้ไหม ตรงนี้คือปัญหา และตนก็ไม่ได้กลัวว่าเขาจะมาไล่ผมเมื่อไร ขณะนี้ทำในสิ่งที่ตั้งใจก็จะแก้ปัญหาได้ ก็ไม่น่าถูกใครเขาไล่ ก็จะทำงานให้ประเทศไปถึงขั้นที่ 1 ให้ได้ ตนไม่ได้ต้องการมีอำนาจ ทหารมีอำนาจเพื่อการปกครองของพระราชา รัฐบาลมีอำนาจไว้เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ดูแลทุกข์สุขของคนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนดูแลเหมือนกัน อย่าให้ประชาชนขัดแย้ง ถ้าทุกคนอยู่กันเป็นสุข ด้วยความเข้าใจ รอกันบ้าง ประเทศก็จะไปได้ เราต้องเริ่มพัฒนาตัวเอง สร้างกระบวนการเรียนรู้ ทำสิ่งที่ดีต่อประเทศชาติ เรื่องของคนตนไปห้าม ไปบังคับให้ชอบใคร รักใครไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ระหว่างการประชุมผู้นำอาเซม ได้นั่งติดกับ นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จึงได้ถือโอกาสพูดคุยถึงคดีการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า โดยนายกฯอังกฤษ บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรกับกระบวนการยุติธรรมของไทย เพียงแต่คนอังกฤษที่ติดตามสื่อเกิดข้อสงสัย ซึ่งก็ได้ชี้แจงไปว่าไม่มีปัญหาอะไร เราทำตามหลักการกฎหมายทั้งสิ้น และเขาก็จะจัดผู้สังเกตการณ์มา ซึ่งวันนี้ก็มีอยู่แล้วโดยสถานทูตและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ข่าวคดีเกาะเต่า ที่ออกไปจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ตนไม่โทษใคร และเป็นเรื่องที่เราต้องสร้างความเข้าใจ สร้างมาตรฐานที่ดีให้ได้รับการยอมรับและต้องขอร้องสื่อมวลชนอย่างสร้างความขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกระแสข่าวแวะเมืองดูไบ แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมอาเซม ที่สาธารณรัฐอิตาลีที่มีกระแสข่าวว่า แวะทำไม เมื่อถามมาตนชี้แจงว่าไม่ได้แวะก็จบ และส่วนใหญ่ที่ต้องแวะดูไบเพราะไม่สามารถบินตรงได้ ต้องเติมเชื้อเพลิง ไม่ได้ใช้เส้นทางนั้น ตนบินตรงไปอิตาลีเลย นี้คือสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งหมด ไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน
พล.อ.ประยุทธ กล่าวถึงความคืบหน้าสรรหาคณะกรรมมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในส่วนคสช.และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การกำหนดสัดส่วนคำนึงเพื่อที่ให้ทำงานได้เร็วขึ้น และเพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้ทำงานในวันหน้า สำหรับสัดส่วนในคสช.และครม. นั้นยังไม่ถึงเวลา กำลังหากันอยู่ ต้องมีคณะทำงานหารือเพื่อให้ทั้งหมดเสริมกันได้ ไม่ใช่เอาทุกคนมาเป็นพวก เมื่อถามว่า มีชื่อในใจ แล้วหรือยัง นายกฯกล่าวว่า ในใจก็ในใจจะถามทำไม ยังไม่ขอเปิดเผย เพราะยังไม่ถึงเวลา ตั้งก็รู้เอง อย่าไปติติงให้มากนะ ดูว่าทำอะไรก่อน เขาไม่ได้ทำตามคำสั่งตน แต่ทำตามแนวคิดของเขา ซึ่งเราจะวางกรอบ เริ่มต้นให้เขาก่อน ส่วนเขาจะไปเลือกมาใหม่อย่างไรก็ตามใจเขา สภาปฏิรูปก็เหมือนกับสภาประชาชน ที่จัดผู้แทนเข้ามาครบหรือไม่ครบก็ไปตั้งที่ปรึกษาส่งเข้ามา ต้องช่วยกันแบบนี้ไม่ใช่ มาบอกว่า 250 คน เป็นพวกของคสช.หมด ตนจะไปพูดทำไม เพราะรู้ว่าตนสั่งไปก็เท่านั้น ให้เขาคิดมาตกลงกันให้ได้ ยอมรับกันให้ได้ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องปฏิรูปมันมีขั้นตอนว่าต้องทำอะไร รัฐธรรมนูญต้องทำอย่างไร การปฏิรูปต้องทำอย่างไรต่อ ประเทศชาติจะได้เดินไปข้างหน้า
นายกฯ กล่าวว่า ประเทศในยุโรปเขาปฏิรูปมาร้อยรอบแล้ว แต่เราปฏิรูปรอบที่หนึ่งก็จะตีกันตายอยู่แล้ว ปฏิรูปครั้งนี้ไม่ใช่ปฏิรูปในกระดาษเก็บในลิ้นชักไม่ใช่ ต้องเอาไปสู่การปฏิบัติเพราะมีรัฐบาล และมีอำนาจที่จะเป็นไปตามที่เขาสรุปมา เขาคงไม่เสนอปฏิรูปให้ประเทศถอยหลัง เขาต้องเขียนให้เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปข้างหน้า ปฏิรูปวันนี้ จะให้จบใน 6 วัน 10 วัน หรือปีหนึ่งไม่ได้ คนสำคัญเพราะมีความคิดและทัศนคติ กระบวนการสู่การเมืองสำคัญที่สุด เรื่องอื่นก็เดินตามสเต็ป ตนสั่งทุกกระทรวงให้ทำตามโครงสร้างเดิมให้ได้ก่อนไม่ต้องรอปฏิรูป ไม่ต้องไปทะเลาะเรื่องโครงสร้าง ไม่เช่นนั้นคงต้องยุบประเทศใหม่กลับย้อนไปอดีต มันพัฒนามาตลอด เผอิญวันนี้มีความขัดแย้งก็ต้องเอาความขัดแย้งมาดูว่ามีความขัดแย้งกันเรื่องอะไร ทำอะไรจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก ทำอย่างไรไม่ให้ประเทศชาติติดขัดแบบนี้อีก