(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Russia, Ebola, Nato and propaganda
By Brian Cloughley
05/11/2014
ความพยายามของสื่อมวลชนสหรัฐฯที่จะเชื่อมโยงรัสเซียเข้ากับการแพร่ระบาดของโรคอีโบลา เป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่าวอชิงตันกำลังเพิ่มความพยายามในการใช้อะไรก็ตามแต่ เพื่อมาต่อต้านขัดขวางอิทธิพลในระดับโลกของมอสโก สหรัฐฯกำลังมองว่า เป็นเรื่องสำคัญ หรือกระทั่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว ที่จะต้องป้องกันกีดกันไม่ให้รัสเซียสามารถพัฒนาเติบใหญ่ได้ และด้วยเหตุนี้จึงพร้อมจะใช้เล่ห์เพทุบายใดๆ ก็ตามที เพื่อสร้างภาพให้เห็นไปว่า แดนหมีขาวคือศัตรูของโลกเสรี
แจ๊กสัน เดห์ล (Jackson Diehl) เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหน้าบทนำ-ความเห็น ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และทำหน้าที่เขียนเรื่องทางด้านกิจการต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ความคิดเห็นของเขาจึงสามารถแพร่กระจายออกไปในวงกว้างไม่น้อย ปรากฏว่า 4 วันหลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไปกล่าวคำปราศรัยที่ “สโมสรวัลไดเพื่อการอภิปรายถกเถียงเรื่องระหว่างประเทศ (Valdai International Discussion Club) ณ เมืองโซชิ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม (โดยที่ในคำปราศรัยซึ่งได้รับการประเมินว่ามีความสำคัญมากคราวนี้นี่เอง ที่ ปูติน บอกว่า เขาปรารถนาที่จะเห็นสหรัฐฯ “อยู่ห่างๆ จากกิจการต่างๆ ของเรา และยุติการเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าพวกเขากำลังปกครองโลกอยู่”) เดห์ล ได้ประกาศว่า สิ่งที่ปูตินกล่าวในคราวนี้ คือ คำปราศรัยที่อุดมด้วย “ส่วนผสมของคำโกหกหลอกลวงและทฤษฎีสมคบคิดอันมีพิษร้าย ตลอดจนโวหารเผ็ดร้อนมุ่งต่อต้านสหรัฐฯ”
การวินิจฉัยของ เดห์ล ในครั้งนี้ ติดตามมาด้วยรายงานข่าวชิ้นหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีความแตกต่างตรงไหน จากความพยายามอย่างจงใจที่จะแพร่พิษร้าย หรือการเข้ามีส่วนร่วมในการสร้างทฤษฎีสมคบคิด ทั้งนี้รายงานข่าวชิ้นนี้มีจุดประสงค์ที่จะกล่าวหาว่า พวกห้องแล็ปด้านการวิจัยของรัสเซียนั้น มีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างชั่วร้ายมาก กับการระบาดของเชื้อไวรัสโรคอีโบลา ตอนหนึ่งของรายงาน เขียนเอาไว้อย่างน่าตื่นเต้น ดังนี้:
ในขณะที่โลกของเรากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรับมือกับวิกฤตโรคอีโบลา ซึ่งเป็นวิกฤตชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยอยู่นี้ พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาวุธหลายต่อหลายรายก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ปราการแห่งการรักษาความลับซึ่งปกคลุมอยู่รอบๆ ห้องแล็ปทางการวิจัยของรัสเซียเหล่านี้ กลับกำลังถูกขยายให้ใหญ่โตถมึงทึงมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงยิ่งกลายเป็นการโหมกระพือกระแสทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย ตลอดจนยิ่งเพิ่มความระแวงสงสัย
ทว่าข้อกล่าวหาอันนี้เอง กลับอยู่ในลักษณะหักมุมและกลายมาเป็นการสนับสนุนอย่างไม่ตั้งใจ ต่อข้อโต้แย้งของปูตินที่ว่า ในโลกตะวันตกนั้น “คุณสมบัติในเรื่องการวางตัวเป็นกลางปราศจากอคติ และการมุ่งแสวงหาความยุติธรรม ได้ถูกนำมาเซ่นสังเวยบนแท่นบูชาของความเหมาะสมทางการเมือง การตีความตามอำเภอใจและการประเมินอย่างมีอคติ ได้เข้าแทนที่บรรทัดฐานอันชอบธรรมตามกฎหมาย ในเวลาเดียวกันนั้น การมีอำนาจในการควบคุมสื่อมวลชนของโลกเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง ได้ทำให้เกิดความเป็นไปได้ขึ้นมาว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องการแล้ว โลกตะวันตกก็จะสามารถป้ายสีสิ่งที่เป็นสีขาวให้กลายเป็นสีดำ และฟอกสิ่งที่เป็นสีดำให้กลับกลายเป็นสีขาว”
ข้อสังเกตของเขานี้ ยิ่งดูแหลมคมหนักแน่นและน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาประกอบกับการเสนอข่าวในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมาของพวกสื่อมวลชนตะวันตก ในกรณีที่กล่าวหากันว่ารัสเซียส่งเครื่องบินทหารออกปฏิบัติการอย่างมากมายผิดสังเกต ตลอดทั่วทั้งแนวพรมแดนของแดนหมีขาว
ทั้งนี้รายงานข่าวของฝ่ายตะวันตกในวันที่ 30-31 ตุลาคมที่ผ่านมา ต่างพาดหัวข่าวชวนให้รู้สึกผิดปกติ โดยมีข้อความทำนองว่า “เครื่องบินทหารรัสเซีย ละเมิด [เน้นโดยผู้เขียนเอง]น่านฟ้ายุโรปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
“ละเมิด” น่านฟ้ายุโรปหรือ? ช่างไร้สาระน่าหัวเราะเยาะเสียจริงๆ เพราะเครื่องบินรัสเซียเหล่านี้กำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าสากลแท้ๆ ไม่มีสักลำเดียวที่ล่วงละเมิดเข้าไปในเขตอำนาจอธิปไตยของประเทศยุโรปรายใดรายหนึ่งแม้สักขณะเดียว แต่กระนั้นสื่อตะวันตกก็ยังคงพาดหัวข่าวกันอย่างเอะอะตึงตังจนเหมือนเป็นเรื่องนิยายแฟนตาซี มิหนำซ้ำมีอยู่รายหนึ่ง กล้า “มโน” ไปไกลถึงขนาดว่า “เครื่องบินรัสเซียจำนวนสิบกว่าลำถูกจับได้ว่า กำลังบินอยู่นอกน่านฟ้าของประเทศนั้น ในบริเวณส่วนต่างๆ ของยุโรปรวม 3 บริเวณในสัปดาห์นี้ เป็นเหตุให้เกิดความหวาดกลัวกันขึ้นมาว่า กำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว”
แน่นอนทีเดียวว่า ในส่วนของข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ว่า มีเครื่องบินสอดแนมรวบรวมข่าวกรองของสหรัฐฯและอังกฤษ ถูกส่งออกบินไปตามแนวพรมแดนของรัสเซียเป็นประจำทุกวัน โดยที่มีการแสดงตนอวดศักดา และส่งสัญญาณท้ารบท้าต่อยตีนั้น รายงานข่าวเหล่านี้กลับไม่ได้มีการระบุถึงเลย (ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกรณีของจีนซึ่งเผชิญปัญหาหนักหน่วงกว่าด้วยซ้ำ จากการที่เครื่องบินสหรัฐฯบินโฉบเฉี่ยวอย่างน่ากลัวใกล้ๆ กับชายหาดของแดนมังกร)
พวกสื่อมวลชนตะวันตก ซึ่งได้รับการป้อนข้อมูลจาก “แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ราชการ” ซึ่งไม่มีการเปิดเผยนามจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่อยู่ในวอชิงตันและลอนดอน ดูช่างมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษที่จะฉวยคว้าเกาะกุมการรณรงค์ต่อต้านรัสเซียที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำ เพื่อสำรวจเสาะหาช่องทางแห่งหนเหมาะๆ สำหรับการไล่ตีกระหน่ำมอสโก ทั้งนี้ท่าทีของวอชิงตันในการมุ่งรุกคืบเล่นงานโจมตีรัสเซียนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในการกล่าวปราศัยของประธานาธิบดีโอบามา บนเวทีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีนี้ ในคำปราศรัยอันมีน้ำเสียงแสดงความเป็นปรปักษ์คราวนี้ โอบามายืนกรานว่าเขาไม่ยินยอมประนีประนอมใดๆ กับรัสเซีย พร้อมกับส่งข้อความแบบโต้งๆ โจ่งแจ้งว่า จะไม่มีการพบปะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น, ไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น, ไม่มีการอภิปรายถกเถียงกันไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามที ในทางที่จะเป็นการยอมรับว่ารัสเซียนั้นเป็นชาติสำคัญชาติหนึ่งของโลก
เมื่อตอนที่สงครามเย็นสิ้นสุดลงในปี 1991 นั้น ประเทศส่วนใหญ่ทั้งหลายในโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศรัสเซียใหม่ ซึ่งกำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้ทั้งในทางเศรษฐกิจและในทางสังคม ต่างก็พากันวาดฝันสร้างจินตนาการขึ้นมาว่า ฝ่ายตะวันตก (คำจำกัดความโดยทั่วๆ ไปนั้น หมายครอบคลุมถึงสหรัฐฯ, แคนาดา, อังกฤษ, และชาติจำนวนมากในยุโรปตะวันตก) จะลดทอนผ่อนคลายฐานะทางการทหารของพวกเขาลงมา ในเมื่อรัสเซียได้ทำเช่นนั้นไปก่อนแล้ว จากการตัดลดขนาดของกองทัพจนเหลือเพียงแค่ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่งของกองทัพสหภาพโซเวียตในอดีต
แต่ปรากฏว่า ฝ่ายตะวันตกไม่ได้มีเจตนารมณ์ใดๆ ที่จะลดทอนฐานะทางการทหารของพวกเขาลงมาเลย ถึงแม้ว่ารัสเซียไม่ได้เป็นภัยคุกคามใดๆ อีกต่อไปแล้ว โดยที่กำลังหันมาเน้นหนักรวมศูนย์อยู่ที่การสร้างและการขยายการค้า ตลอดจนการเชื่อมโยงเชิงพาณิชย์ทั่วๆ ไปกับพวกชาติเพื่อนบ้านของตน ทว่าสหรัฐฯกับเหล่าผู้ติดตามของเขา กลับตัดสินใจที่จะเดินหน้าขยายองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization หรือ NATO) ทั้งๆ ที่นาโต้เป็นองค์การซึ่งตลอดทั้งเนื้อทั้งตัว มีจุดมุ่งหมายในทางการทหารอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน จนกระทั่งจำนวนชาติสมาชิกนาโต้ขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 16 กลายเป็น 28 ประเทศในปัจจุบัน
รัสเซียไม่เคยแสดงเจตนารมณ์ใดๆ ซึ่งเป็นการข่มขู่คุกคามชาติเพื่อนบ้านของตน มีแต่สถาปนาและสืบต่อสายสัมพันธ์ต่างๆ ทางด้านการค้าอย่างขนานใหญ่ ทว่าในปี 1999 นาโต้ได้ประกาศรับเอาโปแลนด์, ฮังการี, และสาธารณรัฐเช็ก เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรที่ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัวเป็นองค์การทางทหารกลุ่มนี้ จากนั้นในปี 2004 ซึ่งก็เหมือนเดิมอีก ไม่ได้มีสัญญาณเครื่องบ่งชี้ใดๆ แม้แต่นิดเดียวว่ารัสเซียกำลังเป็นภัยคุกคาม แต่นาโต้กลับเดินหน้ารับเอาประเทศจำนวนมากกว่าคราวก่อนอีกเข้าเป็นสมาชิก ได้แก่ บัลแกเรีย, เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, โรมาเนีย, สโลวาเกีย, และ สโลวีเนีย กล้าพูดได้เลยว่าสำหรับประเทศเหล่านี้แล้ว 90% ของชาวอเมริกัน (หรือชาวอังกฤษ หรือชาวประเทศฝ่ายตะวันตกอื่นใด) ไม่สามารถชี้ได้หรอกว่าตั้งอยู่ตรงส่วนไหนของแผนที่ เท่านี้ยังไม่หนำใจ พวกเขายังรับเอา แอลเบเนีย และ โครเอเชีย เข้าเป็นสมาชิกอีกใน 2009 โดยที่ในตอนนี้กำลังเล็งที่จะรับ จอร์เจีย กับ ยูเครน เป็นรายถัดๆ ไป เพื่อที่จะได้มีกองทหารในสังกัดนาโต้ คอยคุกคามรัสเซียอยู่ตลอดทั่วทั้งชายแดนด้านตะวันตกของแดนหมีขาวทีเดียว
การกระทำเช่นนี้มีเหตุผลอะไรหรือ?
เพื่อที่จะหาคำตอบในเรื่องนี้ น่าจะเป็นการคุ้มค่าอยู่หรอก ถ้าหากเราจะลองไปสอบค้นดูว่า องค์การนาโต้นั้นจัดตั้งขึ้นมาโดยคาดหวังให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตนอย่างไร ทั้งนี้ในสนธิสัญญาของนาโต้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ประเทศสมาชิกนาโต้ทุกๆ ประเทศ จะต้อง:
“รับรองที่จะกระทำตามสิ่งที่บัญญัติเอาไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศใดๆ ที่พวกเขาเกี่ยวข้องด้วยโดยใช้วิถีทางสันติ ในลักษณะที่ไม่เป็นอันตรายต่อสันติภาพ ความมั่นคง และความยุติธรรมระหว่าประเทศ รวมทั้งในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกเขา ก็จะระงับการข่มขู่คุกคามหรือการใช้กำลัง ในลักษณะใดๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของสหประชาชาติ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทั้งหลายย่อมอดที่จะสงสัยข้องใจขึ้นมาไม่ได้ว่า แล้วทำไมพวกประเทศสมาชิกนาโต้จำนวนมากมาย นำโดยสหรัฐอเมริกา จึงกำลังตั้งท่าประจันหน้าเป็นศัตรูกับรัสเซีย รวมทั้งกำลังข่มขู่คุกคามที่จะใช้กำลัง ในเรื่องสถานการณ์ความปั่นป่วนวุ่นวายในยูเครน ซึ่งไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว
วิสัชนาของปุจฉาเหล่านี้ มองเห็นกันได้ไม่ยากเย็นเลย มันเป็นเพราะสหรัฐฯมองว่ารัสเซียเป็นศัตรูนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องลี้ลับปริศนาอะไรเลยที่สหรัฐฯเปิดการรณรงค์ต่อต้านรัสเซียอย่างประสงค์ร้าย มันเป็นเพราะว่ารัสเซียกำลังกลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯจึงยิ่งมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ หรือกระทั่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่ตนจะต้องหาทางขัดขวางกีดกันไม่ให้รัสเซียพัฒนาก้าวขึ้นเป็นชาติระดับนั้นได้สำเร็จ และดังนั้นเองสหรัฐฯจึงต้องหาทางวางแผนเล่นเล่ห์เพทุบายหรือทำการสมคบคิดอย่างไรก็ตามทีเท่าที่จะสามารถคิดฝันขึ้นมาได้ เพื่อวาดภาพให้ทั่วโลกเห็นไปว่ารัสเซียเป็นศัตรูของโลกเสรี
อย่างที่เราได้เห็นจากรายงานข่าวและบทความของวอชิงตันโพสต์ ซึ่งชอบอวดอ้างว่าเป็นสื่อที่มุ่งเสนอความจริงอย่างสิ้นเชิงอีกทั้งให้น้ำหนักอันสมดุลไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หนึ่งในเล่ห์เพทุบายล่าสุดได้แก่ความพยายามที่จะจับเอารัสเซียมาเชื่อมโยงพัวพันกับการแพร่ระบาดของอีโบลา ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำท่าอาจจะกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรงในระดับโลกทีเดียว
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พวกสำนักข่าวต่างๆ ของรัสเซียรายงานว่า “รัสเซียได้เริ่มต้นทำการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีโบลาที่มีชื่อว่า ไตรอาซาวิริน (Triazavirin) งวดทดลอง โดยที่จะจัดส่งวัคซีนเหล่านี้ไปยังแอฟริกาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมัน วัคซีนนี้คิดค้นวิจัยโดย ศูนย์เทคโนโลยีชีวเภสัชกรรมอูราล (Ural Biopharmaceutical Technology Center) และการทดสอบเท่าที่ได้กระทำมาแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพสูง (ระดับ 70-90%) ในการป้องกันพวกไข้เลือดออกประเภทต่างๆ รวมทั้ง ไข้ มาร์เบิร์ก (Marburg fever) ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้ออีโบลา”
ตรงนี้เราได้เห็นการรายงานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับคุณูปการของรัสเซียต่อความพยายามของนานาชาติ ในการต่อสู้กับโรคร้ายอันน่าสยดสยองโรคนี้ (ถ้าหากในสื่อมวลชนตะวันตกมีการรายงานใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ก็คงจะถูกเก็บซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีมาก ในขณะที่ตามสื่อมวลชนด้านข่าวทางแถบเอเชียนั้น มีการรายงานข่าวนี้กันอยู่มาก)
ทว่ารายงานเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ของวอชิงตันโพสต์เกี่ยวกับรัสเซียและเชื้ออีโบลา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเล่นข่าวตามแบบฉบับของสื่อตะวันตกแท้ๆ นั้น ปรากฏว่ากลับมีเนื้อหาที่ผิดแผกไปคนละขั้วทีเดียว
ในรายงานของวอชิงตันโพสต์ เริ่มต้นด้วยการบอกให้เราทราบอย่างน่าตื่นเต้นว่า ในรัสเซียเมื่อปี 1996 มีสตรีที่ไม่มีการระบุชื่อผู้หนึ่ง ซึ่ง “เป็นนักเทคนิคในห้องแล็ปธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ได้รับการมอบหมายให้ทำงานซึ่งมีอันตรายชนิดไม่ธรรมดาเลย นั่นคือ การดูดเอาเลือดออกจากร่างกายพวกสัตว์ที่ติดเชื้ออีโบลาในห้องแล็ปทางทหารลับๆ แห่งหนึ่ง” ทว่า โชคร้ายมาก เธอทำของมีคมบาดตัวเอง และเสียชีวิตโดยมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเนื่องจากติดเชื้ออีโบลา รายงานข่าวนี้เดินเรื่องต่อไปว่า ศพของเธอ “ถูกนำไปฝัง โดยที่ตามรายงานชิ้นหนึ่งระบุว่า ศพถูกใส่ใน 'กระสอบที่บรรจุไว้ด้วยสารแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ (calcium hypochlorite)' ซึ่งก็คือ สารฟอกขาวที่อยู่ในรูปผง” ช่างเป็นข่าวที่บรรยายเรื่องราวที่มีรายละเอียดมากมาย แต่รายละเอียดเหล่านี้กลับไม่มีอะไรชัดเจนแน่นอนเอาเสียเลย
จากนั้น รายงานข่าวชิ้นนี้ซึ่งเขียนโดยผู้ที่ใช้ชื่อว่า โจบี้ วอร์ริค (Joby Warrick) ก็เล่าให้เราฟังต่อไปว่า “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในห้องแล็ปทางทหารของรัสเซียที่มีมาตรการจำกัดการเข้าออก โดยที่ในอดีต ห้องแล็ปแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาวุธชีวภาพของสหภาพโซเวียต ในอดีตเมื่อหลายๆ ปีก่อนหน้านี้ ห้องแล็ปแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเซียร์กีฟ โปซัด (Sergiev Posad) ชานกรุงมอสโก ได้เคยเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม ทุกวันนี้ สิ่งต่างๆ จำนวนมากที่เกิดขึ้นในห้องแล็ปนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องลับที่ไม่มีใครทราบกันอยู่นั่นเอง”
แต่การที่เราไม่ทราบว่าในห้องแล็ปดังกล่าวมีการทำอะไรกันบ้างนั้น เป็นเรื่องแปลกประหลาดจริงๆ หรือ? อันที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมาในห้องแล็ปวิจัยตลอดทั่วทั้งโลก “ก็ยังคงเป็นเรื่องลับที่ไม่มีใครทราบกัน” แทบจะทุกแห่งนั่นแหละ มีห้องแล็ปวิจัยทางการทหารของสหรัฐฯกี่แห่งกันเชียวที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปตรวจสอบ? หรือกระทั่งเป็นการตรวจสอบจากหน่วยงานภายในประเทศก็เถอะ?
กระนั้นก็ตาม วอชิงตันโพสต์ยังคงแสดงให้เห็นถึงความคับแคบดื้อด้านทางการเมือง และความอุตสาหะไม่ยอมย่อท้อต่อไป
“ในขณะนี้” รายงานนี้บอก “ในขณะที่โลกของเรากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรับมือกับวิกฤตโรคอีโบลา ซึ่งเป็นวิกฤตชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยอยู่นี้ พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาวุธหลายต่อหลายรายก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ปราการแห่งการรักษาความลับซึ่งปกคลุมอยู่รอบๆ ห้องแล็ปทางการวิจัย (ของรัสเซีย) เหล่านี้ กลับกำลังถูกขยายให้ใหญ่โตถมึงทึงมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงยิ่งกลายเป็นการโหมกระพือกระแสทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย ตลอดจนยิ่งเพิ่มความระแวงสงสัย”
แต่ใครล่ะที่กำลัง “โหมกระพือกระแสทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย ตลอดจนยิ่งเพิ่มความระแวงสงสัย”?
แน่นอนทีเดียวว่าวอชิงตันโพสต์จะไม่ทำอะไรอย่างลวกๆ และน่าอับอายขายหน้า ด้วยการพูดแค่เปรยๆ ว่า ในบางแง่บางมุมแล้วรัสเซียจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของไวรัสอีโบลา หากแต่เขียนอย่างมีชั้นมีเชิงว่า “อุบัติเหตุในห้องแล็ปซึ่งถึงกับทำให้มีคนเสียชีวิตคราวนั้น และกรณีทำนองเดียวกันอีกรายหนึ่งในปี 2004 กลายเป็นการเสนอภาพแค่แวบๆ แต่ก็หาได้ยากยิ่ง ในตลอดช่วงประวัติศาสตร์ระยะเวลา 35 ปี ซึ่งสหภาพโซเวียตและรัสเซียแสดงให้เห็นความสนอกสนใจในเชื้อไวรัสอีโบลา” สำหรับการที่วอชิงตันโพสต์มองว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความชั่วช้าเลวร้ายเป็นอย่างยิ่งนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อ้างว่า เป็นเพราะ “การวิจัยอีโบลายังคงดำเนินต่อไปในบรรดาห้องแล็ปของกระทรวงกลาโหม (รัสเซีย) ที่ซึ่งยังคงถูกปิดบังซ่อนเร้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะได้พยายามร้องขอมาเป็นปีๆ แล้ว ในการที่จะได้รับอนุญาตให้มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นกว่านี้”
แล้วใครกัน “พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ” เหล่านี้? และสิ่งที่พวกเขาพยายามร้องขอมาเป็นปีๆ แล้วคือเรื่องอะไร?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจน้อยกว่านั้นมาก ย่อมได้แก่ข้อสังเกตของประธานาธิบดีปูติน เขากล่าวเอาไว้ดังนี้:
“ทุกวันนี้ เรากำลังได้เห็นความพยายามใหม่ๆ ในการทำให้โลกแตกแยกกัน, ในการขีดเส้นแบ่งแยกเส้นใหม่ๆ ขึ้นมา, ในการจัดตั้ง “กลุ่มพันธมิตร” ที่ไม่ได้มุ่งสร้างสรรค์อะไรเลย แต่เพื่อมุ่งหน้าต่อต้านคนบางคน หรือกระทั่งใครก็ได้สักคน ในระหว่างสงครามเย็นนั้น สถานการณ์ก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้แหละ เราทุกๆ คนต่างเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีและทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี … ทว่าความพยายามเหล่านี้คือการหย่าขาดออกจากสภาพความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการขัดแย้งกับภาวะความหลากหลายของโลก จังหวะก้าวเดินประเภทนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะสร้างการเผชิญหน้า และก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้เอาคืน ตลอดจนก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้ามกับการเดินหน้าไปบรรลุเป้าหมายอย่างมีความหวัง
พวก 28 ประเทศสมาชิกนาโต้ กำลังดิ้นรนอย่างร่อแร่ เพื่อมองหาเหตุผลสำหรับการดำรงคงอยู่และสำหรับการขยายกลุ่มพันธมิตรอันตกยุคตกสมัยของพวกเขา ยิ่งเวลานี้พวกเขาเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ให้แก่กลุ่มนักรบจรยุทธ์ที่ไร้สง่าราศีในอัฟกานิสถาน และจำเป็นจำใจต้องถอนตัวออกจากประเทศที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายแห่งนี้ ซึ่งในปัจจุบันกำลังตกอยู่ในอาการซวนเซง่อนแง่น ยิ่งเสียกว่าเมื่อตอนที่พวกเขามาถึงเสียอีก มันก็เลยจำเป็นมากสำหรับพวกเขาที่จะต้องมองหาเรื่องอื่นๆ ที่เข้าไปจุ้นจ้านยุ่งเกี่ยวด้วย แล้วจะบังเกิดความเท่ความภูมิใจขึ้นมา
พวกขาจึงกำลังรวมหัวกันต่อต้านเล่นงานรัสเซียด้วยข้ออ้างหลอกๆ ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ รวมทั้งพยายามช่วยกันจินตนาการจากบางแง่บางมุมอันประหลาดพิกลว่า การแสดงละครชวนหัวของพวกเขานั้นช่างสอดคล้องกับกฎบัตรของนาโต้ที่ว่า “ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกเขา จะต้องระงับการข่มขู่คุกคามหรือการใช้กำลัง ในลักษณะใดๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของสหประชาชาติ”
ชาติสมาชิกนาโต้ ก็ทำนองเดียวกันกับวอชิงตันโพสต์และผลงานใส่ร้ายป้ายสีต่อต้านรัสเซียในเรื่องอีโบลาของพวกเขา ถ้าหยิบยืมคำพูดของปูตินมาใช้ ก็ต้องบอกว่าพวกเขา “กำลังหย่าขาดออกจากสภาพความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ”
ป.ล. หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เพิ่งเข้าร่วมขบวนการหาเรื่องจิ๊บๆ จ๊อยๆ มาเล่นงานทุบตีรัสเซียกับเขาด้วยแล้ว โดยในหน้า 1 ของฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน ได้เสนอ “รายงานพิเศษ” ที่พาดหัวว่า “เพื่อนของปูตินได้กำไรจากการยกเลิกตำราในโรงเรียน”
เจ้ารายงานที่แสนจะเที่ยงตรงปราศจากอคติของนิวยอร์กไทมส์ชิ้นนี้ บอกเล่าให้เราทราบว่า “เมื่อถึงตอนเริ่มต้นปีการศึกษานี้ จำนวนตำราเรียนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้สำหรับเด็กนักเรียน 14 ล้านคนของรัสเซีย ได้ถูกตัดหั่นออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังเป็นการคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของสำนักพิมพ์จำนวนมาก ทว่าสำนักพิมพ์รายหนึ่งซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ วี ปูติน กลับสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม” ช่างเป็นข่าวเปิดโปงตีพิมพ์ในหน้าหนึ่ง ที่แสนจะชืดๆ เซ็งๆ สำหรับหนังสือพิมพ์ซึ่งเคยมีฐานะเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับสำคัญที่สุดของโลก
ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ทำไมไม่ลองหันไปเล่นงานเรื่องรัสเซียแพร่เชื้ออีโบลากับเขาด้วยเลยล่ะ?
ไบรอัน คลัฟลีย์ เป็นอดีตทหาร ผู้ซึ่งในปัจจุบันเป็นนักเขียนที่นิยมเขียนเกี่ยวกับการทหารและการเมือง
Russia, Ebola, Nato and propaganda
By Brian Cloughley
05/11/2014
ความพยายามของสื่อมวลชนสหรัฐฯที่จะเชื่อมโยงรัสเซียเข้ากับการแพร่ระบาดของโรคอีโบลา เป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่าวอชิงตันกำลังเพิ่มความพยายามในการใช้อะไรก็ตามแต่ เพื่อมาต่อต้านขัดขวางอิทธิพลในระดับโลกของมอสโก สหรัฐฯกำลังมองว่า เป็นเรื่องสำคัญ หรือกระทั่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว ที่จะต้องป้องกันกีดกันไม่ให้รัสเซียสามารถพัฒนาเติบใหญ่ได้ และด้วยเหตุนี้จึงพร้อมจะใช้เล่ห์เพทุบายใดๆ ก็ตามที เพื่อสร้างภาพให้เห็นไปว่า แดนหมีขาวคือศัตรูของโลกเสรี
แจ๊กสัน เดห์ล (Jackson Diehl) เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหน้าบทนำ-ความเห็น ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และทำหน้าที่เขียนเรื่องทางด้านกิจการต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ความคิดเห็นของเขาจึงสามารถแพร่กระจายออกไปในวงกว้างไม่น้อย ปรากฏว่า 4 วันหลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไปกล่าวคำปราศรัยที่ “สโมสรวัลไดเพื่อการอภิปรายถกเถียงเรื่องระหว่างประเทศ (Valdai International Discussion Club) ณ เมืองโซชิ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม (โดยที่ในคำปราศรัยซึ่งได้รับการประเมินว่ามีความสำคัญมากคราวนี้นี่เอง ที่ ปูติน บอกว่า เขาปรารถนาที่จะเห็นสหรัฐฯ “อยู่ห่างๆ จากกิจการต่างๆ ของเรา และยุติการเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าพวกเขากำลังปกครองโลกอยู่”) เดห์ล ได้ประกาศว่า สิ่งที่ปูตินกล่าวในคราวนี้ คือ คำปราศรัยที่อุดมด้วย “ส่วนผสมของคำโกหกหลอกลวงและทฤษฎีสมคบคิดอันมีพิษร้าย ตลอดจนโวหารเผ็ดร้อนมุ่งต่อต้านสหรัฐฯ”
การวินิจฉัยของ เดห์ล ในครั้งนี้ ติดตามมาด้วยรายงานข่าวชิ้นหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีความแตกต่างตรงไหน จากความพยายามอย่างจงใจที่จะแพร่พิษร้าย หรือการเข้ามีส่วนร่วมในการสร้างทฤษฎีสมคบคิด ทั้งนี้รายงานข่าวชิ้นนี้มีจุดประสงค์ที่จะกล่าวหาว่า พวกห้องแล็ปด้านการวิจัยของรัสเซียนั้น มีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างชั่วร้ายมาก กับการระบาดของเชื้อไวรัสโรคอีโบลา ตอนหนึ่งของรายงาน เขียนเอาไว้อย่างน่าตื่นเต้น ดังนี้:
ในขณะที่โลกของเรากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรับมือกับวิกฤตโรคอีโบลา ซึ่งเป็นวิกฤตชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยอยู่นี้ พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาวุธหลายต่อหลายรายก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ปราการแห่งการรักษาความลับซึ่งปกคลุมอยู่รอบๆ ห้องแล็ปทางการวิจัยของรัสเซียเหล่านี้ กลับกำลังถูกขยายให้ใหญ่โตถมึงทึงมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงยิ่งกลายเป็นการโหมกระพือกระแสทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย ตลอดจนยิ่งเพิ่มความระแวงสงสัย
ทว่าข้อกล่าวหาอันนี้เอง กลับอยู่ในลักษณะหักมุมและกลายมาเป็นการสนับสนุนอย่างไม่ตั้งใจ ต่อข้อโต้แย้งของปูตินที่ว่า ในโลกตะวันตกนั้น “คุณสมบัติในเรื่องการวางตัวเป็นกลางปราศจากอคติ และการมุ่งแสวงหาความยุติธรรม ได้ถูกนำมาเซ่นสังเวยบนแท่นบูชาของความเหมาะสมทางการเมือง การตีความตามอำเภอใจและการประเมินอย่างมีอคติ ได้เข้าแทนที่บรรทัดฐานอันชอบธรรมตามกฎหมาย ในเวลาเดียวกันนั้น การมีอำนาจในการควบคุมสื่อมวลชนของโลกเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง ได้ทำให้เกิดความเป็นไปได้ขึ้นมาว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องการแล้ว โลกตะวันตกก็จะสามารถป้ายสีสิ่งที่เป็นสีขาวให้กลายเป็นสีดำ และฟอกสิ่งที่เป็นสีดำให้กลับกลายเป็นสีขาว”
ข้อสังเกตของเขานี้ ยิ่งดูแหลมคมหนักแน่นและน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาประกอบกับการเสนอข่าวในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมาของพวกสื่อมวลชนตะวันตก ในกรณีที่กล่าวหากันว่ารัสเซียส่งเครื่องบินทหารออกปฏิบัติการอย่างมากมายผิดสังเกต ตลอดทั่วทั้งแนวพรมแดนของแดนหมีขาว
ทั้งนี้รายงานข่าวของฝ่ายตะวันตกในวันที่ 30-31 ตุลาคมที่ผ่านมา ต่างพาดหัวข่าวชวนให้รู้สึกผิดปกติ โดยมีข้อความทำนองว่า “เครื่องบินทหารรัสเซีย ละเมิด [เน้นโดยผู้เขียนเอง]น่านฟ้ายุโรปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
“ละเมิด” น่านฟ้ายุโรปหรือ? ช่างไร้สาระน่าหัวเราะเยาะเสียจริงๆ เพราะเครื่องบินรัสเซียเหล่านี้กำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าสากลแท้ๆ ไม่มีสักลำเดียวที่ล่วงละเมิดเข้าไปในเขตอำนาจอธิปไตยของประเทศยุโรปรายใดรายหนึ่งแม้สักขณะเดียว แต่กระนั้นสื่อตะวันตกก็ยังคงพาดหัวข่าวกันอย่างเอะอะตึงตังจนเหมือนเป็นเรื่องนิยายแฟนตาซี มิหนำซ้ำมีอยู่รายหนึ่ง กล้า “มโน” ไปไกลถึงขนาดว่า “เครื่องบินรัสเซียจำนวนสิบกว่าลำถูกจับได้ว่า กำลังบินอยู่นอกน่านฟ้าของประเทศนั้น ในบริเวณส่วนต่างๆ ของยุโรปรวม 3 บริเวณในสัปดาห์นี้ เป็นเหตุให้เกิดความหวาดกลัวกันขึ้นมาว่า กำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว”
แน่นอนทีเดียวว่า ในส่วนของข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ว่า มีเครื่องบินสอดแนมรวบรวมข่าวกรองของสหรัฐฯและอังกฤษ ถูกส่งออกบินไปตามแนวพรมแดนของรัสเซียเป็นประจำทุกวัน โดยที่มีการแสดงตนอวดศักดา และส่งสัญญาณท้ารบท้าต่อยตีนั้น รายงานข่าวเหล่านี้กลับไม่ได้มีการระบุถึงเลย (ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกรณีของจีนซึ่งเผชิญปัญหาหนักหน่วงกว่าด้วยซ้ำ จากการที่เครื่องบินสหรัฐฯบินโฉบเฉี่ยวอย่างน่ากลัวใกล้ๆ กับชายหาดของแดนมังกร)
พวกสื่อมวลชนตะวันตก ซึ่งได้รับการป้อนข้อมูลจาก “แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ราชการ” ซึ่งไม่มีการเปิดเผยนามจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่อยู่ในวอชิงตันและลอนดอน ดูช่างมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษที่จะฉวยคว้าเกาะกุมการรณรงค์ต่อต้านรัสเซียที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำ เพื่อสำรวจเสาะหาช่องทางแห่งหนเหมาะๆ สำหรับการไล่ตีกระหน่ำมอสโก ทั้งนี้ท่าทีของวอชิงตันในการมุ่งรุกคืบเล่นงานโจมตีรัสเซียนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในการกล่าวปราศัยของประธานาธิบดีโอบามา บนเวทีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีนี้ ในคำปราศรัยอันมีน้ำเสียงแสดงความเป็นปรปักษ์คราวนี้ โอบามายืนกรานว่าเขาไม่ยินยอมประนีประนอมใดๆ กับรัสเซีย พร้อมกับส่งข้อความแบบโต้งๆ โจ่งแจ้งว่า จะไม่มีการพบปะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น, ไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น, ไม่มีการอภิปรายถกเถียงกันไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามที ในทางที่จะเป็นการยอมรับว่ารัสเซียนั้นเป็นชาติสำคัญชาติหนึ่งของโลก
เมื่อตอนที่สงครามเย็นสิ้นสุดลงในปี 1991 นั้น ประเทศส่วนใหญ่ทั้งหลายในโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศรัสเซียใหม่ ซึ่งกำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้ทั้งในทางเศรษฐกิจและในทางสังคม ต่างก็พากันวาดฝันสร้างจินตนาการขึ้นมาว่า ฝ่ายตะวันตก (คำจำกัดความโดยทั่วๆ ไปนั้น หมายครอบคลุมถึงสหรัฐฯ, แคนาดา, อังกฤษ, และชาติจำนวนมากในยุโรปตะวันตก) จะลดทอนผ่อนคลายฐานะทางการทหารของพวกเขาลงมา ในเมื่อรัสเซียได้ทำเช่นนั้นไปก่อนแล้ว จากการตัดลดขนาดของกองทัพจนเหลือเพียงแค่ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่งของกองทัพสหภาพโซเวียตในอดีต
แต่ปรากฏว่า ฝ่ายตะวันตกไม่ได้มีเจตนารมณ์ใดๆ ที่จะลดทอนฐานะทางการทหารของพวกเขาลงมาเลย ถึงแม้ว่ารัสเซียไม่ได้เป็นภัยคุกคามใดๆ อีกต่อไปแล้ว โดยที่กำลังหันมาเน้นหนักรวมศูนย์อยู่ที่การสร้างและการขยายการค้า ตลอดจนการเชื่อมโยงเชิงพาณิชย์ทั่วๆ ไปกับพวกชาติเพื่อนบ้านของตน ทว่าสหรัฐฯกับเหล่าผู้ติดตามของเขา กลับตัดสินใจที่จะเดินหน้าขยายองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization หรือ NATO) ทั้งๆ ที่นาโต้เป็นองค์การซึ่งตลอดทั้งเนื้อทั้งตัว มีจุดมุ่งหมายในทางการทหารอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน จนกระทั่งจำนวนชาติสมาชิกนาโต้ขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 16 กลายเป็น 28 ประเทศในปัจจุบัน
รัสเซียไม่เคยแสดงเจตนารมณ์ใดๆ ซึ่งเป็นการข่มขู่คุกคามชาติเพื่อนบ้านของตน มีแต่สถาปนาและสืบต่อสายสัมพันธ์ต่างๆ ทางด้านการค้าอย่างขนานใหญ่ ทว่าในปี 1999 นาโต้ได้ประกาศรับเอาโปแลนด์, ฮังการี, และสาธารณรัฐเช็ก เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรที่ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัวเป็นองค์การทางทหารกลุ่มนี้ จากนั้นในปี 2004 ซึ่งก็เหมือนเดิมอีก ไม่ได้มีสัญญาณเครื่องบ่งชี้ใดๆ แม้แต่นิดเดียวว่ารัสเซียกำลังเป็นภัยคุกคาม แต่นาโต้กลับเดินหน้ารับเอาประเทศจำนวนมากกว่าคราวก่อนอีกเข้าเป็นสมาชิก ได้แก่ บัลแกเรีย, เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, โรมาเนีย, สโลวาเกีย, และ สโลวีเนีย กล้าพูดได้เลยว่าสำหรับประเทศเหล่านี้แล้ว 90% ของชาวอเมริกัน (หรือชาวอังกฤษ หรือชาวประเทศฝ่ายตะวันตกอื่นใด) ไม่สามารถชี้ได้หรอกว่าตั้งอยู่ตรงส่วนไหนของแผนที่ เท่านี้ยังไม่หนำใจ พวกเขายังรับเอา แอลเบเนีย และ โครเอเชีย เข้าเป็นสมาชิกอีกใน 2009 โดยที่ในตอนนี้กำลังเล็งที่จะรับ จอร์เจีย กับ ยูเครน เป็นรายถัดๆ ไป เพื่อที่จะได้มีกองทหารในสังกัดนาโต้ คอยคุกคามรัสเซียอยู่ตลอดทั่วทั้งชายแดนด้านตะวันตกของแดนหมีขาวทีเดียว
การกระทำเช่นนี้มีเหตุผลอะไรหรือ?
เพื่อที่จะหาคำตอบในเรื่องนี้ น่าจะเป็นการคุ้มค่าอยู่หรอก ถ้าหากเราจะลองไปสอบค้นดูว่า องค์การนาโต้นั้นจัดตั้งขึ้นมาโดยคาดหวังให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตนอย่างไร ทั้งนี้ในสนธิสัญญาของนาโต้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ประเทศสมาชิกนาโต้ทุกๆ ประเทศ จะต้อง:
“รับรองที่จะกระทำตามสิ่งที่บัญญัติเอาไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศใดๆ ที่พวกเขาเกี่ยวข้องด้วยโดยใช้วิถีทางสันติ ในลักษณะที่ไม่เป็นอันตรายต่อสันติภาพ ความมั่นคง และความยุติธรรมระหว่าประเทศ รวมทั้งในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกเขา ก็จะระงับการข่มขู่คุกคามหรือการใช้กำลัง ในลักษณะใดๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของสหประชาชาติ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทั้งหลายย่อมอดที่จะสงสัยข้องใจขึ้นมาไม่ได้ว่า แล้วทำไมพวกประเทศสมาชิกนาโต้จำนวนมากมาย นำโดยสหรัฐอเมริกา จึงกำลังตั้งท่าประจันหน้าเป็นศัตรูกับรัสเซีย รวมทั้งกำลังข่มขู่คุกคามที่จะใช้กำลัง ในเรื่องสถานการณ์ความปั่นป่วนวุ่นวายในยูเครน ซึ่งไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว
วิสัชนาของปุจฉาเหล่านี้ มองเห็นกันได้ไม่ยากเย็นเลย มันเป็นเพราะสหรัฐฯมองว่ารัสเซียเป็นศัตรูนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องลี้ลับปริศนาอะไรเลยที่สหรัฐฯเปิดการรณรงค์ต่อต้านรัสเซียอย่างประสงค์ร้าย มันเป็นเพราะว่ารัสเซียกำลังกลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯจึงยิ่งมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ หรือกระทั่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่ตนจะต้องหาทางขัดขวางกีดกันไม่ให้รัสเซียพัฒนาก้าวขึ้นเป็นชาติระดับนั้นได้สำเร็จ และดังนั้นเองสหรัฐฯจึงต้องหาทางวางแผนเล่นเล่ห์เพทุบายหรือทำการสมคบคิดอย่างไรก็ตามทีเท่าที่จะสามารถคิดฝันขึ้นมาได้ เพื่อวาดภาพให้ทั่วโลกเห็นไปว่ารัสเซียเป็นศัตรูของโลกเสรี
อย่างที่เราได้เห็นจากรายงานข่าวและบทความของวอชิงตันโพสต์ ซึ่งชอบอวดอ้างว่าเป็นสื่อที่มุ่งเสนอความจริงอย่างสิ้นเชิงอีกทั้งให้น้ำหนักอันสมดุลไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หนึ่งในเล่ห์เพทุบายล่าสุดได้แก่ความพยายามที่จะจับเอารัสเซียมาเชื่อมโยงพัวพันกับการแพร่ระบาดของอีโบลา ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำท่าอาจจะกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรงในระดับโลกทีเดียว
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พวกสำนักข่าวต่างๆ ของรัสเซียรายงานว่า “รัสเซียได้เริ่มต้นทำการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีโบลาที่มีชื่อว่า ไตรอาซาวิริน (Triazavirin) งวดทดลอง โดยที่จะจัดส่งวัคซีนเหล่านี้ไปยังแอฟริกาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมัน วัคซีนนี้คิดค้นวิจัยโดย ศูนย์เทคโนโลยีชีวเภสัชกรรมอูราล (Ural Biopharmaceutical Technology Center) และการทดสอบเท่าที่ได้กระทำมาแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพสูง (ระดับ 70-90%) ในการป้องกันพวกไข้เลือดออกประเภทต่างๆ รวมทั้ง ไข้ มาร์เบิร์ก (Marburg fever) ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้ออีโบลา”
ตรงนี้เราได้เห็นการรายงานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับคุณูปการของรัสเซียต่อความพยายามของนานาชาติ ในการต่อสู้กับโรคร้ายอันน่าสยดสยองโรคนี้ (ถ้าหากในสื่อมวลชนตะวันตกมีการรายงานใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ก็คงจะถูกเก็บซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีมาก ในขณะที่ตามสื่อมวลชนด้านข่าวทางแถบเอเชียนั้น มีการรายงานข่าวนี้กันอยู่มาก)
ทว่ารายงานเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ของวอชิงตันโพสต์เกี่ยวกับรัสเซียและเชื้ออีโบลา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเล่นข่าวตามแบบฉบับของสื่อตะวันตกแท้ๆ นั้น ปรากฏว่ากลับมีเนื้อหาที่ผิดแผกไปคนละขั้วทีเดียว
ในรายงานของวอชิงตันโพสต์ เริ่มต้นด้วยการบอกให้เราทราบอย่างน่าตื่นเต้นว่า ในรัสเซียเมื่อปี 1996 มีสตรีที่ไม่มีการระบุชื่อผู้หนึ่ง ซึ่ง “เป็นนักเทคนิคในห้องแล็ปธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ได้รับการมอบหมายให้ทำงานซึ่งมีอันตรายชนิดไม่ธรรมดาเลย นั่นคือ การดูดเอาเลือดออกจากร่างกายพวกสัตว์ที่ติดเชื้ออีโบลาในห้องแล็ปทางทหารลับๆ แห่งหนึ่ง” ทว่า โชคร้ายมาก เธอทำของมีคมบาดตัวเอง และเสียชีวิตโดยมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเนื่องจากติดเชื้ออีโบลา รายงานข่าวนี้เดินเรื่องต่อไปว่า ศพของเธอ “ถูกนำไปฝัง โดยที่ตามรายงานชิ้นหนึ่งระบุว่า ศพถูกใส่ใน 'กระสอบที่บรรจุไว้ด้วยสารแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ (calcium hypochlorite)' ซึ่งก็คือ สารฟอกขาวที่อยู่ในรูปผง” ช่างเป็นข่าวที่บรรยายเรื่องราวที่มีรายละเอียดมากมาย แต่รายละเอียดเหล่านี้กลับไม่มีอะไรชัดเจนแน่นอนเอาเสียเลย
จากนั้น รายงานข่าวชิ้นนี้ซึ่งเขียนโดยผู้ที่ใช้ชื่อว่า โจบี้ วอร์ริค (Joby Warrick) ก็เล่าให้เราฟังต่อไปว่า “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในห้องแล็ปทางทหารของรัสเซียที่มีมาตรการจำกัดการเข้าออก โดยที่ในอดีต ห้องแล็ปแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาวุธชีวภาพของสหภาพโซเวียต ในอดีตเมื่อหลายๆ ปีก่อนหน้านี้ ห้องแล็ปแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเซียร์กีฟ โปซัด (Sergiev Posad) ชานกรุงมอสโก ได้เคยเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม ทุกวันนี้ สิ่งต่างๆ จำนวนมากที่เกิดขึ้นในห้องแล็ปนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องลับที่ไม่มีใครทราบกันอยู่นั่นเอง”
แต่การที่เราไม่ทราบว่าในห้องแล็ปดังกล่าวมีการทำอะไรกันบ้างนั้น เป็นเรื่องแปลกประหลาดจริงๆ หรือ? อันที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมาในห้องแล็ปวิจัยตลอดทั่วทั้งโลก “ก็ยังคงเป็นเรื่องลับที่ไม่มีใครทราบกัน” แทบจะทุกแห่งนั่นแหละ มีห้องแล็ปวิจัยทางการทหารของสหรัฐฯกี่แห่งกันเชียวที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปตรวจสอบ? หรือกระทั่งเป็นการตรวจสอบจากหน่วยงานภายในประเทศก็เถอะ?
กระนั้นก็ตาม วอชิงตันโพสต์ยังคงแสดงให้เห็นถึงความคับแคบดื้อด้านทางการเมือง และความอุตสาหะไม่ยอมย่อท้อต่อไป
“ในขณะนี้” รายงานนี้บอก “ในขณะที่โลกของเรากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรับมือกับวิกฤตโรคอีโบลา ซึ่งเป็นวิกฤตชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยอยู่นี้ พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาวุธหลายต่อหลายรายก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ปราการแห่งการรักษาความลับซึ่งปกคลุมอยู่รอบๆ ห้องแล็ปทางการวิจัย (ของรัสเซีย) เหล่านี้ กลับกำลังถูกขยายให้ใหญ่โตถมึงทึงมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงยิ่งกลายเป็นการโหมกระพือกระแสทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย ตลอดจนยิ่งเพิ่มความระแวงสงสัย”
แต่ใครล่ะที่กำลัง “โหมกระพือกระแสทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลาย ตลอดจนยิ่งเพิ่มความระแวงสงสัย”?
แน่นอนทีเดียวว่าวอชิงตันโพสต์จะไม่ทำอะไรอย่างลวกๆ และน่าอับอายขายหน้า ด้วยการพูดแค่เปรยๆ ว่า ในบางแง่บางมุมแล้วรัสเซียจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของไวรัสอีโบลา หากแต่เขียนอย่างมีชั้นมีเชิงว่า “อุบัติเหตุในห้องแล็ปซึ่งถึงกับทำให้มีคนเสียชีวิตคราวนั้น และกรณีทำนองเดียวกันอีกรายหนึ่งในปี 2004 กลายเป็นการเสนอภาพแค่แวบๆ แต่ก็หาได้ยากยิ่ง ในตลอดช่วงประวัติศาสตร์ระยะเวลา 35 ปี ซึ่งสหภาพโซเวียตและรัสเซียแสดงให้เห็นความสนอกสนใจในเชื้อไวรัสอีโบลา” สำหรับการที่วอชิงตันโพสต์มองว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความชั่วช้าเลวร้ายเป็นอย่างยิ่งนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อ้างว่า เป็นเพราะ “การวิจัยอีโบลายังคงดำเนินต่อไปในบรรดาห้องแล็ปของกระทรวงกลาโหม (รัสเซีย) ที่ซึ่งยังคงถูกปิดบังซ่อนเร้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจะได้พยายามร้องขอมาเป็นปีๆ แล้ว ในการที่จะได้รับอนุญาตให้มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นกว่านี้”
แล้วใครกัน “พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ” เหล่านี้? และสิ่งที่พวกเขาพยายามร้องขอมาเป็นปีๆ แล้วคือเรื่องอะไร?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจน้อยกว่านั้นมาก ย่อมได้แก่ข้อสังเกตของประธานาธิบดีปูติน เขากล่าวเอาไว้ดังนี้:
“ทุกวันนี้ เรากำลังได้เห็นความพยายามใหม่ๆ ในการทำให้โลกแตกแยกกัน, ในการขีดเส้นแบ่งแยกเส้นใหม่ๆ ขึ้นมา, ในการจัดตั้ง “กลุ่มพันธมิตร” ที่ไม่ได้มุ่งสร้างสรรค์อะไรเลย แต่เพื่อมุ่งหน้าต่อต้านคนบางคน หรือกระทั่งใครก็ได้สักคน ในระหว่างสงครามเย็นนั้น สถานการณ์ก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้แหละ เราทุกๆ คนต่างเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีและทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี … ทว่าความพยายามเหล่านี้คือการหย่าขาดออกจากสภาพความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการขัดแย้งกับภาวะความหลากหลายของโลก จังหวะก้าวเดินประเภทนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะสร้างการเผชิญหน้า และก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้เอาคืน ตลอดจนก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้ามกับการเดินหน้าไปบรรลุเป้าหมายอย่างมีความหวัง
พวก 28 ประเทศสมาชิกนาโต้ กำลังดิ้นรนอย่างร่อแร่ เพื่อมองหาเหตุผลสำหรับการดำรงคงอยู่และสำหรับการขยายกลุ่มพันธมิตรอันตกยุคตกสมัยของพวกเขา ยิ่งเวลานี้พวกเขาเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ให้แก่กลุ่มนักรบจรยุทธ์ที่ไร้สง่าราศีในอัฟกานิสถาน และจำเป็นจำใจต้องถอนตัวออกจากประเทศที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายแห่งนี้ ซึ่งในปัจจุบันกำลังตกอยู่ในอาการซวนเซง่อนแง่น ยิ่งเสียกว่าเมื่อตอนที่พวกเขามาถึงเสียอีก มันก็เลยจำเป็นมากสำหรับพวกเขาที่จะต้องมองหาเรื่องอื่นๆ ที่เข้าไปจุ้นจ้านยุ่งเกี่ยวด้วย แล้วจะบังเกิดความเท่ความภูมิใจขึ้นมา
พวกขาจึงกำลังรวมหัวกันต่อต้านเล่นงานรัสเซียด้วยข้ออ้างหลอกๆ ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ รวมทั้งพยายามช่วยกันจินตนาการจากบางแง่บางมุมอันประหลาดพิกลว่า การแสดงละครชวนหัวของพวกเขานั้นช่างสอดคล้องกับกฎบัตรของนาโต้ที่ว่า “ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกเขา จะต้องระงับการข่มขู่คุกคามหรือการใช้กำลัง ในลักษณะใดๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของสหประชาชาติ”
ชาติสมาชิกนาโต้ ก็ทำนองเดียวกันกับวอชิงตันโพสต์และผลงานใส่ร้ายป้ายสีต่อต้านรัสเซียในเรื่องอีโบลาของพวกเขา ถ้าหยิบยืมคำพูดของปูตินมาใช้ ก็ต้องบอกว่าพวกเขา “กำลังหย่าขาดออกจากสภาพความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ”
ป.ล. หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เพิ่งเข้าร่วมขบวนการหาเรื่องจิ๊บๆ จ๊อยๆ มาเล่นงานทุบตีรัสเซียกับเขาด้วยแล้ว โดยในหน้า 1 ของฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน ได้เสนอ “รายงานพิเศษ” ที่พาดหัวว่า “เพื่อนของปูตินได้กำไรจากการยกเลิกตำราในโรงเรียน”
เจ้ารายงานที่แสนจะเที่ยงตรงปราศจากอคติของนิวยอร์กไทมส์ชิ้นนี้ บอกเล่าให้เราทราบว่า “เมื่อถึงตอนเริ่มต้นปีการศึกษานี้ จำนวนตำราเรียนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้สำหรับเด็กนักเรียน 14 ล้านคนของรัสเซีย ได้ถูกตัดหั่นออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังเป็นการคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของสำนักพิมพ์จำนวนมาก ทว่าสำนักพิมพ์รายหนึ่งซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ วี ปูติน กลับสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม” ช่างเป็นข่าวเปิดโปงตีพิมพ์ในหน้าหนึ่ง ที่แสนจะชืดๆ เซ็งๆ สำหรับหนังสือพิมพ์ซึ่งเคยมีฐานะเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับสำคัญที่สุดของโลก
ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ทำไมไม่ลองหันไปเล่นงานเรื่องรัสเซียแพร่เชื้ออีโบลากับเขาด้วยเลยล่ะ?
ไบรอัน คลัฟลีย์ เป็นอดีตทหาร ผู้ซึ่งในปัจจุบันเป็นนักเขียนที่นิยมเขียนเกี่ยวกับการทหารและการเมือง