**อึกทึกครึกโครมกันไปยกใหญ่ หลังนายทหารบุกเข้าสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อขอความร่วมมือให้ยุติเผยแพร่รายการ“เสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฏิรูป” ที่มีน.ส.ณาตยา แวววีรคุปต์ เป็นผู้ดำเนินรายการ เนื่องจากรายการดังกล่าว มีเนื้อหาพาดพิงการรัฐประหาร สุดท้ายต้องถอด น.ส.ณาตยา ออกจากการเป็นพิธีกร
เสมือนหนึ่งว่าทหารกำลังคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เดือดร้อนถึงองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต้องฮึดขึ้นมาแถลงการณ์ เรียกร้องกันรายวัน ส่งสัญญาณไปถึงผู้มีอำนาจให้หยุดพฤติกรรมเผด็จการ
และยังมีลูกตามน้ำ เมื่อลูกไหลเข้าทางเท้า องค์กรวิชาชีพเคลื่อนไหว จี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รีบยกเลิกคำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมสื่อให้หมด
**ตามเนื้อผ้าเหตุการณ์ที่เห็น“พันเอก ส.”บุกเข้าไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากในสังคม เสมือนเป็นการคุกคามประชาชน และปิดกั้นเสรีภาพที่ประชาชนควรจะได้รับ ทว่าในเรื่องเดียวกันนี้เองกลับมีหลายจุดจากปมดังกล่าวที่คลุมเครือน่าสงสัยไม่น้อยเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะการที่ผู้บริหารไทยพีบีเอส ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการพบกันวันแรกที่ “พันเอก ส.”นำกำลังเข้าไปในสถานี น่าแปลกที่ผู้บริหารไทยพีบีเอส กลับไม่ออกมาชำแหละให้เห็นว่า การที่เหล่าท็อปบู๊ต ตบเท้ามาขอความร่วมมือ ในวันที่เดินทางเข้าไปในสถานี มีการพูดจาอะไรกันบ้าง เป็นไปด้วยความรอมชอม ละมุนละม่อม
**หรือก้าวร้าว ข่มขู่ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ตอนนี้จริงหรือไม่ มีคำไหนที่ดูเป็นการคุกคามโดยชัดแจ้ง
หากมีการนำเผยแพร่ จะเป็นผลดีต่อสื่ออื่นๆด้วย เพราะจะเป็นการประจานให้เห็นถึงระบบเผด็จการที่พยายามครอบงำสื่อ แต่พอไม่มีคำพูดต่างๆ ออกมายืนยัน จึงทำให้เกิดข้อสงสัย เป็นคำถามในใจเหมือนกัน
ต้องยอมรับว่า ในข่าวที่ออกเผยแพร่สู่สาธารณะตอนนี้เป็นในลักษณะที่ทหารพยายามเข้าไปบีบคั้นแทรกแซงให้สถานีถอด น.ส.ณาตยา ออกจากการเป็นพิธีกร สื่อกำลังถูกกระทำราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ทหารคือตัวร้ายที่อันตราย แต่สะดุดอยู่ตรงที่ฟากฝั่งทหารเองก็อยากให้ผู้บริหารไทยพีบีเอส พูดถึงเหตุการณ์วันนั้นให้สังคมได้รับทราบเหมือนกัน เพื่อให้ข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง ราวกับขอความเป็นธรรมบ้าง หลังจากโดนซัดจนน่วมอยู่ข้างเดียว
ว่ากันตามความเป็นจริงตามหลักความถูกต้องก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องทางสถานีไทยพีบีเอส มีแต่แถลงการณ์ออกมาในลักษณะกว้างๆ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด หรือบทสนทนาหลังฉากเอ็กคลูซีฟในวันเกิดเรื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้นเลยทำให้มีการตั้งข้อสังเกตออกมาอีกทางหนึ่งว่า
**ความคลุมเครือที่เกิดขึ้น อาจเป็นการจงใจสร้างสถานการณ์ ปลุกปั่นให้เกิดกระแสต่อต้าน แล้วโยนบาปให้ทหารเป็นเผด็จการที่ข่มขู่คุกคามไม่เลิก และตามสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น มีการตีความสรุปจากสังคมไปแล้วว่า ทหารใช้ความรุนแรง ใช้อำนาจในมือแทรกแซงเยี่ยงเผด็จการฟาสซิสต์
ทางด้านผู้นำกองกำลังเสื้อฟิต “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เองก็ออกมาแจกแจงว่า ไม่ได้ไปคุกคามอะไรเกินเลยอย่างที่โหมกระพือข่าวกันไป ขอร้องให้อย่าไปขยายความให้บานปลาย พร้อมทั้งพูดเชิงดักคอ ตุ๊ยท้องไปเบาๆ ว่า มันมีเรื่องของการสร้างชื่อเสียง ตีปี๊บความดังหรือไม่
จะมีรายการเอาสถานการณ์มาสร้างวีรบุรุษหรือเปล่า สงสัยเหมือนกันว่ากำลังมีกระบวนการบางอย่าง จงใจอยากจะยกระดับเหตุการณ์อะไร หรือไม่
จริงๆ เรื่องการชี้แจงรายละเอียดจากไทยพีบีเอส ไม่น่าจะยากเย็นเข็ญใจอะไร เพราะหากดูโปรไฟล์ของผู้บริหารแต่ละคน มีเกียรติประวัติสูงส่ง บางคนมีดีกรีระดับ เมด ฟอร์ม บีบีซี ประสบการณ์ช่ำชอง แต่ไฉนไม่กล้าออกมาอธิบายต่อสังคม ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ แต่กลับทำตัวอ้อมแอ้มจนผิดสังเกต
**ขณะเดียวกัน การถอดน.ส.ณาตยา ออกจากผู้จัดรายการ ซึ่งจับสัญญาณแล้วก็น่าจะดองเค็มยาวไปจนหมดยุคทหารกันเลย น่าจะเป็นรายการแพะรับบาป สังเวยบูชายัญ !!!
แน่นอนว่าการถอด น.ส.ณาตยาครั้งนี้ ตำบลกระสุนตก รับแรงกระแทกไปเต็มๆ หนีไม่พ้นทหาร แล้วก็มองข้ามช็อตไปได้เลยว่า จากการเดินเกมตรงนี้ของไทยพีบีเอส เมื่อโยนทุ่นระเบิดไปแล้ว ปฏิกิริยาขององค์กรประชาชน องค์กรวิชาชีพสื่อ จะต้องออกมาช่วยกันขย่มเขย่า โชว์ความขึงขัง ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนในวงการเดียวกัน เหมือนกับหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา
แล้วก็เป็นไปตามนั้น องค์กรต่างๆ ดาหน้ากันออกมา จนเกิดเป็นกระแส เหมือนออกแขกผสมโรงไว้ก่อน เพื่อนเจ็บฉันก็เจ็บเหมือนกัน ข้อเท็จจริงตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างไรค่อยไปว่ากันทีหลัง หากผิดพลาดประการใด ค่อยบากหน้าออกมาขอโทษภายหลังได้
บางครั้งบางทีก็ต้องตำหนิกันเองเหมือนกัน เอาแต่ตรวจสอบคนอื่น บอกให้คนอื่นรอบคอบ ในมุมกลับกันก็ต้องทำตัวเองให้มีมาตรฐานอย่างที่เรียกร้องด้วย
**ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อว่าในที่สุดองค์กรสื่อ ก็จะออกมาแสดงบทบาทแค่พอสังเขป เมื่อทหารออกมาตบเท้า ฮึ่มฮั่มกันดังๆ สุดท้ายก็จะเงียบหายไปเอง ประหนึ่งคลื่นกระทบฝั่ง ดังที่เห็นกันมาแล้วหลายกรณี
อย่างไรก็ตาม ว่ากันด้วยไทยพีบีเอส ทีวีสาธารณะ รับงบประมาณปีละกว่า 2 พันล้านบาท แต่กลับเป็นเหมือนดินแดนสนธยา ที่ยากแท้หยั่งถึง อย่างเรื่องนี้ก็น่าฉงนไม่น้อยว่า อาจไม่ใช่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่เป็นวีรบุรุษสร้างสถานการณ์ หรือไม่
กรณีการคุมคามสื่อนี้ ไม่ใช่เรื่องดีในสังคมแน่นอน ทุกคนทราบอยู่แล้ว แต่ในเบื้องลึกเบื้องหลังก็ต้องตอบสังคมให้กระจ่างด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นประเด็นนี้ คนนินทาหมาดูถูกแน่
**ถ้าจะพูดถึงเรื่องการคุกคามสื่อจริงๆ จังๆ เรียนเชิญมาดูที่นี่ ถนนพระอาทิตย์ ณ เอเอสทีวี จะได้รู้ว่าของจริง โนสตั๊นท์แมน โนสแตนอิน เป็นเช่นไร ทหารตบเท้าเข้ามาในพื้นที่วันละสี่ซ้าห้าคน เป็นอย่างนี้ประจำเรื่อยมา นับตั้งแต่วันแรกของการรัฐประหาร เหมือนแขกเข้ามาบ้านโดยไม่ต้องมีเทียบเชิญ
แม้จะอึดอัดคันง่ามขาสัสสัส เหม็นขี้หน้าสัสสัส แต่ก็ต้องให้ข้าวให้น้ำ ตามประสาเพื่อนมนุษย์ ห้องน้ำห้องท่า มีให้บริการไม่ตั้งแง่รังเกียจรังงอน น้ำ-ไฟ ช่วยเหลือกันได้ก็แบ่งปัน จุนเจือ
แต่อยากฝากเหลือเกินถึงองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลายแหล่ ช่วยสอดส่ายสายตามาดูทางนี้สักนิด ได้หรือไม่ หลักฐานจะแจ้ง โจ๋งครึ่มกว่าไทยพีบีเอสเยอะ เห็นกันโต้งๆ กลางวันแสกๆ
องค์กรวิชาชีพสื่อน่าจะช่วยรุกเร้ากดดันนำทหารเหล่านี้กลับไปยังกรม กอง ที่ควรจะอยู่ เพราะขณะนี้ทำงานยากลำบากเหลือเกิน เหมือนมีเกสตาโปมายืนจ้อง นั่งเขียนหนังสือที ต้องเหลียวซ้ายที ขวาที เหมือนคนวิกลจริต
**เรื่องอะไรที่มันยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจนพักๆ ไว้บ้าง ให้เรื่องกระจ่างก่อนดีหรือไม่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง และดำรงอยู่จัดการก่อนดีกว่าไหม !?
เสมือนหนึ่งว่าทหารกำลังคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เดือดร้อนถึงองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต้องฮึดขึ้นมาแถลงการณ์ เรียกร้องกันรายวัน ส่งสัญญาณไปถึงผู้มีอำนาจให้หยุดพฤติกรรมเผด็จการ
และยังมีลูกตามน้ำ เมื่อลูกไหลเข้าทางเท้า องค์กรวิชาชีพเคลื่อนไหว จี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รีบยกเลิกคำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมสื่อให้หมด
**ตามเนื้อผ้าเหตุการณ์ที่เห็น“พันเอก ส.”บุกเข้าไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากในสังคม เสมือนเป็นการคุกคามประชาชน และปิดกั้นเสรีภาพที่ประชาชนควรจะได้รับ ทว่าในเรื่องเดียวกันนี้เองกลับมีหลายจุดจากปมดังกล่าวที่คลุมเครือน่าสงสัยไม่น้อยเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะการที่ผู้บริหารไทยพีบีเอส ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการพบกันวันแรกที่ “พันเอก ส.”นำกำลังเข้าไปในสถานี น่าแปลกที่ผู้บริหารไทยพีบีเอส กลับไม่ออกมาชำแหละให้เห็นว่า การที่เหล่าท็อปบู๊ต ตบเท้ามาขอความร่วมมือ ในวันที่เดินทางเข้าไปในสถานี มีการพูดจาอะไรกันบ้าง เป็นไปด้วยความรอมชอม ละมุนละม่อม
**หรือก้าวร้าว ข่มขู่ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ตอนนี้จริงหรือไม่ มีคำไหนที่ดูเป็นการคุกคามโดยชัดแจ้ง
หากมีการนำเผยแพร่ จะเป็นผลดีต่อสื่ออื่นๆด้วย เพราะจะเป็นการประจานให้เห็นถึงระบบเผด็จการที่พยายามครอบงำสื่อ แต่พอไม่มีคำพูดต่างๆ ออกมายืนยัน จึงทำให้เกิดข้อสงสัย เป็นคำถามในใจเหมือนกัน
ต้องยอมรับว่า ในข่าวที่ออกเผยแพร่สู่สาธารณะตอนนี้เป็นในลักษณะที่ทหารพยายามเข้าไปบีบคั้นแทรกแซงให้สถานีถอด น.ส.ณาตยา ออกจากการเป็นพิธีกร สื่อกำลังถูกกระทำราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ทหารคือตัวร้ายที่อันตราย แต่สะดุดอยู่ตรงที่ฟากฝั่งทหารเองก็อยากให้ผู้บริหารไทยพีบีเอส พูดถึงเหตุการณ์วันนั้นให้สังคมได้รับทราบเหมือนกัน เพื่อให้ข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง ราวกับขอความเป็นธรรมบ้าง หลังจากโดนซัดจนน่วมอยู่ข้างเดียว
ว่ากันตามความเป็นจริงตามหลักความถูกต้องก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องทางสถานีไทยพีบีเอส มีแต่แถลงการณ์ออกมาในลักษณะกว้างๆ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด หรือบทสนทนาหลังฉากเอ็กคลูซีฟในวันเกิดเรื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้นเลยทำให้มีการตั้งข้อสังเกตออกมาอีกทางหนึ่งว่า
**ความคลุมเครือที่เกิดขึ้น อาจเป็นการจงใจสร้างสถานการณ์ ปลุกปั่นให้เกิดกระแสต่อต้าน แล้วโยนบาปให้ทหารเป็นเผด็จการที่ข่มขู่คุกคามไม่เลิก และตามสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น มีการตีความสรุปจากสังคมไปแล้วว่า ทหารใช้ความรุนแรง ใช้อำนาจในมือแทรกแซงเยี่ยงเผด็จการฟาสซิสต์
ทางด้านผู้นำกองกำลังเสื้อฟิต “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เองก็ออกมาแจกแจงว่า ไม่ได้ไปคุกคามอะไรเกินเลยอย่างที่โหมกระพือข่าวกันไป ขอร้องให้อย่าไปขยายความให้บานปลาย พร้อมทั้งพูดเชิงดักคอ ตุ๊ยท้องไปเบาๆ ว่า มันมีเรื่องของการสร้างชื่อเสียง ตีปี๊บความดังหรือไม่
จะมีรายการเอาสถานการณ์มาสร้างวีรบุรุษหรือเปล่า สงสัยเหมือนกันว่ากำลังมีกระบวนการบางอย่าง จงใจอยากจะยกระดับเหตุการณ์อะไร หรือไม่
จริงๆ เรื่องการชี้แจงรายละเอียดจากไทยพีบีเอส ไม่น่าจะยากเย็นเข็ญใจอะไร เพราะหากดูโปรไฟล์ของผู้บริหารแต่ละคน มีเกียรติประวัติสูงส่ง บางคนมีดีกรีระดับ เมด ฟอร์ม บีบีซี ประสบการณ์ช่ำชอง แต่ไฉนไม่กล้าออกมาอธิบายต่อสังคม ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ แต่กลับทำตัวอ้อมแอ้มจนผิดสังเกต
**ขณะเดียวกัน การถอดน.ส.ณาตยา ออกจากผู้จัดรายการ ซึ่งจับสัญญาณแล้วก็น่าจะดองเค็มยาวไปจนหมดยุคทหารกันเลย น่าจะเป็นรายการแพะรับบาป สังเวยบูชายัญ !!!
แน่นอนว่าการถอด น.ส.ณาตยาครั้งนี้ ตำบลกระสุนตก รับแรงกระแทกไปเต็มๆ หนีไม่พ้นทหาร แล้วก็มองข้ามช็อตไปได้เลยว่า จากการเดินเกมตรงนี้ของไทยพีบีเอส เมื่อโยนทุ่นระเบิดไปแล้ว ปฏิกิริยาขององค์กรประชาชน องค์กรวิชาชีพสื่อ จะต้องออกมาช่วยกันขย่มเขย่า โชว์ความขึงขัง ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนในวงการเดียวกัน เหมือนกับหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา
แล้วก็เป็นไปตามนั้น องค์กรต่างๆ ดาหน้ากันออกมา จนเกิดเป็นกระแส เหมือนออกแขกผสมโรงไว้ก่อน เพื่อนเจ็บฉันก็เจ็บเหมือนกัน ข้อเท็จจริงตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างไรค่อยไปว่ากันทีหลัง หากผิดพลาดประการใด ค่อยบากหน้าออกมาขอโทษภายหลังได้
บางครั้งบางทีก็ต้องตำหนิกันเองเหมือนกัน เอาแต่ตรวจสอบคนอื่น บอกให้คนอื่นรอบคอบ ในมุมกลับกันก็ต้องทำตัวเองให้มีมาตรฐานอย่างที่เรียกร้องด้วย
**ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อว่าในที่สุดองค์กรสื่อ ก็จะออกมาแสดงบทบาทแค่พอสังเขป เมื่อทหารออกมาตบเท้า ฮึ่มฮั่มกันดังๆ สุดท้ายก็จะเงียบหายไปเอง ประหนึ่งคลื่นกระทบฝั่ง ดังที่เห็นกันมาแล้วหลายกรณี
อย่างไรก็ตาม ว่ากันด้วยไทยพีบีเอส ทีวีสาธารณะ รับงบประมาณปีละกว่า 2 พันล้านบาท แต่กลับเป็นเหมือนดินแดนสนธยา ที่ยากแท้หยั่งถึง อย่างเรื่องนี้ก็น่าฉงนไม่น้อยว่า อาจไม่ใช่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่เป็นวีรบุรุษสร้างสถานการณ์ หรือไม่
กรณีการคุมคามสื่อนี้ ไม่ใช่เรื่องดีในสังคมแน่นอน ทุกคนทราบอยู่แล้ว แต่ในเบื้องลึกเบื้องหลังก็ต้องตอบสังคมให้กระจ่างด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นประเด็นนี้ คนนินทาหมาดูถูกแน่
**ถ้าจะพูดถึงเรื่องการคุกคามสื่อจริงๆ จังๆ เรียนเชิญมาดูที่นี่ ถนนพระอาทิตย์ ณ เอเอสทีวี จะได้รู้ว่าของจริง โนสตั๊นท์แมน โนสแตนอิน เป็นเช่นไร ทหารตบเท้าเข้ามาในพื้นที่วันละสี่ซ้าห้าคน เป็นอย่างนี้ประจำเรื่อยมา นับตั้งแต่วันแรกของการรัฐประหาร เหมือนแขกเข้ามาบ้านโดยไม่ต้องมีเทียบเชิญ
แม้จะอึดอัดคันง่ามขาสัสสัส เหม็นขี้หน้าสัสสัส แต่ก็ต้องให้ข้าวให้น้ำ ตามประสาเพื่อนมนุษย์ ห้องน้ำห้องท่า มีให้บริการไม่ตั้งแง่รังเกียจรังงอน น้ำ-ไฟ ช่วยเหลือกันได้ก็แบ่งปัน จุนเจือ
แต่อยากฝากเหลือเกินถึงองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลายแหล่ ช่วยสอดส่ายสายตามาดูทางนี้สักนิด ได้หรือไม่ หลักฐานจะแจ้ง โจ๋งครึ่มกว่าไทยพีบีเอสเยอะ เห็นกันโต้งๆ กลางวันแสกๆ
องค์กรวิชาชีพสื่อน่าจะช่วยรุกเร้ากดดันนำทหารเหล่านี้กลับไปยังกรม กอง ที่ควรจะอยู่ เพราะขณะนี้ทำงานยากลำบากเหลือเกิน เหมือนมีเกสตาโปมายืนจ้อง นั่งเขียนหนังสือที ต้องเหลียวซ้ายที ขวาที เหมือนคนวิกลจริต
**เรื่องอะไรที่มันยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจนพักๆ ไว้บ้าง ให้เรื่องกระจ่างก่อนดีหรือไม่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง และดำรงอยู่จัดการก่อนดีกว่าไหม !?