วันก่อนผู้สื่อข่าวได้ถามถึง บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ซื้อที่ดินของบิดาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในราคา 600 ล้านบาท พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องของคุณเลยนะ ไปถามบริษัทเขาสิ ในประเทศ คือ ในประเทศ ส่วนตัว คือ ส่วนตัว ประเทศชาติ คือ ประเทศชาติ เอาอย่างนี้แล้วกัน มันจะได้ไม่หงุดหงิดใส่กัน ขอร้องนะ ถ้าคนไม่พยายามละเมิดซึ่งกันและกัน มันก็โอเค สิทธิส่วนบุคคลผมมีอยู่นะ ไม่ใช่ผมเป็นนายกฯ แล้วจะยังไงกับผมก็ได้ ไม่ใช่ ผมก็เป็นประชาชนนะ ผมก็มีสิทธิปกป้องตัวเองเหมือนกัน”
ผมคิดว่าท่านคงลืมไปว่าในฐานะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีหรือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกก่อนหน้านี้ มันทำให้ท่านเป็นบุคคลสาธารณะที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียของชาติบ้านเมือง ท่านมีสิทธิพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ท่านมีอิทธิพลที่สามารถตัดสินให้คุณให้โทษกับบุคคลอื่น ไม่ใช่ประชาชนคนธรรมดาสามัญทั่วไป
และเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วท่านไมควรปฏิเสธการตรวจสอบในทุกเรื่อง ไมยกเวนแมกระทั่งเรื่องสวนตัวที่อาจทําใหเกิดความกังขาหรือหมิ่นเหมวาจะมีผลกระทบตอความซื่อตรงของการปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงที่ตนเองดูแลรับผิดชอบ
แต่เมื่อท่านอ้างว่าท่านเป็นประชาชนและอ้างถึงสิทธิส่วนบุคคลของท่านเพื่อปกป้องตัวเอง ผมก็ไม่ขัดข้อง หากท่านมองว่าสิทธิส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกละเมิดท่านก็ควรจะต้องทบทวนด้วยเหมือนกันใช่ไหมว่า คำสั่งของท่านในฐานะคณะรัฐประหารนั้นมีสิ่งใดที่กระทบต่อความเป็นประชาชนและสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าท่านไม่ได้เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในประเทศนี้ที่สามารถอ้างสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นประชาชนเพื่อไม่ให้ใครมาล่วงล้ำได้
วันที่เข้ามายึดอำนาจท่านได้รัฏฐาธิปัตย์ไปแล้ว รัฏฐาธิปัตย์แปลว่าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่มีใครเข้ามาขัดขวางการยึดอำนาจของท่าน วันนั้นท่านทำในฐานะผู้นำกองทัพไม่ใช่ประชาชนเพื่อเข้ามาคลี่คลายวิกฤตของบ้านเมือง ทุกคนยอมรับอำนาจของท่าน แต่บัดนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจบริหารบ้านเมืองซึ่งกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไป แล้วทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ประชาชนเขามีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของตัวเองเล่า ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ประชาชนมีปากเสียงเพื่อร่วมตัดสินต่ออนาคตของประเทศที่ทุกคนมีส่วนเป็นเจ้าของเล่า
อย่าลืมว่าประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ในฐานะประชาชนของประเทศนี้ทุกคนควรจะพูดได้เหมือนกับท่านว่า “ผมก็เป็นประชาชนนะ ผมก็มีสิทธิปกป้องตัวเองเหมือนกัน”
วันนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจพิเศษปกครองประเทศ ท่านเป็นรัฐบาลในกระดองเต่าที่มีเกราะกำบังทั้งประกาศกฎอัยการศึก และอำนาจล้นฟ้าตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลของท่านมีเสถียรภาพและความมั่นคงแล้ว
ไม่มีความจำเป็นเลยที่ท่านจะยังคงประกาศฉบับที่ 97 และ 103 ในการควบคุมการทำงานของสื่อมวลชน
ทำไมท่านถึงยังไม่ยอมคืนเสรีภาพให้แก่สื่อมวลชนซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของประชาชนให้เขาได้ทำหน้าที่เป็นกระจกและเทียนไขส่องนำทางสังคม ให้สื่อมวลชนมีเสรีภาพที่จะนำเสนอความจริงในสังคม ให้สื่อได้มีบทบาทแสดงความเห็นเพื่อที่จะร่วมกันกำหนดอนาคตและชะตากรรมของประเทศนี้ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งเหมือนกับท่าน
ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่า สื่อจะอ้างเสรีภาพมาใช้โดยไม่มีขอบเขตกฎเกณฑ์และกติกาได้ เพราะสื่อก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอยู่แล้วทั้งกฎหมายอาญาและแพ่ง รวมถึงพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ควบคุมเกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางคอมพิวเตอร์ และการควบคุมกันเองภายใต้จรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการควบคุมจากภาคประชาสังคมที่คงไม่ยอมให้สื่อมวลชนที่ไม่ยึดมั่นในจรรยาบรรณมีที่ยืนในสังคมอย่างแน่นอน
และหากสื่อมวลชนรายใดทั้งในนามองค์กรและตัวบุคคลกระทำผิดต่อหน้าที่ก้าวล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ผู้เสียหายก็ชอบที่จะดำเนินการ หรือใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่จัดการได้อยู่แล้ว ยิ่งฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐกลไกก็มีมากกว่าบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องใช้ประกาศทั้งสองฉบับเลย การใช้กฎเกณฑ์ปกติที่เป็นกติการ่วมของสังคมไม่ดีกว่าการส่งทหารในนามกองทัพเข้าไปกดดันอย่างที่เกิดขึ้นที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสหรอกหรือ
แล้วในฐานะที่ท่านประกาศว่าจะเป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริตจะไม่ยอมให้เพื่อนหรือพี่ที่แวดล้อมตัวท่านเข้ามาหาผลประโยชน์ ทำไมท่านจึงไม่ยอมให้สื่อมวลชนมีอิสระที่จะนำเสนอความจริงเล่า เขาจะได้ช่วยกันเผยแพร่ความซื่อสัตย์สุจริตของท่าน เขาจะได้ช่วยกันสะท้อนว่า มีใครบ้างรอบตัวท่านที่เริ่มออกนอกลู่นอกทาง ไม่มีสิ่งไหนที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของท่านเลยครับ
นอกจากนั้นในช่วงที่ประเทศกำลังเปลี่ยนผ่านเพื่อนำสังคมไปสู่ความสมานฉันท์ปรองดองเพื่อหลุดพ้นจากความขัดแย้งในสังคมไทยที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่ายมาร่วมทศวรรษ การเปิดโอกาสให้สื่อมีเสรีภาพโดยอำนาจรัฐไม่เข้ามาแทรกแซงจะทำให้เกิดบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือการรับฟังจากกลไกที่ตั้งขึ้นโดยอำนาจรัฐประหารอย่าง สนช.หรือ สปช.โดยยึดหลักที่ท่านอ้างในการปกป้องตัวเองนั่นแหละว่าทุกคนก็คือ ประชาชนซึ่งมีส่วนเป็นเจ้าของประเทศนี้เหมือนกัน
ผมเข้าใจว่าท่านต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขปัญหาของประเทศ แต่การให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ก็ไม่ได้ทำให้อำนาจของท่านลดลงไปเลย ปลดโซ่ตรวนที่ทำลายเสรีภาพของสื่อมวลชนออกเถอะครับ อย่างน้อยแม้ว่าท่านไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเขาจะได้มั่นใจว่า สิ่งที่ท่านบอกว่าเข้ามาแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเพื่อสร้างกติกาใหม่ก่อนกลับไปสู่การเลือกตั้งนั้น มันสามารถสะท้อนว่า อย่างน้อยท่านก็เข้าใจถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และท่านจะสามารถสร้างระบอบที่มั่นคงและเป็นประชาธิปไตยให้กับบ้านเมืองนี้ได้
วันนี้ท่านเป็นบุคคลสาธารณะแล้วถูกสื่อมวลชนตรวจสอบ ท่านอ้างว่าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่งที่สามารถป้องกันสิทธิของตนเองได้ ถ้าอย่างนั้นท่านควรจะปลดโซ่ตรวนให้ประชาชนคนอื่นที่ถูกจำกัดสิทธิส่วนบุคคลโดยอำนาจรัฐประหารด้วย และสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำคือยกเลิกประกาศฉบับ 97 และ 103 เพื่อให้สิทธิเสรีภาพต่อสื่อมวลชน
ท่านต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนคนอื่นก็มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองเหมือนกับท่าน แล้วต้องพร้อมรับความคิดเห็นที่หลากหลายเพื่อร่วมกันคลี่คลายวิกฤตของสังคมที่เป็นของทุกคนในฐานะประชาชนของประเทศนี้เช่นเดียวกัน
นี่คือสิ่งที่มองเห็นในวันที่นายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะรัฐประหารอ้างความเป็นประชาชน และสิทธิส่วนบุคคลว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกก้าวล่วง
ผมคิดว่าท่านคงลืมไปว่าในฐานะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีหรือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกก่อนหน้านี้ มันทำให้ท่านเป็นบุคคลสาธารณะที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียของชาติบ้านเมือง ท่านมีสิทธิพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ท่านมีอิทธิพลที่สามารถตัดสินให้คุณให้โทษกับบุคคลอื่น ไม่ใช่ประชาชนคนธรรมดาสามัญทั่วไป
และเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วท่านไมควรปฏิเสธการตรวจสอบในทุกเรื่อง ไมยกเวนแมกระทั่งเรื่องสวนตัวที่อาจทําใหเกิดความกังขาหรือหมิ่นเหมวาจะมีผลกระทบตอความซื่อตรงของการปฏิบัติหนาที่ในตําแหนงที่ตนเองดูแลรับผิดชอบ
แต่เมื่อท่านอ้างว่าท่านเป็นประชาชนและอ้างถึงสิทธิส่วนบุคคลของท่านเพื่อปกป้องตัวเอง ผมก็ไม่ขัดข้อง หากท่านมองว่าสิทธิส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกละเมิดท่านก็ควรจะต้องทบทวนด้วยเหมือนกันใช่ไหมว่า คำสั่งของท่านในฐานะคณะรัฐประหารนั้นมีสิ่งใดที่กระทบต่อความเป็นประชาชนและสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าท่านไม่ได้เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในประเทศนี้ที่สามารถอ้างสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นประชาชนเพื่อไม่ให้ใครมาล่วงล้ำได้
วันที่เข้ามายึดอำนาจท่านได้รัฏฐาธิปัตย์ไปแล้ว รัฏฐาธิปัตย์แปลว่าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่มีใครเข้ามาขัดขวางการยึดอำนาจของท่าน วันนั้นท่านทำในฐานะผู้นำกองทัพไม่ใช่ประชาชนเพื่อเข้ามาคลี่คลายวิกฤตของบ้านเมือง ทุกคนยอมรับอำนาจของท่าน แต่บัดนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจบริหารบ้านเมืองซึ่งกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไป แล้วทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ประชาชนเขามีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของตัวเองเล่า ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ประชาชนมีปากเสียงเพื่อร่วมตัดสินต่ออนาคตของประเทศที่ทุกคนมีส่วนเป็นเจ้าของเล่า
อย่าลืมว่าประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ในฐานะประชาชนของประเทศนี้ทุกคนควรจะพูดได้เหมือนกับท่านว่า “ผมก็เป็นประชาชนนะ ผมก็มีสิทธิปกป้องตัวเองเหมือนกัน”
วันนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจพิเศษปกครองประเทศ ท่านเป็นรัฐบาลในกระดองเต่าที่มีเกราะกำบังทั้งประกาศกฎอัยการศึก และอำนาจล้นฟ้าตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลของท่านมีเสถียรภาพและความมั่นคงแล้ว
ไม่มีความจำเป็นเลยที่ท่านจะยังคงประกาศฉบับที่ 97 และ 103 ในการควบคุมการทำงานของสื่อมวลชน
ทำไมท่านถึงยังไม่ยอมคืนเสรีภาพให้แก่สื่อมวลชนซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของประชาชนให้เขาได้ทำหน้าที่เป็นกระจกและเทียนไขส่องนำทางสังคม ให้สื่อมวลชนมีเสรีภาพที่จะนำเสนอความจริงในสังคม ให้สื่อได้มีบทบาทแสดงความเห็นเพื่อที่จะร่วมกันกำหนดอนาคตและชะตากรรมของประเทศนี้ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งเหมือนกับท่าน
ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่า สื่อจะอ้างเสรีภาพมาใช้โดยไม่มีขอบเขตกฎเกณฑ์และกติกาได้ เพราะสื่อก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอยู่แล้วทั้งกฎหมายอาญาและแพ่ง รวมถึงพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ควบคุมเกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางคอมพิวเตอร์ และการควบคุมกันเองภายใต้จรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการควบคุมจากภาคประชาสังคมที่คงไม่ยอมให้สื่อมวลชนที่ไม่ยึดมั่นในจรรยาบรรณมีที่ยืนในสังคมอย่างแน่นอน
และหากสื่อมวลชนรายใดทั้งในนามองค์กรและตัวบุคคลกระทำผิดต่อหน้าที่ก้าวล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ผู้เสียหายก็ชอบที่จะดำเนินการ หรือใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่จัดการได้อยู่แล้ว ยิ่งฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐกลไกก็มีมากกว่าบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องใช้ประกาศทั้งสองฉบับเลย การใช้กฎเกณฑ์ปกติที่เป็นกติการ่วมของสังคมไม่ดีกว่าการส่งทหารในนามกองทัพเข้าไปกดดันอย่างที่เกิดขึ้นที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสหรอกหรือ
แล้วในฐานะที่ท่านประกาศว่าจะเป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริตจะไม่ยอมให้เพื่อนหรือพี่ที่แวดล้อมตัวท่านเข้ามาหาผลประโยชน์ ทำไมท่านจึงไม่ยอมให้สื่อมวลชนมีอิสระที่จะนำเสนอความจริงเล่า เขาจะได้ช่วยกันเผยแพร่ความซื่อสัตย์สุจริตของท่าน เขาจะได้ช่วยกันสะท้อนว่า มีใครบ้างรอบตัวท่านที่เริ่มออกนอกลู่นอกทาง ไม่มีสิ่งไหนที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของท่านเลยครับ
นอกจากนั้นในช่วงที่ประเทศกำลังเปลี่ยนผ่านเพื่อนำสังคมไปสู่ความสมานฉันท์ปรองดองเพื่อหลุดพ้นจากความขัดแย้งในสังคมไทยที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่ายมาร่วมทศวรรษ การเปิดโอกาสให้สื่อมีเสรีภาพโดยอำนาจรัฐไม่เข้ามาแทรกแซงจะทำให้เกิดบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือการรับฟังจากกลไกที่ตั้งขึ้นโดยอำนาจรัฐประหารอย่าง สนช.หรือ สปช.โดยยึดหลักที่ท่านอ้างในการปกป้องตัวเองนั่นแหละว่าทุกคนก็คือ ประชาชนซึ่งมีส่วนเป็นเจ้าของประเทศนี้เหมือนกัน
ผมเข้าใจว่าท่านต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขปัญหาของประเทศ แต่การให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ก็ไม่ได้ทำให้อำนาจของท่านลดลงไปเลย ปลดโซ่ตรวนที่ทำลายเสรีภาพของสื่อมวลชนออกเถอะครับ อย่างน้อยแม้ว่าท่านไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเขาจะได้มั่นใจว่า สิ่งที่ท่านบอกว่าเข้ามาแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเพื่อสร้างกติกาใหม่ก่อนกลับไปสู่การเลือกตั้งนั้น มันสามารถสะท้อนว่า อย่างน้อยท่านก็เข้าใจถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และท่านจะสามารถสร้างระบอบที่มั่นคงและเป็นประชาธิปไตยให้กับบ้านเมืองนี้ได้
วันนี้ท่านเป็นบุคคลสาธารณะแล้วถูกสื่อมวลชนตรวจสอบ ท่านอ้างว่าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่งที่สามารถป้องกันสิทธิของตนเองได้ ถ้าอย่างนั้นท่านควรจะปลดโซ่ตรวนให้ประชาชนคนอื่นที่ถูกจำกัดสิทธิส่วนบุคคลโดยอำนาจรัฐประหารด้วย และสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำคือยกเลิกประกาศฉบับ 97 และ 103 เพื่อให้สิทธิเสรีภาพต่อสื่อมวลชน
ท่านต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนคนอื่นก็มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองเหมือนกับท่าน แล้วต้องพร้อมรับความคิดเห็นที่หลากหลายเพื่อร่วมกันคลี่คลายวิกฤตของสังคมที่เป็นของทุกคนในฐานะประชาชนของประเทศนี้เช่นเดียวกัน
นี่คือสิ่งที่มองเห็นในวันที่นายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะรัฐประหารอ้างความเป็นประชาชน และสิทธิส่วนบุคคลว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกก้าวล่วง