ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -งัดไม้แข็งขั้นสูงสุดออกมาปรามทันทีที่มีเสียงขู่จะก่อม็อบจากฟาก กปปส. ตามด้วย นปช. ที่ตั้งท่าแสดงพลังกดดันกันในเรื่องถอดถอนVSไม่ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว งานนี้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) จึงออกมาส่งเสียงเตือนล่วงหน้าว่าเอาจริงแน่ถ้ายังขืนวุ่นวายมีปัญหากันไม่หยุดหย่อน
ปรามกันถึงขนาดว่าจะงัดเอามาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่ให้อำนาจพิเศษกับ คสช. มาใช้กันเลยทีเดียว
ย้อนกลับไปดูความขัดแย้งของเรื่องนี้ เริ่มจากกรณีที่นายถาวร เสนเนียม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำกลุ่ม กปปส. แถลงในวาระครบรอบหนึ่งปีการชุมนุมของกปปส. โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องคือการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา รวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องมายังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อขอให้ดำเนินการถอดถอน โดยนายถาวร ยืนยันว่า สนช.มีอำนาจในการรับเรื่องไว้พิจารณาถอดถอนและเป็นหน้าที่หลักของสนช.ที่จะบ่ายเบี่ยงไม่ได้
คำแถลงของนายถาวร ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต มีประโยคเด็ดอยู่ที่ว่า “..... หาก สนช.ไม่รับเรื่องถอดถอนนายสมศักดิ์และนายนิคมไว้พิจารณา โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจ ก็อาจเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชนแน่ โดยตนจะยื่นเรื่องร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการถอดถอน สนช.ต่อไป และขอเรียกร้องให้ คสช.เตือนสติถึง สนช. ว่าต้องทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนประชาชน แม้จะถูกอุปโลกน์ก็ตาม ในการกำจัดทุจริต ถ้าไม่รีบทำวันนี้จะหมดโอกาส และการทำรัฐประหารจะเสียของ”
คล้อยหลังจากที่นายถาวร ออกมากดดัน สนช. ให้รับเรื่องถอดถอนข้างต้น ทางนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาตอกหน้าสนช.กระแทกไปยัง คสช. อย่างจังเบอร์ ว่า สนช.กำลังบัญญัติอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งที่ไม่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ถือเป็นการลุอำนาจอย่างยิ่ง
พร้อมกับส่งเสียงขู่อีกว่า "วันนี้พวกคุณมีที่มาอย่างไรทุกคนทราบดี ไม่รู้สมคบคิดกับใครหรือไม่ พวกมาจากการแต่งตั้งจะมาถอดถอนคนที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องตลกของประชาธิปไตย เราไม่ยอมแน่ เพราะเรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แก้รัฐธรรมนูญไปตามอำนาจหน้าที่ ถ้ามีการยื่นเรื่องถอดถอนเมื่อใด ได้คุยกันแล้วว่าพวกเราอดีต ส.ส.และอดีต ส.ว. 300 กว่าคน พร้อมทั้งประชาชนอีกมากมาย จะออกมาต่อต้านคัดค้านอย่างแน่นอน แม้รู้ดีว่ายังมีกฎอัยการศึกอยู่ รู้ดีว่ารัฐบาลต้องการความสงบ แต่เรื่องนี้เป็นเพราะองค์กรอิสระ และ สนช.บางคนจุดประเด็นขึ้นมาขยายความขัดแย้ง จึงมีความชอบธรรมที่จะออกมา ขอบอกเลยว่าการยึดอำนาจจะเสียของถ้าทำกันแบบนี้....”
ไม่เฉพาะแต่นายวรชัย เท่านั้น นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี 1 ใน 36 ส.ว. ที่ ป.ป.ช.เตรียมส่งเรื่องให้ สนช.ถอดถอน ฐานใช้อำนาจไม่ชอบในการร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ก็ออกมาเป็นลูกคู่ขานรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของความคิดเห็นฝ่ายหนึ่งก็คิดว่าเป็นเรื่องถูก ขณะที่ฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ผิด แต่หากจะมองว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเรื่องที่ผิด ตนคิดว่า คสช.ไม่ยิ่งผิดกว่าหรือ เพราะ คสช.ฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไปเลย แล้วเอื้อประโยชน์หรือไม่ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองหรือไม่ เพียงแต่ใช้คำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” เพราะคุณมีปืน มีอำนาจที่เหนือกว่า แต่กลับบอกว่าไม่ผิด
“.... ถ้าถอดถอนเพื่อจะล้างนักการเมืองเหล่านี้ ต่อไปก็จะเป็นคิวอดีต ส.ส.อีก 250 คน แล้วถ้า สนช.ตัดสินว่าผิด ซึ่งก็ไม่ต่างกับการใช้อำนาจของ คสช.เพราะก็รู้อยู่แล้วว่า สนช.ไม่ได้เป็นอิสระ แล้วการลงโทษเช่นนี้จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นหรือ”
เรียกว่ากระแทก สนช.กระทบชิ่งไปยัง คสช.อย่างจัง แม้แกนนำและพลพรรค นปช. จะพากันเรียงหน้ากันออกมาแก้เกี้ยวในภายหลังว่า นายวรชัย กับนายสิงห์ชัย ให้ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับนปช.แต่อย่างใด แต่จะให้ใครเขาเชื่อคำแก้ต่างอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม พอเรื่องท่าทางจะบานปลาย นพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ก็โบ้ยให้พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่า เรื่องนี้นปช.ไม่ได้เริ่มต้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปห้าม กปปส. ที่ออกมาข่มขู่จะเคลื่อนไหวชุมนุมกดดันการทำงาน สนช. หากไม่ทำการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ..... พล.อ.ประยุทธ์ต้องไปดูตรงนั้น ถ้าปล่อยให้คนพวกนี้ออกมา ก็ต้องบอกว่าสมยอม ร่วมมือกันหรือไม่ ถ้าพวกนั้นทำได้ เราทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ ยืนยันว่าเราพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาข่มเหงรังแกอยู่ฝ่ายเดียว และยังฝากไปถึงนายสมชาย แสวงการ สนช. ออกมาข่มขู่อัยการ หากมีคำสั่งไม่ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเรียกร้องให้ คสช.จัดการอัยการ ด้วยว่า ขณะนี้ สนช.บางคนใหญ่โตเหลือเกิน ถือว่าเป็นเครือข่ายของฝ่ายยึดอำนาจ แล้วจะใหญ่เกินโลกทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ
พอถูกฝ่าย นปช. สวนกลับ นายถาวร ก็ลุกขึ้นโต้ทันทีอีกว่า อย่ามาใช้วิธีการข่มขู่เหมือนนักเลงอันธพาลแบบเดิมๆ และไม่ได้ข่มขู่สนช. ให้รับเรื่องถอดถอนบุคคลทั้งสองไว้พิจารณาตามกระบวนการของกฎหมาย หาก สนช.ไม่รับเรื่องนี้โดยอ้างยึดแต่หลักกฎหมาย แต่ไม่ดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตนก็จะได้นำเอาเป็นกรณีศึกษาให้กับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงให้รู้ว่าเป็นอย่างไรและเพื่อเป็นบทเรียนของภาคประชาชนต่อไป
ต่อปากต่อคำ ซ้ำยังขู่ประลองกำลังมวลชนกัน กลายเป็นการเปิดศึกสงครามน้ำลายจากทั้งสองขั้ว การเมืองที่เป็นสาเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขู่งัดไม้ตายออกมาจัดการ และปรามว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งหมด
“ทุกคนต้องก้าวพ้นกับดักประเทศ โดยเฉพาะกับคำว่ากับดักประชาธิปไตย ปัญหาเดิมปล่อยให้กระบวนการทางกฎหมายว่าไป คนผิดต้องว่าไปตามผิด การชุมนุม ไม่ได้ห้าม แต่อย่าใช้ม็อบมากดดันกัน มันก็เหมือนเก่า ตนก็ต้องออกมาใช้กฎหมายอยู่ดี อย่ามาพูดจาข่มขู่ ประชาชน ประเทศชาติ จะอยู่ตรงไหน ....”
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พูดเปล่า แต่สั่งให้พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงด้วยว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคสช.พร้อมใช้อำนาจสูงสุดจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาด
“นายกฯ บอกว่าหากไม่สามารถทำความเข้าใจกับผู้ที่เคลื่อนไหวได้ ถ้ามีความจำเป็นจะต้องบังคับใช้กฎหมายก็ต้องทำ โดยให้เริ่มจากกฎหมายปกติที่จากมาตรการขั้นเบาไปหาหนักก่อนใช้กฎอัยการศึก หรือแม้กระทั่งมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้อำนาจพิเศษไว้ ซึ่งถ้าจำเป็นต้องทำก็ต้องทำเพื่อให้บ้านเมืองสงบ”
นับเป็นท่าทีที่ถือเป็นการปรามตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพราะในทัศนะของนายกรัฐมนตรีแล้ว ถ้าไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งจะขยายกลายเป็นความขัดแย้ง บ้านเมืองจะกลับไปแบบเดิม และใครจะกล้าหาญมาแบบนี้อีกจะยากยิ่งกว่าเดิม
เป็นการประกาศชัดเจนว่าการงัดมาตรา 44 ขึ้นมาก็เพื่อปรามฝ่ายการเมืองที่เริ่มเคลื่อนไหวให้สงบเงียบอย่าสร้างความวุ่นวาย
สำหรับเนื้อหาของ มาตรา 44 ระบุว่า ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่างๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่ง หรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
ทันทีที่ “บิ๊กตู่” ประกาศกร้าวเช่นนั้น พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ก็ขานรับเป็นทิวแถว โดยเฉพาะพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กระทรวงกลาโหม ได้ออกมาหนุนหลังทันที พร้อมทั้งยังส่งเสียงเตือนไปยังกลุ่มการเมืองที่เตรียมเคลื่อนไหวปลุกม็อบด้วยว่า “สัมภาษณ์ก็สัมภาษณ์ไป แต่อย่าทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม อย่าทำให้เกิดความไม่มั่นคงของรัฐเพราะตนรับไม่ได้ แบบนั้นต้องมีการพูดคุยกัน”
ขณะที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาให้ข้อมูลสอดรับกัน ว่า หน่วยงานความมั่นคงรายงานพบการเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆ มีลักษณะนัดชุมนุม เผยแพร่ข้อมูลลักษณะยุยงให้เกิดความเข้าใจผิด เกลียดชัง ทั้งเรื่องการเมืองและสถาบัน รวมทั้งช่วงนี้เข้าสู่ขั้นตอนการปฏิรูป ต้องจัดตั้งกลุ่มต่างๆนัดพูดคุย รวมถึงการชุมนุมของประชาชนจากความเดือดร้อนต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงกังวลพร้อมสั่งให้ติดตามสถานการณ์ เร่งทำความเข้าใจ โดยเฉพาะความไม่สงบที่แสวงหาผลประโยชน์จากการชุมนุมที่บริสุทธิ์ใจ รัฐบาลไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่ใช้มาตรา 44 ทันที แต่จะเริ่มจากเบาไปหาหนักตามกรอบกฎอัยการศึก และทำความเข้าใจกันก่อน แต่ถ้าต้องทำอะไรมากกว่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อนาคต ทั้งนี้มุมมองที่ทำงานข่าวกรองมาก่อน ต้องติดตาม ประเมินลักษณะระมัดระวัง และสถานการณ์ขณะนี้ทุกการเคลื่อนไหวน่าเป็นห่วงหมด เชื่อมโยงหลายเรื่องได้รวมถึงสถาบันหลัก
ดังนั้น เรื่องคลื่นใต้น้ำและการออกมาขู่ใช้มาตรา 44 จึงไม่ใช่ข่าวโคมลอย หากแต่มีมูลและ คสช.ก็กำลังปริวิตกอยู่ไม่น้อย
เกมประลองกำลัง และลองของ คสช. กำลังเริ่มต้นเปิดหน้าชกกันแล้ว ขึ้นอยู่กับว่า คสช.จะกล้าใช้อำนาจเด็ดขาดจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้สมความตั้งใจ และเพื่อไม่ให้การรัฐประหารครั้งนี้ "เสียของ" อย่างที่แกนนำม็อบและส.ส.จากพรรคการเมืองการเมืองใหญ่สองขั้วปรามาส