xs
xsm
sm
md
lg

"ปู"ส่งลิ่วล้อค้าน เบรกสนช.ประชุม หวังดึงเกมถอนถอน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ทีมกฎหมายเพื่อไทยหัวหมอ ยื่นหนังสือคัดค้านการประชุม สนช. นัดพิเศษ ถกถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" วันที่ 12 พ.ย.นี้ อ้างการร่างข้อบังคับ สนช. มิชอบ "เด็จพี่" แถให้ยึดหลักปรองดองในการพิจารณา "วิสุทธิ์" โวย "วิชา" ดูแต่เรื่องโกงข้าว ไม่หันไปดูเรื่องโรงพักของ "หลวงพี่สุเทพ" บ้าง ด้าน "หมอวรงค์" ฉะทีมทนายปู ดิ้นขวาง สนช. ถอดถอนนายหญิง อ้างกฎหมายมั่ว สร้างความสับสน จับตา สนช.สายทหาร ส่อล้มถอดถอน "นิคม-สมศักดิ์" ในการพิจารณาวันนี้ "ประยุทธ์"พูดถึงมาตรา 44 แค่เตือนกลุ่มที่คิดจะเคลื่อนไหวป่วน อ้างการข่าวพบมีการเตรียมก่อหวอด

เมื่อเวลา 13.15 น. วานนี้ (5 พ.ย.) ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายเอนก คำชุ่ม และนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อขอคัดค้านการพิจารณาสำนวนถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการประชุม สนช.นัดพิเศษ ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ ซึ่งมี นางวรารัตน์ อติแพทย์ รองเลขาธิการวุฒิสภา เป็นผู้รับเรื่องดังกล่าวไว้

นายเอนกกล่าวว่า ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ขอคัดค้านคำสั่งประธาน สนช. ที่สั่งให้รับสำนวนถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้พิจารณา ด้วยการนำข้อบังคับการประชุมสนช. พ.ศ. 2557 หมวดที่ 10 ว่าด้วยการถอดถอนมาบังคับใช้ในการประชุมดังกล่าว เนื่องด้วยเหตุผล 7 ข้อ ตามที่ได้เคยแถลงไว้ ซึ่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไม่ได้มีส่วนใดที่ให้อำนาจ สนช. ในการถอดถอน ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยเห็นว่า การร่างข้อบังคับ สนช. โดยเฉพาะหมวดถอดถอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอยากให้ สนช. รับฟังความความเห็นต่าง และความเห็นแย้งทางข้อกฎหมายของฝ่ายเราไว้พิจารณา เพื่อให้การดำเนินการมีความยุติธรรม เพราะตามสำนวนชี้มูลความผิดจากป.ป.ช. โดยอ้าง พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. ก็ยังมีส่วนที่คาบเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่ยกเลิกไปแล้ว

"ขอให้ สนช. พิจารณาเลื่อนการประชุมนัดพิเศษ ในวันที่ 12 พ.ย.ออกไปก่อน เนื่องจากตามกระบวนการทางกฎหมายแล้ว หากจะดำเนินการถอดถอน สนช.จะต้องแจ้งเอกสารสำนวนถอดถอนให้สมาชิก สนช. ป.ป.ช. และผู้ถูกชี้มูลรับทราบด้วย แต่จนถึงขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทีมทนาย ยังไม่ได้รับหนังสือเอกสารดังกล่าว ทีมทนายจึงต้องการเอกสารการชี้มูลดังกล่าว พร้อมตรวจสอบในรายละเอียดของสำนวนก่อนว่า ทางป.ป.ช. มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาในสำนวนหรือไม่ เพื่อที่ทีมทนายจะได้ทำหนังสือคัดค้านสำนวนถอดถอนดังกล่าว ได้อย่างรอบคอบรัดกุมอีกด้วย"

นายเอนกกล่าวอีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องถูกพิจารณาถอดถอน เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวจะนำไปสู่การจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกชี้มูลความผิด ก็ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี พร้อมกันนี้ ขอยืนยันด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยคิดที่จะประวิงเวลา แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทีมกฎหมายดำเนินการต่างๆ ไปตามกรอบระยะเวลาทางกฎหมาย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่เมื่อตอนเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

***"เด็จพี่"อ้อนวอนขอให้ยึดหลักปรองดอง

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ สมาชิก สนช. พิจารณาสำนวนถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยยึดหลักความปรองดองสมานฉันท์ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางโรดแมปเอาไว้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความโปร่งใสในทางกฎหมาย ให้สังคมได้รับรู้ด้วย และในฐานะอดีตนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็รู้สึกห่วงกังวลการทำหน้าที่ของ สนช. ที่บางคนมักออกมาให้ความเห็นชี้นำสำนวนถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตลอดจนถึงสำนวนของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา จึงอยากให้ประธาน สนช. กำชับการแสดงความเห็น และการวิพาษ์วิจารณ์ของสมาชิกสนช. ด้วย

***ซัด "วิชา" หายใจเข้าออกมีแต่ข้าว

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ อดีต ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ทำหน้าที่สอบสวนโครงการรับจำนำข้าว ของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า นายวิชา รู้จักพูดแต่เรื่องข้าว เป็นอยู่เรื่องเดียวหรืออย่างไร แล้วเรื่องโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น เข้ามาเกี่ยวข้อง นายวิชา รู้เรื่องนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งถ้านายวิชา ไม่รู้เรื่องนี้เลย ตนขอแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นนายอวิชา มหาลำเอียง

**จวก"ทนายปู"อ้างกฎหมายมั่ว

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของทีมงานพรรคเพื่อไทย ที่จะยื่นหนังสือต่อ สนช. กรณีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่ง ตามคำร้องของ ป.ป.ช. ว่า เป็นการสร้างความสับสนเกี่ยวกับคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างมากหน้าหลายตา ซึ่งเราต้องตั้งหลักให้ดีถึงข้อเท็จจริงว่าคดีที่ สนช. พิจารณานั้น เป็นการถอดถอน เป็นความผิดทางการเมือง ไม่ใช่ความผิดทางอาญา ซึ่งฝ่ายกฏหมาย น.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามที่จะบอกว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความผิดตาม มาตรา11 ของ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นกฏหมายทางปกครอง ไม่มีบทลงโทษ ถอดถอนไม่ได้ ซึ่งป.ป.ช.ไม่ได้เอามาตรานี้มาอ้างโทษอาญากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่เอามาอ้างเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง

ส่วนกรณีมาตรา 58 ของพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ว่าด้วยการถอดถอน จะมาอ้างว่า ไม่มีรัฐธรรมนูญแล้ว จะนำกฏหมายลูกมาบังคับถอดถอนไม่ได้ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะคสช. มีคำสั่งคุ้มครองให้พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฉบับนี้ ยังมีผลบังคับใช้อยู่ และข้ออ้างจะให้ใช้ข้อบังคับการประชุม ส.ว.ปี 51 มาใช้ในการถอดถอนครั้งนี้ คิดว่าใช้สีข้างมากไปหน่อย เพราะขณะนี้ เขามีข้อบังคับการประชุม สนช. แล้ว ในขณะเดียวกัน ถ้าไปศึกษาเปรียบเทียบข้อบังคับการประชุมส.ว. ปี 51 เทียบกับข้อบังคับการประชุมสนช.ปี 57 ในหมวดการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง ก็มีเนื้อหาคล้ายกันมาก สงสัยนำมาอ้างเพื่อสร้างความสับสนมากกว่า

**สายทหารส่อปิดเกมถอด"นิคม-สมศักดิ์"

รายงานข่าวจากสนช. แจ้งว่า ในการประชุมสนช.วันนี้ (6พ.ค.) ที่จะมีการพิจารณาเรื่อง ถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องถอดถอนมาให้ หลังพบว่าส่อเค้ากระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ 50 ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มา ส.ว. มิชอบ โดยจะเป็นการประชุมลับ เนื่องจากสนช.ไม่ต้องการให้มีหลักฐานไปพาดพิงผู้เกี่ยวข้องซึ่งเป็นบุคคลที่สาม จนได้รับความเสียหาย นำมาซึ่งการฟ้องร้องได้

ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. จะเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเชื่อว่า จะลงมติไม่รับเรื่องการถอดถอนทั้งสองสำนวน มีผลให้เรื่องดังกล่าวสิ้นสุดลง โดยไม่เข้าสู่กระบวนการถอดถอนตามข้อบังคับการประชุม สนช. ตามความต้องการของสนช.สายทหาร เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหาวุ่นวายตามมา เพราะสำนวนที่ป.ป.ช. ส่งมา เป็นการชี้มูลตามฐานความผิดของรัฐธรรมนูญ 50 ซึ่งสิ้นสภาพไปแล้ว จึงเห็นว่าไม่สามารถลงโทษได้

***"สมชาย" ชี้รับไม่รับไม่เป็นปัญหา

นายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช.กล่าวถึงกรณีการประชุมเพื่อถอดถอนนายนิคมและนายสมศักดิ์ ว่า การลงมติ อยู่ในการตัดสินใจของสมาชิก แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าจะออกมาในมติไหน เพราะความเห็นของแต่ละคน ก็มีความแตกต่างกัน แต่หากมีมติออกมาว่ารับ ก็ดำเนินการตามกระบวนการของข้อบังคับต่อไป แต่ถ้ามีมติว่าไม่รับ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเป็นการตัดสินใจแล้วของสมาชิก สนช.

***อ้าง สนช.ควรยกประโยชน์ให้จำเลย

นายยุทธนา ทัพเจริญ สมาชิก สนช. หนึ่งในโฆษกวิปสนช. กล่าวว่า การทำงานของสนช.วันนี้ จะต้องยึดหลักของกฎหมายจะนำเอาเรื่องของรัฐศาสตร์มาใช้ไม่ได้ หรือเมื่อเห็นว่าเขาไม่ผิด แต่จับมาก่อน และสอบสวนก็ไม่ถูกต้อง และกรณีดังกล่าวนี้ที่ประชุมลับก็ไม่ใช่ เพราะกลัวถูกฟ้องร้อง แต่เพราะไม่ต้องการให้มวลชนที่ติดตามเรื่องนี้ เกิดความแตกแยก ทำลายบรรยากาศการปรองดอง

ด้านพล.อ.นพดล อินทปัญญา สนช. สายใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม กล่าวว่า จาการศึกษาข้อกฎหมายในเรื่องการถอดถอนสองสำนวนดังกล่าว ขณะนี้มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่ไม่สามารถบอกได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการชี้นำสมาชิกท่านอื่น และยังผิดระเบียบข้อบังคับการประชุม สนช.อีกด้วย

**ขู่ใช้ ม.44 แค่เตือนกลุ่มเคลื่อนไหว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการทบทวนประกาศใช้กฎอัยการศึกว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึง เพราะคนส่วนใหญ่เฉยๆ ไม่เห็นมีใครเขามาถามอะไรตน ต่างชาติก็ไม่มีมาถาม ดังนั้น เราอย่ามาถามกันเองให้มากนัก ไม่อย่างนั้นจะเป็นปัญหา

ผู้สื่อถามข่าวถามถึงกรณีที่นายกฯ ได้ปรารภในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องการใช้ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อเตรียมรับมือความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ นั้น นายกฯ กล่าวว่า เตือนเฉยๆ ว่ายังมีมาตรานี้อยู่ แค่นั้นเอง ไม่ได้บอกว่าจะใช้อะไร เมื่อไร

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ระบุว่า ไม่อยากให้สื่อมวลชนใช้คำที่แสดงความหมายในทางลบ เช่น ปัด โว ตีปี๊บ ว่า ไม่รู้ แล้วสื่อชอบไหม ถ้าใครไปว่าคุณ คุณชอบไหม

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ไม่อยากให้ใช้ ใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ก็แล้วแต่ท่าน คิดเอาเอง ทำไมต้องตอบทุกเรื่อง เดี๋ยวก็เป็นประเด็นอีก อะไรที่คุณไม่ชอบ คุณก็กลับไปถามตัวเองก่อน ว่าไม่ชอบอะไร ตนก็ไม่ชอบอันนั้น อย่าถามตน อาจจะไม่ตรงกัน

**การข่าวระบุสถานการณ์น่าห่วง

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีรัฐบาลระบุอาจมีความจำเป็นต้องใช้ มาตรา 44 กับกลุ่มที่เคลื่อนไหวสร้างปัญหาว่า เนื่องจากหน่วยงานด้านความมั่นคงได้รายงานว่า พบการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่มีลักษณะนัดชุมนุม เผยแพร่ข้อมูล ในทางยุยงให้เกิดความเข้าใจผิด เกลียดชัง ทั้งเรื่องการเมือง และสถาบัน รวมถึงช่วงนี้เข้าสู่ขั้นตอนการปฏิรูป ต้องจัดตั้งกลุ่มต่างๆ นัดพูดคุย รวมถึงการชุมนุมของประชาชน จากความเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ นายกรัฐมนตรี จึงกังวล สั่งให้ติดตามสถานการณ์ เร่งทำความเข้าใจ โดยเฉพาะความไม่สงบที่เกิดจากการแสวงหาผลประโยชน์จากการชุมนุมที่บริสุทธิ์ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่อยากให้เกิดขึ้น

**"ผบ.ทร." เผยยังไม่พบมีคลื่นใต้น้ำ

พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ กังวลถึงเรื่องคลื่นใต้น้ำ และขอให้ทางทางกองทัพเรือติดตามประเมินผลว่า ตนยังไม่ทราบเลยว่ามีคลื่นใต้น้ำ และยังไม่พบขบวนการลักษณะดังกล่าว โดยตนเข้าใจว่า ท่านนายกฯ พูดเพราะเป็นการเตรียมเพื่อป้องกันมากกว่า

***ไก่อู"เชื่ออัยการศึกยังเอาอยู่

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า คสช. ได้เรียกให้บุคคลไปรายงานตัวตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ว่า หากมีความเคลื่อนไหวเริ่มจากน้อยไปหามาก ถ้ารัฐบาลหรือ คสช. ปล่อยไปแรงขยับเขยื้อนก็จะมากขึ้น และไม่สามารถดึงสถานการณ์ให้กลับมาสู่สภาวะแบบนี้ได้อีก คสช. จึงต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน และสื่อมวลชน โดยเชื่อมั่นว่าผู้ที่เคลื่อนไหว ก็ได้รับข้อมูลอยู่ และมั่นใจว่าทุกคนหวังดีต่อชาติบ้านเมือง เมื่อรับฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ถ้าคุยแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย จากกฎหมายปกติที่มีอยู่จากมาตรการเบาไปหาหนัก ถ้าคุยไม่รู้เรื่องอีกก็คงต้องใช้กฎอัยการศึก ส่วนมาตรา 44 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปรยว่า ถ้าคุยกันขั้นสุดท้ายแล้วไม่รู้เรื่อง ก็จำเป็นต้องใช้ เพราะต้องรักษาสภาพเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้

เมื่อถามว่า หากมีการใช้กฎหมายกับ นายถาวร เสนเนียม แกนนำกปปส. หรือ นายวรชัย เหมะ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ใครจะเป็นผู้พิจารณา พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช. แค่เปรยในที่ประชุมร่วม ซึ่ง คสช.ต้องมีการประเมินสถานการณ์ และต้องดูว่าหากจะต้องติดต่อใครที่มีความเคลื่อนไหวก็ต้องให้เกียรติ อาจจะคุยโทรศัพท์กัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติและคุยกันเพียงครั้งเดียวก็คงเข้าใจ คงไม่ถึงขั้นนำกฎหมายมาใช้
กำลังโหลดความคิดเห็น