xs
xsm
sm
md
lg

กรณีถอดถอน"ยิ่งลักษณ์" กฎหมายมีปัญหาหรือคนชั่ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**การออกมาดิ้นพราดๆ ไม่ต่างจากไส้เดือนถูกขี้เถ้าของ พิชิต ชื่นบาน ทนายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจ้าของตำนานถุงขนมสองล้าน เกี่ยวกับกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. บรรจุวาระการพิจารณาสำนวนถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ในคดีส่อว่าจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว ซึ่งมีกำหนดที่จะประชุมในวันที่ 12 พฤศจิกายน นี้
โดยหยิบยก 7 ประเด็นมาคัดค้านคือ เสียงตะโกนของนักโทษประหาร ที่แม้ใกล้ตายก็ยังไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง
ลองมาไล่ดู 7 ประเด็น ของนักกฎหมายรับใช้ตระกูลชินวัตร กันว่ามีความพยายามที่จะพลิกแพลงบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อให้นายเหนือหัวพ้นผิดอย่างไร เป็นเรื่องที่รับฟังได้หรือไม่ ถ้าไม่สมเหตุสมผล เราจะหักล้างความเท็จที่มีความพยายามจะทำให้คนเข้าใจว่าเป็นความจริงอย่างไร
1. หลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ คดีถอดถอนมีผลเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้ หากรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดให้อำนาจไว้
- การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพใช้กับพลเมืองไทยที่สุจริต ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ใช่นำมาเป็นเกราะกำบังให้คนชั่วพ้นจากการกระทำผิดของตัวเอง คดีถอดถอนจะไม่เกิดขึ้นหาก ยิ่งลักษณ์ไม่ได้กระทำผิด การอ้างว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้อำนาจถอดถอนไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะแม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจะไม่เขียนโดยตรงถึงอำนาจการถอดถอนไว้ แต่ให้สนช.ทำหน้าที่ ส.ส.และ ส.ว. อีกทั้งยังให้อำนาจในการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ในวงงานของ สนช.ไว้ในมาตรา 5 วรรค 2 ว่า
“ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยกรณีใดตามความในวรรคหนึ่งเกิดขึ้นในวงงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด” ซึ่ง สนช.ก็ได้มีมติออกข้อบังคับในหมวดเกี่ยวกับการถอดถอนไปแล้ว ย่อมหมายถึงว่า สนช.ได้วินิจฉัยแล้วว่า มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการถอดถอนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ประเด็นที่ พิชิต หยิบยกขึ้นมาจึงไม่มีน้ำหนัก เพราะผู้มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ คือ สนช.ได้ชี้ขาดแล้วว่า “การถอดถอนอยู่ในวงงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ที่สามารถดำเนินการได้
2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว 2557 มิได้กำหนดให้อำนาจเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ให้อำนาจ สนช. เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่เกิดขึ้นในวงงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การบรรจุวาระถอดถอน ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของ สนช. ที่ให้อำนาจไว้ตาม มาตรา 5 วรรค 2
3. ข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2557 เฉพาะหมวด 10 ว่าด้วยการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม และหลักการตรากฎหมายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
- ข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2557 ทั้งหมดรวมหมวด 10 ว่าด้วยการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 13 วรรค 2
“สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอและการพิจารณา ร่าง พระราชบัญญัติ และร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การรักษาระเบียบและความเรียบร้อยและกิจการอื่น เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
4. ข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2557 เฉพาะหมวดที่ 10 ในส่วนที่ 1 การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ เป็นการขัดหรือล้างประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 5
- กระบวนการถอดถอนของไทยดำเนินการมาแล้ว 17 ปี นับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 40 จนมาถึงรัฐธรรมนูญ 50 โดยรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ กำหนดขั้นตอนกระบวนการถอดถอนให้ ป.ป.ช. เป็นผู้ชี้มูลส่งให้วุฒิสภาพิจารณาถอดถอนด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 มีบทลงโทษคือ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองและรับราชการเป็นเวลา 5 ปี ดังนั้นข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติฯ เกี่ยวกับการถอดถอนฯ จึงเป็นไปตามประเพณีการปกครองของไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
5. ประธานสนช. หรือวิปสนช. ไม่อาจเลือกปฏิบัติ ในการเลือกฐานความผิดในการดำเนินคดีถอดถอนให้ผิดไปจากมติ ป.ป.ช. ที่ชี้มูลความผิดต่ออดีตนายกฯ ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาตามข้อบังคับหมวด 10 ส่วนที่ 1 ที่ปรากฏตามรายงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เสนอต่อ สนช. หากฝ่าฝืนปฏิบัติถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรม และรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 เสียเอง
- ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ประธานสนช. หรือ วิป สนช. เลือกปฏิบัติในการเลือกฐานความผิดดำเนินคดีถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ให้ผิดไปจากมติ ป.ป.ช. แต่กระบวนการถอดถอนพิจารณาตามสำนวนการชี้มูลความผิดของป.ป.ช.
6. อ้างบทบัญญัติกฎหมายที่ไม่มีบทบังคับโทษมาเป็นเหตุถอดถอนไม่ได้
- กระบวนการถอดถอนเป็นไปตามอำนาจของ ป.ป.ช. ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ โดยบทลงโทษเป็นไปตามข้อบังคับสนช.
7. ความเป็นนายกฯ ของนางสาวยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งตาม มาตรา 58 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
- แม้ความเป็นนายกฯ ของนางสาวยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงแล้ว แต่ไม่มีผลให้พ้นผิดจากการละเมิดกฎหมาย โดยที่ผ่านมาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ก็พ้นจากตำแหน่งไปแล้วทั้งสิ้น แต่ไม่ได้ทำให้กระบวนการถอดถอนยุติแต่อย่างใด เช่น กรณี นพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ก็มีการพิจารณาถอดถอนในขณะที่พ้นจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศแล้ว เช่นเดียวกับ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกชี้มูลความผิดจากการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ก็มีการพิจารณาถอดถอน หลังจากที่พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว
เหตุผลที่ทำให้กระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งยังเดินหน้า แม้ว่าผู้กระทำความผิดจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เนื่องจากบทลงโทษจากการกระทำความผิดที่อยู่ในข่ายการถอดถอนนั้นมิได้มีผลเฉพาะเรื่องการพ้นจากตำแหน่ง แต่ยังมีผลในการตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีด้วย
**ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนว่า สังคมไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ แต่ความสับสนจนนำไปสู่ความขัดแย้งเกิดจากคนชั่วไม่ยอมรับผิดและบิดเบือนกฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น