ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เวลานี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีอำนาจล้นฟ้าไม่อาจหาอำนาจใดในโลกหล้ามาเทียบได้ แต่เหตุไฉนลำพังแค่การปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวจึงไม่สามารถสั่งการให้ผู้ที่รับผิดชอบกระทำให้สำเร็จตามที่รัฐบาลทหารของคสช.ตั้งเป้าหมายไว้ หรือแท้จริงแล้ว คสช. ก็บ้อท่าเป็นเพียงแค่เสือกระดาษในโลกของการจัดการบริหารประเทศสมัยใหม่และถนัดในการใช้อำนาจปิดปากประชาชนเท่านั้น ? เป็นคำถามที่ชวนสงสัย
แล้วจากนี้ คสช.จะทำอย่างไร จะกล้าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ในมือกดดันให้ให้มีการปิดโครงการจำนำข้าวให้ได้ ได้หรือไม่? ช่างเป็นประเด็นที่น่าติดตามยิ่งนัก เพราะไม่ใช่แค่ว่าเมื่อปิดบัญชีความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวไม่ได้ จะมีผลต่อคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตจำนำข้าว ข้าวที่หายไปถึง 3 ล้านตัน และข้าวสารที่เสื่อมสภาพคาโกดังทุกคดีซึ่งจะมีผลทำให้เอาคนกระทำผิดมาลงโทษไม่ได้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงภาระที่ประชาชนทุกคนต้องแบกรับโดยไม่มีทางปฏิเสธทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหานี้ขึ้นมา
นั่นก็คือ เงินกู้ก้อนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลทหารนำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกพันธบัตรกู้เงินมาโปะหนี้โครงการจำนำข้าวก้อนโตรวมผลผลิตการเกษตรอื่นๆ อีกเล็กน้อย
ย้ำอีกครั้ง ตัวเลขเงินกู้มาชดเชยความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว 8 แสนล้าน เป็นแค่ตัวเลขเริ่มต้น จะบานปลายไปอีกเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ และคำตอบสุดท้ายที่สำคัญก็อยู่ที่การปิดบัญชีให้ลงนี่แหละ จึงจะพอประเมินออกว่าตัวเลขความเสียหายยับเยินของโครงการจำนำข้าวสุดท้ายที่ต้องไปกู้เงินมาโป๊ะและประชาชนคนไทยทุกคนต้องแบกภาระนั้นจะจบที่เท่าไหร่กันแน่
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เตะถ่วง โบ้ยบ้ายให้พ้นตัวกันไปวันๆ แต่มันคือหายนะที่รออยู่เบื้องหน้าหากยังไม่เร่งรีบสะสาง เพราะเรื่องนี้ยังจะส่งผลสะเทือนไปถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะฟื้นหรือไม่ฟื้นโดยภาพรวมอีกด้วย และอีกอย่างระวังสถานะของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แหล่งเงินที่ถูกควักเอามาจ่ายก่อนด้วยว่าจะอยู่รอดปลอดภัยไหม ความเสี่ยงของสถาบันการเงินของรัฐนี่เป็นเหมือนเกมโดมิโนเลย ใครๆ ก็รู้ถ้าเกิดมีปัญหาแล้วอะไรต่อมิอะไรจะตามมาอีกเท่าไหร่
มาดูกันว่า นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว สารภาพบาปขอรับแต่ความดีและป้ายความผิดให้ผู้อื่นว่าอย่างไร เรื่องนี้ “โพสต์ทูเดย์” ฉบับตีพิมพ์วันที่ 27ต.ค. 2557 รายงานว่า นายรังสรรค์ ระบุว่า อนุกรรมการไม่สามารถปิดบัญชีความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวได้เสร็จสิ้นตามที่ตั้งเป้าไว้ เนื่องจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ส่งตัวเลขข้าวที่เหลือในสต๊อกให้ไม่ครบแม้จะขยายเวลาหลายครั้ง ซึ่งจากข้อมูลที่มีพบว่ามีข้าวสารเหลืออยู่ประมาณ 18 ล้านตัน แต่ อคส.และอตก. ส่งมาให้ไม่ครบ ผู้แทนสภาวิชาชีพผู้ตรวจสอบบัญชีที่เป็นอนุกรรมการฯ จึงไม่ยอมให้ปิดบัญชี เพราะผิดหลักการทำบัญชี จึงไม่สามารถรู้ผลขาดทุนที่แท้จริง
“จะต้องรายงานให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบข้อมูลและหาทางแก้ปัญหา เพื่อให้การปิดบัญชีเดินหน้าต่อไป ไม่เช่นนั้นการระบายข้าวจะมีปัญหา” ประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าว เป็นการเตรียมการเสนอรายงานต่อนาย คล้ายๆ พฤติกรรมทำเพื่อเอาหน้า เอาความดีใส่ตัว ความชั่วโยนใส่คนอื่น ก็คงไม่ผิดนัก
ถ้าหากยังจำกันได้วันที่นายรังสรรค์ เข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการฯ แทนนางสุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีข้าวคนก่อนหน้านี้ นายรังสรรค์ อวดโอ่ว่าตนเองรู้งานดี โดยยกตนว่าเป็นนักบัญชี เป็นบอร์ด ธ.ก.ส. มาตั้งแต่ปี 2548 จึงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี และคงไม่มีปัญหาเหมือนคณะอนุกรรมการฯ ชุดของนางสาวสุภา ที่ออกมาให้ข่าวว่าปิดบัญชีไม่ลงเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ส่งข้อมูลให้เป็นแน่
อย่าลืมว่า ก่อนที่นางสุภา จะลุกออกไปจากเก้าอี้ได้ฝากผลรายงานการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว 2 ปี 3 รอบฤดูกาลผลิตปี 54/55 และ 55/56 ไว้ว่า โครงการรับจำนำข้าวมีผลขาดทุนเฉลี่ยแต่ละปีการผลิต ประมาณ 200,000 ล้านบาท เมื่อรวม 2 ฤดูกาล 3 รอบ ตัวเลขขาดทุนตกประมาณ 4.25 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะก่อนหน้านี้
ข้าราชการตงฉินที่นายรังสรรค์ ไปค่อนแคะ มีผลงานการปิดบัญชีข้าวข้างต้นเป็นรูปธรรมให้เห็นก่อนถูกเด้งพ้นจากเก้าอี้ แล้วผลงานการตรวจสอบ รายงานการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวของนายรังสรรค์ ในวันนี้อยู่ที่ไหน
เป็นเวลา 5 เดือนที่ปิดบัญชีไม่ลง และวันนี้ปลัดกระทรวงการคลัง ก็ออกมายอมรับกลายๆ ถึงความอับจนปัญญาหาหนทางปิดบัญชีข้าวไม่เสร็จ
ผลงานของประธานคณะอนุกรรมการฯ อย่างนายรังสรรค์ น่าผิดหวังไม่สมคำอวดโอ่ แต่ที่น่าผิดหวังยิ่งไปกว่า ก็คือคำตอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อได้รับรายงานเรื่องปิดบัญชีจำนำข้าวไม่ลง เพราะ อตก. กับ อคส. ไม่ส่งตัวเลขข้าวสารในสต็อกให้ไม่ครบว่า ก็ให้ไปทวงถามกัน ไปเคลียร์กันเพราะต้องหาคนรับผิดชอบ นั่นเป็นเรื่องเดิมก่อนที่ตนเองจะเข้ามา ส่วนยอดที่รับมาตอนที่มาเป็นรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2557 มีจำนวน 18 ล้านตัน ที่นำมาตรวจสอบว่ามีมาตรฐานหรือไม่ เสื่อมคุณภาพหรือไม่ แล้วจะมีการสรุปขึ้นมายังระดับบนอีกครั้ง หากมีเรื่องของกฎหมายจะส่งให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการต่อไป ซึ่งภายในเดือน ต.ค.นี้ คณะกรรรมการระบายข้าวจะสรุปได้ แต่ไม่ใช่คณะกรรมการที่จะจับใครไปติดคุก คนละเรื่อง
ในการสรุปตัวเลขพล.อ.ประยุทธ์ ให้ดูมาตรฐานใน 4 ประเด็น คือ 1.ได้มาตรฐานของกระทรวงพาณิชย์กี่เปอร์เซ็นต์คิดเป็นกี่ตัน และตรวจสอบดีเอ็นเอจำนวนตรงกับคุณภาพหรือไม่ 2.ข้าวที่ไม่ได้คุณภาพหรือคุณภาพต่ำลงมา ต้องไปหาทางปรับปรุงคุณภาพ เพื่อที่จะให้มีราคาสูงขึ้น 3.ข้าวเสื่อมราคา รับประทานไม่ได้ อาจจะต้องนำไปทำอย่างอื่น เช่น เอทานอล และ 4.มีข้าวขาดหายและยอดไม่ตรงบัญชีหรือไม่ ทั้ง 4 ประเด็น เป็นประเด็นทางกฎหมายได้หมด อาจต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายว่า การที่จะเอาข้าวจำนวนนี้ไปขายจะมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าไม่ขายจะมีปัญหาต่อไป เพราะจะเสียค่าดูแลคลัง และค่าต่างๆ เดือนละ 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการตรวจสอบข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่ได้มาจากโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 18 ล้านตันที่รัฐบาลรับข้อมูลมาตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ แจกแจงว่า มียอดที่หายไปประมาณ 1 แสนตัน ส่วนข้าวในสต็อกเป็นข้าวที่ได้มาตรฐานกว่า 10% ข้าวคุณภาพต่ำ 70% และข้าวเสื่อม ประมาณ 4-5% ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อไป พร้อมกันนี้จะมีการขออนุมัติทาง ป.ป.ช. เพื่อระบายข้าวด้วย
ถ้าหัวหน้า คสช. ที่นั่งควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือสั่งการได้เพียงเท่านี้ และรอทุกอย่างตามกระบวนการอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ขบวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ทำผิดกฎหมายก็เปิดไวน์เตรียมฉลองกันล่วงหน้าได้เลย รับรองชาตินี้ไม่มีวันจับใครเข้าคุกได้ ยิ่งใกล้เวลาที่จะต้องมาสาละวนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ข้าวนาปีในฤดูกาลผลิตนี้ กำลังจะทะลักออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ปัญหาเก่ายังสะสางไม่จบ ของใหม่ก็โถมทับเข้ามาอีก เป็นอันว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เดินเข้าสู่โหมดลิงแก้แห อีรุงตุงนังไปหมด ยุ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งพัลวัล
ไม่เฉพาะแค่การปิดบัญชีข้าวไม่ลง การตรวจสต็อกข้าวไม่เสร็จหรือเสร็จแล้วแต่ไม่มีรายงานสรุปผลโชว์ต่อสาธารณะ การเอาคนผิดมารับโทษยังไม่มีอะไรคืบหน้าซ้ำส่อแววว่าจะวืดด้วยซ้ำ ขณะที่ข้าวฤดูกาลใหม่กำลังทะลักออกมา เท่านั้น ยังมีเรื่องสถาบันการเงินของรัฐอย่าง ธ.ก.ส. ที่ยืนอยู่ขอบเหวเพราะเอาเงินมาโป๊ะหนี้จำนำข้าว กระทั่งหนี้สินของแบงก์พุ่งทะยานเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงเวลาแค่สองสามปีที่ต้องทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินให้กับโครงการนี้
มีรายงานจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ว่านับตั้งแต่โครงการรับจำนำข้าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 ทำให้ ธ
.ก.ส. เป็นหนี้เพิ่มขึ้นกว่า460,263 ล้านบาท โดย ณ เดือน ม.ค. 2555 ธ.ก.ส.มีหนี้ทั้งสิ้น 76,213 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 536,476 ล้านบาท เมื่อเดือน ส.ค. 2557
และหากนับเฉพาะปี 2557 ธ.ก.ส. มีหนี้เพิ่มขึ้นจาก ม.ค. 2557 - ส.ค.2557 ทั้งสิ้น 85,219 ล้านบาท หรือเพิ่มจาก 451,257 เป็น 536,476 ล้านบาท ในช่วงรอยต่อระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับ คสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ฟังดูแล้วน่าหวาดเสียวดีไหมสำหรับฐานะทางการเงินของ ธ.ก.ส.
ถึงที่สุดแล้ว ถ้าเรื่องเพียงปิดบัญชีจำนำข้าวเท่านี้ยังทำไม่ได้ ลำบากยากเข็ญนัก และกำลังส่งผลกระทบไปเป็นลูกโซ่ ก็อย่าให้ประเทศชาติต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย