xs
xsm
sm
md
lg

ปิดบัญชีจำนำข้าวเน่า! โยนผู้เสียภาษีรับหนี้คนละ 1.59 แสนบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มรดก “ยิ่งลักษณ์” รับจำนำข้าวยังปิดบัญชีไม่ลง TDRI คาดเจ๊ง 5.19 แสนล้าน ด้านนักวิชาการสถาบันคลังสมองเผย อาจเกินกว่านี้เหตุยังไม่รวมข้าวหายและต้นทุนอื่น รับแยกยากข้าวดี ข้าวไม่ได้มาตรฐาน ข้าวเสื่อมสภาพ ห่วงยิ่งนานข้าวยิ่งเสื่อมสภาพ ส่วนคนวงการข้าวชี้ผลขาดทุนคนจ่ายภาษีรับไป 1.59 แสนบาทต่อคน ยิ่งขาดทุนมากยิ่งต้องแบกภาระมาก ขณะที่นักกฎหมายยอมรับนักการเมืองรอดเสมอ มองยึดอำนาจเหมือนเข้ามาสางปัญหาให้ สุดท้ายหน้าเดิมกลับเข้ามาอีก แนะต้องแก้กฎหมายจริงจัง

แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย ที่มี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐบาลชั่วคราวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ผลพวงจากการดำเนินนโยบายประชานิยมยังส่งผลมาถึงปัจจุบัน ที่ต้องตามแก้กันจนถึงวันนี้

พระเอกของนโยบายยุคยิ่งลักษณ์ คือ โครงการรับจำนำข้าว ที่ฝ่าเสียงทัดทานมาโดยไม่สนใจผลกระทบในอนาคต นอกจากจะทำให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งในปี 2554 แล้ว ยังซื้อใจชาวนาได้ทั้งประเทศ

สุดท้ายจากพระเอกกลายเป็นผู้ร้าย รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าข้าวที่เข้าโครงการรับจำนำข้าวได้มาเป็นเวลากว่า 6 เดือน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 ตามมาด้วยผลการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่ดำเนินการเอาผิดกับนางสาวยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้

ผลเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่สาธารณชนรับทราบนั้น เป็นผลมาจากการปิดบัญชีจำนำข้าวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ที่มีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ครั้งนั้นบัญชีจำนำข้าวมีผลขาดทุนประมาณ 3.3 แสนล้านบาท โดยมีข้อสังเกตท้ายการปิดบัญชีว่า มีข้าวสารที่หายไปประมาณ 2 ล้านตัน และการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวมีความเสี่ยงทุจริตทุกขั้นตอน

นั่นคือตัวเลขล่าสุดที่ทำให้คนทั่วประเทศทราบว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นอย่างไร

ผ่านมาปีเศษมีรัฐบาลใหม่ แต่ผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวทั้ง 3 ฤดูกาล คือ 2554/55 2555/56 และ 2556/57 ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่ออกมา

จน นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน ในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เปิดเผยว่า การปิดบัญชีจำนำข้าวไม่สามารถดำเนินการเสร็จได้ทันภายในเดือนตุลาคม 2557 ตามที่ตั้งเป้าไว้ มีการเลื่อนส่งข้อมูลมาตลอดจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)

ล่าสุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นของการตรวจสอบสต๊อกข้าว 18 ล้านตันว่ามีข้าวคุณภาพดีราว 1.8 ล้านตัน ข้าวคุณภาพต่ำ 12.6 ล้านตัน และข้าวเสื่อมสภาพราว 9 แสนต้น โดยมีข้าวที่หายไป 1 แสนตัน

หากรวมจำนวนข้าวที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงมาจะมียอดรวม 15.4 ล้านตัน เทียบกับ 18 ล้านตันแล้วตัวเลขขาดไป 2.6 ล้านตัน

TDRI ประเมินเจ๊ง 5 แสนล้าน

แต่ถึงอย่างไรก็มีการประเมินความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ว่า โครงการรับจำนำข้าว 5 ฤดูของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีการรับจำนำข้าวเปลือก 54.35 ล้านตัน มีค่าใช้จ่ายรวม 9.85 แสนล้าน เป็นเงินซื้อข้าว 8.57 แสนล้านบาท โครงการนี้มีการขาดทุนทางบัญชีสูงถึง 5.19 แสนล้านบาท หรือเกือบ 53% ของค่าใช้จ่าย

ชาวนาทั่วประเทศได้รับผลประโยชน์ส่วนเกินสุทธิสูงถึง 5.6 แสนล้านบาทจากโครงการรับจำนำข้าว แต่ประโยชน์ส่วนใหญ่ตกเป็นของชาวนารายกลางและใหญ่ ซึ่งอาศัยในเขตชลประทานของภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง

ในรายงานประเมินผลไว้ว่า มูลค่าการทุจริตในการระบายข้าวที่เกิดจากการจำนำราคาสูงขายข้าวในราคาต่ำกว่าตลาด คิดเป็นเงิน 84,476.20 ล้านบาท มีการทุจริตข้าวหาย 2.9 ล้านตัน รวมมูลค่าทุจริตทั้งการค้าข้าวรัฐต่อรัฐ การเสนอซื้อข้าวราคาต่ำ ข้าวถุง ข้าวหายจะคิดเป็นเงิน 1.11 แสนล้านบาท
โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
5 แสนล้านยังไม่รวมข้าวหาย

รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการปิดบัญชีจำนำข้าวไม่ลง มาจากข้าวในสต๊อกที่มีนั้นแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ข้าวที่ยังมีคุณภาพดี ข้าวที่ไม่ได้มาตรฐาน สามารถนำมาปรับปรุงใหม่ได้ และข้าวเสื่อมสภาพที่คนบริโภคไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ต้องมีการแยกข้าวในสต๊อกออกมาก่อน ทำให้เป็นเรื่องยากในการประเมิน จึงทำให้การปิดบัญชีจำนำข้าวต้องล่าช้าออกไป

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวนั้น นักวิชาการจากสถาบันคลังสมองประเมินว่า คงไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท โดยคิดจากราคารับซื้อข้าวเปลือกที่ 15,000 บาทต่อตัน เมื่อแปรสภาพเป็นข้าวสารแล้วต้นทุนจะอยู่ที่ 23,000 บาทต่อตัน หรือ 23 บาทต่อกิโลกรัม แต่การขายในช่วงรัฐบาลก่อนหน้านี้ขายที่ราคา 11 - 12 บาทต่อกิโลกรัม

หากคิดส่วนต่างของราคาที่ 11 บาท คูณด้วยยอดรับจำนำที่ 54 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 36 ล้านตันข้าวสาร ความเสียหายเกินกว่า 5 แสนล้านบาทแน่นอน ยังไม่รวมถึงเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆ ระหว่างการดำเนินโครงการทั้งค่ารับฝาก โกดัง ดอกเบี้ยกับ ธ.ก.ส.อีกปีละ 4 หมื่นล้านบาท หากรวมเอาข้าวที่เสียหรือเสื่อมสภาพและข้าวที่หายไป 3 ล้านตันเข้าไปด้วยความเสียหายก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือข้าวในสต๊อกนั้นหากปล่อยไว้จะเสื่อมคุณภาพลงเรื่อยๆ ราคาขายก็จะลดลง ซึ่งต่างประเทศทราบเรื่องนี้ดี ราคาขายข้าวของไทยจึงทำได้ต่ำกว่าข้าวจากเวียดนามและอินเดีย

นี่จึงเป็นที่มาของการออกพันธบัตรรัฐบาล 8 แสนล้านบาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนจากการจำนำข้าว ที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กำลังดำเนินการอยู่ แต่คงต้องรอให้มีการปิดบัญชีจำนำข้าวให้เสร็จสิ้นก่อน

คนเสียภาษีหนี้เพิ่ม 1.59 แสน

แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว กล่าวว่า ยอดขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวช่วงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นอาจจะสูงกว่า 5 แสนล้านบาท ส่วนจะเป็นเท่าไหร่นั้น 6 แสนล้าน หรือ 7 แสนล้านบาทคงต้องรอผลของการปิดบัญชีอีกครั้ง แต่ภาระขาดทุนดังกล่าวผู้ที่รับผิดชอบจริงๆ คงไม่ใช่แค่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือนักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย แต่เป็นประชาชนคนไทยที่ต้องเสียภาษี

หากประเมินจากผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้โดยตรงที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในประเทศไทยจะเริ่มที่มีรายได้เกินกว่า 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป ผู้ที่ต้องเสียภาษีในกลุ่มนี้จะมีราว 3.25 ล้านคน คนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง ถ้าเป็นไปตามที่ TDRI ประเมินไว้ 5.19 แสนล้านบาทนั้น หารออกมาแล้วผู้เสียภาษีต้องรับผิดชอบกันคนละ 159,692 บาท ถ้าเสียหาย 6 แสนล้านบาท เฉลี่ยต่อคน 184,615 บาท และถ้าเสียหาย 7 แสนล้านบาท เฉลี่ยที่ 215,384 บาทต่อคน

นั่นเป็นเพียงการคำนวณให้เห็นภาพที่คนเสียภาษีต้องร่วมกันรับผิดชอบ ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่กับโครงการรับจำนำข้าวก็ตาม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วภาระดังกล่าวถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ เนื่องจากการเสียภาษีของคนไทยนั้นมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เงินที่รัฐบาลใหม่จะนำมาชดเชยความเสียหายนั้นก็มาจากภาษีอากรทั้งสิ้น
สภาพข้าวในโกดัง ภาพจาก Face book:Warong Dechgitvigrom
ชอบไม่ชอบต้องร่วมใช้หนี้

ขณะที่ความรับผิดชอบของนักการเมืองที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศนั้น นักกฎหมายรายหนึ่งกล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นเพียงการดำเนินการได้ตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากคดีดังกล่าวขึ้นสู่การพิจารณาคดีโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างมากก็แค่ถูกพิพากษาให้ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่วนคำพิพากษาให้จำคุกนั้นในทางปฏิบัติแล้วคงยากที่จะดำเนินการนักการเมืองเหล่านี้ได้จนถึงขั้นจำคุก พวกเขาก็คงไม่อยู่รอให้มีการจับกุม

นี่จึงเป็นกรรมของคนไทย ที่ต้องมาแบกรับภาระแทนนักการเมืองที่ปั้นโครงการที่มีทั้งผลประโยชน์เข้าตัวเองและสร้างฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งไปในตัว สุดท้ายเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาภาระจึงถูกโยนมาที่คนทั้งประเทศ ไม่ว่าคุณจะเลือกพรรคดังกล่าวเข้ามาหรือไม่ก็ตาม

ยึดอำนาจ:แก้ปัญหา:หน้าเดิมกลับมา

นักกฎหมายรายเดิมกล่าวต่อไปว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นวงจรไปเรื่อยๆ ที่ไม่มีวันจบสิ้น เมื่อนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศจนเกิดปัญหา มีการทุจริตคอร์รัปชัน ทหารต้องเข้ามายึดอำนาจ ตั้งรัฐบาลชั่วคราวระดมคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ปัญหา เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น จากนั้นคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งกันใหม่ สุดท้ายก็ได้นักการเมืองหน้าเดิมที่เคยทำประเทศชาติเสียหายกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง

เรียนตามตรงว่าการที่ทหารเข้ามายึดอำนาจจากนักการเมือง แล้วต้องเข้ามาแก้ปัญหาให้กับบ้านเมืองแทน จึงไม่ต่างอะไรกับการที่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับนักการเมืองเหล่านั้น อย่างสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องเข้ามาระบายสต๊อกข้าวที่มีอยู่ราว 8 - 9 ล้านต้น จนเหลือเพียงล้านกว่าตัน จากนั้นพรรคการเมืองเดิมก็กลับเข้ามาอีกครั้ง

แม้ว่านักการเมืองในพรรคนั้นๆ จะถูกบทลงโทษทางการเมือง ทั้งยุบพรรคหรือห้ามเล่นการเมือง แต่กรรมวิธีในการหลีกเลี่ยงก็ยังมีอยู่มาก ซื้อพรรคการเมืองเดิมที่มีอยู่หรือจัดตั้งพรรคใหม่ ปั้นคนใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรค หรือหาตัวชูโรงที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีอดีตนักการเมืองคนดังที่คนไทยรู้จักดีให้การการันตี เท่านี้พรรคใหม่ที่เกิดขึ้นหรือผู้นำพรรคคนใหม่ ก็มีสถานะไม่แตกต่างไปจากพรรคการเมืองเดิมที่เคยถูกยุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากบทลงโทษของนักการเมืองที่ยังมีจุดอ่อน บทลงโทษเบาและมีทางหลีกเลี่ยงได้หลายช่องทาง อีกอย่างหากจะหวังให้คณะที่เข้ามายึดอำนาจดำเนินการนั้นคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการเข้ามาเป็นเพียงการระงับเหตุและเข้ามาเพียงชั่วคราว ดังนั้นนักการเมืองที่สร้างปัญหาก็ถูกโยนให้ไปดำเนินการตามกฎหมายเดิม

ที่สำคัญกว่านั้นคือคนไทยเองยังยึดติดกับเรื่องอามิสสินจ้าง ประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ ยึดกับตัวพรรคหรือตัวบุคคลที่ชื่นชอบ โดยไม่ได้แยกแยะเรื่องความถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องแก้ไขกันในเรื่องกฎหมายที่เข้มงวด อย่างในเกาหลีหรืออินโดนีเซียตอนนี้สภาพการเมืองของพวกเขาดีขึ้นมาก อันเนื่องมาจากความเอาจริงเอาจังในเรื่องการตีกรอบนักการเมือง

หากเราไม่ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง สุดท้ายคนที่เสียภาษีและคนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องเข้ามาร่วมแบกภาระแทนนักการเมืองที่ไม่สุจริตเหล่านี้ และจะวนเวียนเป็นแบบนี้เรื่อยไป

กำลังโหลดความคิดเห็น