ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถึงวันนี้ โกงจำนำข้าวหลายแสนล้านยังเอาผิดใครไม่ได้ และไม่แน่ว่าจะสุดท้ายแล้วจะเอาผิดใครได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ กลับกลายเป็นว่าสำหรับประชาชนคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ไม่เว้นลูกเล็กเด็กแดงที่เพิ่งลืมตาดูโลก กำลังจะมีหนี้ให้แบกเพิ่มขึ้นมาอีก 8 แสนล้าน จากการออกพันธบัตรหรือบอนด์เพื่อมาใช้หนี้เงินกู้ชดเชยความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวและพืชผลเกษตรกรอื่นที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างขึ้น โดยเอาความทุกข์ร้อนของพี่น้องเกษตรกรมาบังหน้าแต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในมือพวกพ้องน้องพี่ของกลุ่มผู้มีอำนาจในเวลานั้น
ช่วงฮันนีมูนน้ำผึ้งหวาน คสช.ได้สวมบทนักสู้กู้สิบทิศเพื่อหาเงินจ่ายให้กับชาวนาที่ผูกคอตายรายวันเพราะรอเงินจำนำข้าวไม่ไหวผ่านพ้นไปแล้ว เวลานั้นทุกสารทิศปรบมือให้สนั่นเมือง แต่ความจริงก็คือของฟรีไม่มีในโลก เมื่อกู้แล้วก็ต้องจ่ายคืน และเวลานี้เป็นเวลาที่ต้องทำพันธะสัญญาจ่ายหนี้คืนแล้ว
ตามแผนการจ่ายหนี้เงินกู้นั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ “หม่อมอุ๋ย” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ วางแผนการไว้โดยรัฐบาลเตรียมออกพันธบัตรระยะยาว อายุ 30 ปี วงเงินกว่า 8 แสนล้านบาท เพื่อคืนหนี้ที่เกิดจากนโยบายรับจำนำข้าวและมาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรประเภทอื่น โดยใช้รูปแบบเดียวกับการออกพันธบัตรของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการแก้ปัญหาวิกฤติการเงิน ปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง
สำหรับความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวและสินค้าเกษตรอื่นที่เป็นมรดกตกทอดมาจากรัฐบาลชุดก่อนนั้น “หม่อมอุ๋ย” ประเมินว่า จะมีเม็ดเงินรวมกันกว่า 8-9 แสนล้านบาท โดยการตรวจสอบการปิดบัญชีในโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรทุกชนิดของรัฐบาลที่ผ่านๆ มาจนถึงปี 2553 พบการขาดทุนถึง 2 แสนล้านบาท และความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวในปีการผลิต 2554/55 และปีการผลิต 2555/56 รัฐบาลจะขาดทุนจากการรับจำนำข้าวสูงถึง 5 แสนล้านบาท ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวยังไม่รวมการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวในปี 2556/57 ที่ยังไม่ได้สรุปตัวเลข
แน่นอนการกู้เงิน 8 แสนล้านบาท เป็นแค่หนี้เริ่มต้น ยังไม่รู้ว่าปิดโครงการทั้งหมดจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกกี่มากน้อย
เพจ “สายตรงภาคสนาม” รวมตัวเลขภาระหนี้ที่พี่น้องตระกูลชินวัตรก่อขึ้นแล้วทิ้งให้คนไทยต้องมาชดใช้ว่าสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท
“วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ กู้เงินไอเอ็มเอฟ ต่อมาในยุครัฐบาลทักษิณ มีการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง “กู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ.2545” วงเงิน 7.8 แสนล้านบาท
“รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำโครงการจำนำข้าวจาก “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ส่งผลให้เกิดความเสียหาย 7 แสนล้านบาท รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแนวคิดออกพันธบัตรใช้หนี้จำนำข้าว 8 แสนล้าน มีกำหนดใช้หนี้นาน 30 ปี
“รวมหนี้สองยุคที่เกิดจาก ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ทิ้งภาระให้ประชาชน 1.58 ล้านล้านบาท บทเรียนประเทศที่คนไทยต้องจดจำ”
การเตรียมออกบอนด์ครั้งนี้ มีเสียงเตือนล่วงหน้ามาจากนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลังพรรคประชาธิปัตย์ ให้ระวังจะซ้ำรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง ถึงแม้โดยแนวคิด การออกบอนด์จะเป็นเรื่องที่ต้องทำหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าต้องตั้งงบประมาณมาชดเชยด้วยเงินภาษี จะมีผลกระทบกับการพัฒนาประเทศไปอีกร่วม 10 ปี จึงจำเป็นต้องแยกส่วนภาระนี้ออกมาเฉลี่ยการชำระออกไป และการออกพันธบัตรคือการบังคับให้มีการปิดบัญชีที่ชัดเจน มิเช่นนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบในกระทรวงพาณิชย์ก็จะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ
แต่ปัญหาคือรัฐบาลบอกว่าจะขายพันธบัตรนี้ให้คนไทย แต่ที่ผ่านมาคนไทยไม่นิยมซื้อพันธบัตรอายุยาวกว่า 5 ปี และเงิน 8 แสนล้านบาท จะมีผลกระทบต่อการดูดสภาพคล่องออกจากระบบอย่างมาก กระทรวงการคลังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะประโยชน์ทั้งหมดตกอยู่ที่คนไม่กี่คน ชาวนาก็ยังจนเหมือนเดิม ส่วนคนทุจริตก็ยังลอยตัว ครั้งที่แล้วที่ต้องออกพันธบัตรลักษณะนี้คือ “หนี้กองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงิน” เพื่อชดใช้ความเสียหายจากวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และจนถึงวันนี้หนี้นี้ยังใช้ไม่หมด ดังนั้นพันธบัตร“จำนำข้าว” จึงควรมีเงื่อนไขการชำระในแต่ละปีที่รวมเงินต้นด้วย มิเช่นนั้นหนี้ก้อนนี้จะกลายเป็น “หนี้สาธารณะถาวร” เหมือนหนี้กองทุนฟื้นฟู
ประเด็นสำคัญยิ่งกว่า ก็คือในสมัยวิกฤตต้มยำกุ้งมีการฟ้องร้องผู้บริหารสถาบันการเงินจำนวนมากไล่ไปถึงผู้ว่าแบงค์ชาติ ส่วนวันนี้ความผิดยิ่งชัด เพราะ ป.ป.ช. ได้เตือนรัฐบาลอย่างชัดเจนถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง แต่เป็นบรรทัดฐานหลักการบริหารบ้านเมือง คนไทยไม่มีสิทธิปฏิเสธร่วมแบกหนี้ 30 ปีนี้ แต่เรามีสิทธิเรียกร้องให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน ถ้ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนคนไทยมาช่วยแบกรับภาระหนี้นี้ด้วยการร่วมซื้อพันธบัตร ก็ขอให้ช่วยลงโทษทุกคนที่ทำผิดกฎหมายจนเกิดความเสียหายถึงขนาดนี้ด้วย
ข้อเรียกร้องให้หาคนผิดมาลงโทษที่ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการโยนภาระหนี้มาให้คนไทยแบกรับนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลทหารจะทำเอาหูไปนาเอาตาไร่ โบ้ยบ้ายไปเรื่อยไม่ได้ ต้องมีคำตอบให้สังคมชัดเจน
เพราะสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งสำหรับความอื้อฉาวทุจริตจำนำข้าวจนถึงบัดนี้ ก็คือ การที่ยังเอาคนผิดที่ก่อความเสียหายมโหฬารนี้มารับโทษทัณฑ์ไม่ได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ทำเป็นขบวนการใหญ่โตตั้งแต่หัวยันหาง ทั้งที่มีผลสอบออกมาเป็นระยะๆ อาจเพราะมันเป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่วางแผนกันมาตั้งแต่ต้นเป็นสุดยอดความชั่วร้าย อย่างที่นายวิชา มหาคุณ กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยนว่าประเทศไทยมีการทุจริตที่มากล้นเหมือนน้ำท่วมท้นประเทศไทย นอกจากจะมากมายแล้วยังสลับซับซ้อนอีกต่างหาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทุจริตเชิงนโยบายที่ผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองวางแผนล่วงหน้าและออกกฎหมายมาเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้อง เช่น การซื้อรถซื้อเรือดับเพลิงของกรุงเทพฯ และการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่เรียกว่าจำนำแต่ความจริงคือให้เงินฟรี เพราะชาวนำนำข้าวมาจำนำแล้วไม่มีไถ่ถอนคืนจนล้นโกดัง
“.... กระบวนการเหล่านี้คนคิดต้องเรียกว่าสุดยอดของความชั่วร้าย ทำให้เงินที่รัฐจ่ายไป 7 แสนล้านบาทหายไปเข้ากระเป๋าพรรคพวก ถือเป็นการโกงที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเอาชนะการโกงที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้เลย เพราะเป็นกระบวนการที่มีความรู้ความชำนาญ ดังนั้นคนที่ทำหน้าที่ไต่สวนต้องมีความเชี่ยวชาญเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นหาไม่เจอว่าเงินหายไปไหน เงินที่โกงจากโครงการรับจำนำข้าวส่วนใหญ่ขณะนี้ขนออกไปนอกประเทศ .....” นายวิชา แฉเส้นทางเงินที่โกงไปจากโครงการจำนำข้าว
ส่วนการฟ้องคดีจำนำข้าวต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกเตะถ่วงเรื่อยมานั้น การประชุมร่วมระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) กับ ป.ป.ช. ในวันที่ 7 พ.ย.ที่จะถึงนี้ จะได้ข้อสรุปชัดเจนว่า อสส.จะยื่นฟ้องหรือไม่ หากอสส.ไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช.คงต้องฟ้องคดีเอง
สำหรับกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก นายวิชา ชี้แจงความคืบหน้าว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการรวบพยานหลักฐานซึ่งเกือบจะครบถ้วนแล้ว ขาดเพียงการไต่สวนสอบพยานบุคคลอีก 2 - 3 ปาก โดยขอให้ถ้อยคำเพิ่มเติมของผู้สอบบัญชีของบริษัท สยามอินด้า จำกัด รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาบางราย คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 111 คน ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ ป.ป.ช. ดำเนินการมา
นั่นเป็นการดำเนินการในส่วนของป.ป.ช. แต่สำหรับการตรวจสอบจากรัฐบาลกลับเงียบหายไปกับสายลม ซึ่ง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรมอดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาทวงสัญญาจาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานตรวจสอบโกดังข้าว ที่เป็นม้าตีนต้นฟิตจัดแถลงผลงานโบว์แดงทั้งข้อมูลข้าวเสียหาย ข้าวไร้คุณภาพ แต่ระยะหลังกลับแผ่วปลายมีการเลื่อนแถลงข่าวความคืบหน้าในการตรวจโกดังข้าวเรื่อยมาตั้งแต่กลางเดือนก.ย.จนบัดนี้ ก็ยังไม่สรุป จึงขอให้เร่งแถลงต่อประชาชนว่า ข้าวสูญหายเท่าไหร่ เสื่อมสภาพเท่าไหร่ และกรณีมีการทุจริต ตามโกดังต่างๆ รัฐบาลจะดำเนินคดีอย่างไรด้วย
ย้ำอีกครั้ง ถ้าอยากให้ประชาชนคนไทยช่วยรับภาระหนี้ 8 แสนล้าน รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องเชือดคนโกงจำนำข้าวเซ่นความผิดที่ก่อขึ้นด้วย
ไม่เช่นนั้น อาจทำให้คนไทยอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วการทำรัฐประหารก็เพื่อเข้ามาช่วยกลบขี้และอุ้มน.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีผิดคดีทุจริตจำนำข้าว? .... ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย