**โดนด่ากันขรม สำหรับกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไม่ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก่อนเข้า และหลังจากพ้นตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า เป็นตำแหน่งทางวิชาการ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องผลประโยชน์ใดๆ
เรียกว่า ทั้งแนวร่วมแนวต้าน พร้อมใจกันรุมชยันโต “ป.ป.ช. - สปช.”กันยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หรือในราย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และ นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจน นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง คนกันเองที่กระทุ้งแรงๆ เลยว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ถือเป็นมติที่แหกความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้ หลายคนเชื่อว่า สปช.เอง เป็นหนึ่งในสายธารสำคัญขององคาพยพที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ฉบับนี้ ตามที่ “เนติบริกรผู้พี่”นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย เปรียบเปรยเอาไว้ จัดอยู่ในสถานะเดียวกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงน่าจะต้องลงเอยแบบเดียวกันนั่นคือ “ต้องยื่น”
อีกทั้ง สปช.เอง เป็นองคาพยพหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ เพราะต้องแบกรับหน้าที่อันสำคัญ หรือเปรียบเสมือนหัวใจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือ การปฏิรูปประเทศ และการเขียนกติกาประเทศอย่างการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร อันมีผลโดยตรงต่อประชาชน จัดว่า มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนกับที่ “นิพิฏฐ์”อธิบายเอาไว้ว่า สปช.เป็นผู้ลงมติรับ หรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ และยังมีสมาชิกเข้าไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี นับแต่พ้นตำแหน่ง จึงมีความสำคัญยิ่ง และมีการขัดกันของผลประโยชน์อยู่ในตัวอยู่แล้ว
**เหตุผลของ“ป.ป.ช.”จึงดูเบาหวิวดั่งปุยนุ่น !!!
นอกจากเหตุผลทางกฎหมายแล้ว ในเรื่องของการสร้างบรรทัดฐาน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ สปช. ชุดนี้ คือ บุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ ซึ่งในจำนวนนั้นมีเรื่องการปฏิรูปการเมือง และการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันด้วย เหตุใดจึงไม่สร้างบรรทัดฐานใหม่เพื่อแสดงความโปร่งใสให้เป็นตัวอย่าง และเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย นับหนึ่งให้บรรดานักการเมืองเห็น แต่พอผู้ปฏิรูปกลับไม่นำร่องปฏิรูปเสียเอง ในอนาคตอาจจะทำให้ถูกย้อนศรเอาได้
ตลกร้ายยังจะเป็นการลดเครดิตตัวเองในสายตาประชาชน เพราะเริ่มต้นยังมีลับลมคมใน แล้วการปฏิรูปที่จะเกิดขึ้น สังคมจะไว้ใจได้อย่างไรว่า จะออกมาดี โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง เสมือนเป็นการลดพลังวัดตัวเอง แบบไม่ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามออกแรงให้เหนื่อย ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสร้างความเคลือบแคลงใจให้สังคมว่า สปช. กำลังทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน เหนือกว่าคนอื่นๆ และเป็นคนพิเศษ ที่ได้รับสิทธิมากมาย
**ในเมื่อเป็นบุคคลที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม เหตุใด สปช. จึงไม่ใช้จังหวะนี้ทำ !!
เรื่องนี้มีความน่าสนใจหลายอย่าง เพราะอภิสิทธิ์ที่ สปช.ได้รับเสมือน “โปรโมชัน”ลด แลก แจก แถม คือ ไม่ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ และไม่ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินฯให้ใครได้รับรู้ สามารถนั่งทำหน้าที่ได้เต็มลิมิต โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่า ใครจะมาจ๊อกแจ๊ก ตรวจสอบความผิดปกติให้ต้องชี้แจงแถลงไขกันให้เมื่อยตุ้ม
ซึ่งผิดวิสัยปกติทั่วๆ ไป ที่อย่างน้อยๆ อาจจะอนุโลมได้ด้วยการให้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ อย่างเดียว โดยไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน เหมือนกับตำแหน่งข้าราชการระดับสูง หรือผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ครั้งนี้กลับไม่ต้องทำทั้งสองอย่าง ทั้งที่ก่อนหน้า ป.ป.ช. มีมติเรื่องนี้เพียงวันเดียว “เนติบริกรผู้พี่” อย่าง นายวิษณุ เครืองาม เพิ่งจะวิเคราะห์หลักกฎหมายให้ฟังว่า สปช. อาจต้องยื่น แต่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ
แม้ว่าใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะกำหนดไว้ว่า ตำแหน่งใดที่จะต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อป.ป.ช. บ้าง ซึ่งไม่ได้เขียนครอบสปช. เอาไว้ เพราะเพิ่งถือกำเนิดเป็นครั้งแรก
แต่ถึงจะไม่ได้กำหนดเอาไว้ ทว่าใน มาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับเดียวกันนี้ ก็ให้อำนาจ ป.ป.ช. สามารถกำหนดตำแหน่งที่จะต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯได้เหมือนกัน
**มติในครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ค่ายสนามบินน้ำ”ได้รับสัญญาณอะไรบางอย่าง จากผู้มีอำนาจในเรื่องนี้มาหรือไม่
เพราะหากย้อนความไปครั้ง สนช. ช่วงนั้นก็มีปัญหาในลักษณะเดียวกันว่า จะต้องยื่นหรือไม่ จนทำให้สมาชิกกลุ่มหนึ่งนำโดย “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา สหายรัก “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุววรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ 28 สนช. ทำตัวอิดออดไปยื่นศาลปกครอง ให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช. ที่ให้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ และต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน จนทำให้เกิดความกังขาว่า รอบนี้จะมีพวกประเภทเดียวกันอีกซ้ำสอง
อย่าลืมว่าใน สปช.ชุดนี้ หากมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินฯ ออกสู่สายตาประชาชน จะได้รับการจับตามองอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นชนชั้นนำในสังคมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ พ่อค้า เอกชน นักการเมือง อดีตข้าราชการระดับสูง อดีตนายทหาร นักวิชาการ อดีต ส.ว. เผลอๆจะรวยยิ่งกว่า สนช. เสียอีก เลยเป็นไปได้ที่จะได้รับสัญญาณพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง แม้ขณะนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมติของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่ผลพวงครั้งนี้จะกลายเป็นแผลซึมลึกให้แก่ สปช. ที่จะไม่ได้รับความชอบธรรมเรื่องการทำงานสักเท่าไรนัก กรอบกติกาบางอย่างที่จะเกิดขึ้น อาจถูกตั้งแง่และต่อต้าน ที่สำคัญ ฝ่ายตรงข้าม จะขยายแผลนี้ทุกเมื่อที่มีโอกาส
นอกจากตัว สปช.เอง ปมอภิสิทธิ์หนนี้ ยังจะกระทบชิ่งไปถึงผู้มีอำนาจตัวจริงอย่าง “บิ๊กตู่”เหมือนกัน ในฐานะ “องค์รัฏฐาธิปัตย์” ที่มีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จว่า เหตุใดจึงไม่ให้มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ในเมื่อปากตะโกนปาวๆ เช้าจรดเย็นว่า ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
ยิ่งระยะหลังทหาร ตำรวจ ถูกจับจ้องว่า ทรัพย์สินกองเหมือนภูเขา เอามาจากที่ใด การไม่ยอมให้เปิดรอบนี้ ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่า กำลังมีเงื่อนงำอะไรหรือเปล่า โดยเฉพาะกรณีทรัพย์สิน “บิ๊กติ๊ก”พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) น้องชายสุดที่รัก ที่เปิดมาแล้โดนล้วง แคะ แกะ เกา กันน่าดู จนเป็นเรื่องเป็นราวให้ชี้แจง เลยอาจทำให้ใครบางคนเข็ดขยาด ไม่อยากซ้ำรอย
เหล่านี้นานาสารพัด บางเรื่องก็ไม่ควรให้เป็นเรื่อง กลายเป็นว่า สปช. รอดตัวจากการยื่นทรัพย์สิน แต่กลับต้องกลายมาเป็นตัว “ล่อเป้า”ที่จะถูกจ้องจับผิดทุกฝีก้าว
**ไม่ปฏิรูปตัวเอง แล้วจะไปฏิรูปคนอื่นได้อย่างไรเล่า. !!!
เรียกว่า ทั้งแนวร่วมแนวต้าน พร้อมใจกันรุมชยันโต “ป.ป.ช. - สปช.”กันยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หรือในราย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และ นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจน นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง คนกันเองที่กระทุ้งแรงๆ เลยว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ถือเป็นมติที่แหกความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้ หลายคนเชื่อว่า สปช.เอง เป็นหนึ่งในสายธารสำคัญขององคาพยพที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ฉบับนี้ ตามที่ “เนติบริกรผู้พี่”นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย เปรียบเปรยเอาไว้ จัดอยู่ในสถานะเดียวกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงน่าจะต้องลงเอยแบบเดียวกันนั่นคือ “ต้องยื่น”
อีกทั้ง สปช.เอง เป็นองคาพยพหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ เพราะต้องแบกรับหน้าที่อันสำคัญ หรือเปรียบเสมือนหัวใจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือ การปฏิรูปประเทศ และการเขียนกติกาประเทศอย่างการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร อันมีผลโดยตรงต่อประชาชน จัดว่า มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนกับที่ “นิพิฏฐ์”อธิบายเอาไว้ว่า สปช.เป็นผู้ลงมติรับ หรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ และยังมีสมาชิกเข้าไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี นับแต่พ้นตำแหน่ง จึงมีความสำคัญยิ่ง และมีการขัดกันของผลประโยชน์อยู่ในตัวอยู่แล้ว
**เหตุผลของ“ป.ป.ช.”จึงดูเบาหวิวดั่งปุยนุ่น !!!
นอกจากเหตุผลทางกฎหมายแล้ว ในเรื่องของการสร้างบรรทัดฐาน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ สปช. ชุดนี้ คือ บุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ ซึ่งในจำนวนนั้นมีเรื่องการปฏิรูปการเมือง และการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันด้วย เหตุใดจึงไม่สร้างบรรทัดฐานใหม่เพื่อแสดงความโปร่งใสให้เป็นตัวอย่าง และเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย นับหนึ่งให้บรรดานักการเมืองเห็น แต่พอผู้ปฏิรูปกลับไม่นำร่องปฏิรูปเสียเอง ในอนาคตอาจจะทำให้ถูกย้อนศรเอาได้
ตลกร้ายยังจะเป็นการลดเครดิตตัวเองในสายตาประชาชน เพราะเริ่มต้นยังมีลับลมคมใน แล้วการปฏิรูปที่จะเกิดขึ้น สังคมจะไว้ใจได้อย่างไรว่า จะออกมาดี โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง เสมือนเป็นการลดพลังวัดตัวเอง แบบไม่ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามออกแรงให้เหนื่อย ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสร้างความเคลือบแคลงใจให้สังคมว่า สปช. กำลังทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน เหนือกว่าคนอื่นๆ และเป็นคนพิเศษ ที่ได้รับสิทธิมากมาย
**ในเมื่อเป็นบุคคลที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม เหตุใด สปช. จึงไม่ใช้จังหวะนี้ทำ !!
เรื่องนี้มีความน่าสนใจหลายอย่าง เพราะอภิสิทธิ์ที่ สปช.ได้รับเสมือน “โปรโมชัน”ลด แลก แจก แถม คือ ไม่ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ และไม่ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินฯให้ใครได้รับรู้ สามารถนั่งทำหน้าที่ได้เต็มลิมิต โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่า ใครจะมาจ๊อกแจ๊ก ตรวจสอบความผิดปกติให้ต้องชี้แจงแถลงไขกันให้เมื่อยตุ้ม
ซึ่งผิดวิสัยปกติทั่วๆ ไป ที่อย่างน้อยๆ อาจจะอนุโลมได้ด้วยการให้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ อย่างเดียว โดยไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน เหมือนกับตำแหน่งข้าราชการระดับสูง หรือผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ครั้งนี้กลับไม่ต้องทำทั้งสองอย่าง ทั้งที่ก่อนหน้า ป.ป.ช. มีมติเรื่องนี้เพียงวันเดียว “เนติบริกรผู้พี่” อย่าง นายวิษณุ เครืองาม เพิ่งจะวิเคราะห์หลักกฎหมายให้ฟังว่า สปช. อาจต้องยื่น แต่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ
แม้ว่าใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะกำหนดไว้ว่า ตำแหน่งใดที่จะต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อป.ป.ช. บ้าง ซึ่งไม่ได้เขียนครอบสปช. เอาไว้ เพราะเพิ่งถือกำเนิดเป็นครั้งแรก
แต่ถึงจะไม่ได้กำหนดเอาไว้ ทว่าใน มาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับเดียวกันนี้ ก็ให้อำนาจ ป.ป.ช. สามารถกำหนดตำแหน่งที่จะต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯได้เหมือนกัน
**มติในครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ค่ายสนามบินน้ำ”ได้รับสัญญาณอะไรบางอย่าง จากผู้มีอำนาจในเรื่องนี้มาหรือไม่
เพราะหากย้อนความไปครั้ง สนช. ช่วงนั้นก็มีปัญหาในลักษณะเดียวกันว่า จะต้องยื่นหรือไม่ จนทำให้สมาชิกกลุ่มหนึ่งนำโดย “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา สหายรัก “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุววรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ 28 สนช. ทำตัวอิดออดไปยื่นศาลปกครอง ให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช. ที่ให้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯ และต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน จนทำให้เกิดความกังขาว่า รอบนี้จะมีพวกประเภทเดียวกันอีกซ้ำสอง
อย่าลืมว่าใน สปช.ชุดนี้ หากมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินฯ ออกสู่สายตาประชาชน จะได้รับการจับตามองอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นชนชั้นนำในสังคมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ พ่อค้า เอกชน นักการเมือง อดีตข้าราชการระดับสูง อดีตนายทหาร นักวิชาการ อดีต ส.ว. เผลอๆจะรวยยิ่งกว่า สนช. เสียอีก เลยเป็นไปได้ที่จะได้รับสัญญาณพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง แม้ขณะนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมติของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่ผลพวงครั้งนี้จะกลายเป็นแผลซึมลึกให้แก่ สปช. ที่จะไม่ได้รับความชอบธรรมเรื่องการทำงานสักเท่าไรนัก กรอบกติกาบางอย่างที่จะเกิดขึ้น อาจถูกตั้งแง่และต่อต้าน ที่สำคัญ ฝ่ายตรงข้าม จะขยายแผลนี้ทุกเมื่อที่มีโอกาส
นอกจากตัว สปช.เอง ปมอภิสิทธิ์หนนี้ ยังจะกระทบชิ่งไปถึงผู้มีอำนาจตัวจริงอย่าง “บิ๊กตู่”เหมือนกัน ในฐานะ “องค์รัฏฐาธิปัตย์” ที่มีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จว่า เหตุใดจึงไม่ให้มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ในเมื่อปากตะโกนปาวๆ เช้าจรดเย็นว่า ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
ยิ่งระยะหลังทหาร ตำรวจ ถูกจับจ้องว่า ทรัพย์สินกองเหมือนภูเขา เอามาจากที่ใด การไม่ยอมให้เปิดรอบนี้ ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่า กำลังมีเงื่อนงำอะไรหรือเปล่า โดยเฉพาะกรณีทรัพย์สิน “บิ๊กติ๊ก”พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) น้องชายสุดที่รัก ที่เปิดมาแล้โดนล้วง แคะ แกะ เกา กันน่าดู จนเป็นเรื่องเป็นราวให้ชี้แจง เลยอาจทำให้ใครบางคนเข็ดขยาด ไม่อยากซ้ำรอย
เหล่านี้นานาสารพัด บางเรื่องก็ไม่ควรให้เป็นเรื่อง กลายเป็นว่า สปช. รอดตัวจากการยื่นทรัพย์สิน แต่กลับต้องกลายมาเป็นตัว “ล่อเป้า”ที่จะถูกจ้องจับผิดทุกฝีก้าว
**ไม่ปฏิรูปตัวเอง แล้วจะไปฏิรูปคนอื่นได้อย่างไรเล่า. !!!