ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ยกฟ้องคดีที่มูลนิธิเพื่อสันติภาพเขียว (กรีนพีซ เอส อี เอ) ฟ้องกรมวิชาการเกษตร อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 กรณีขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ที่อนุญาตให้ทดลองปลูกมะละกอตัดต่อสารพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ในภาคสนาม หรือในสภาพพื้นที่เปิด และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี ดำเนินการตรวจสอบสอบมะละกอในแปลงเกษตรกรซ้ำทั้งหมด ทั้งผู้ได้รับการจำหน่าย จ่ายแจก จากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และเกษตรกรที่ได้รับต่ออีกทอดหนึ่ง จากผู้รับจำหน่าย จ่าย แจก และกำหนดมาตรการ ในการควบคุม แพร่กระจาย ของมะละกอตัดต่อสารพันธุกรรม ไปสู่แปลงเกษตรกร และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว กรีนพีซได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เมื่อปี 2549 โดยระบุว่า กรมวิชาการเกษตรและอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ละเลย ปล่อยให้มีการแพร่กระจายของมะละกอจีเอ็มโอ นอกพื้นที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 ส่วนแยกพืชสวน ต.ท่าพระ อ.เมืองฯ จ.ขอนแก่น เป็นเหตุให้พันธุ์มะละกอดังกล่าว ออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมไปสู่แปลงเพาะปลูกของเกษตรกร
สำหรับเหตุผล ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในวันนี้ ระบุว่า เห็นว่า กรมวิชาการเกษตร มีอำนาจหน้าที่ ตามข้อ 1(1) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2545 ในการดำเนินโครงการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัด ศึกษา ทดลองปลูกมะละกอจีเอ็มโอ เพื่อการศึกษาวิจัยตามที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ให้นำเข้าซึ่งสิ่งต้องห้ามตาม มาตรา 8 พ.ร.บ.กักพืช 2507 โดยไม่ได้เป็นการดำเนินการนอกเหนืออำนาจหน้าที่
อีกทั้ง ข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่า กรมวิชาการเกษตร ได้ยุติการทดลองมะละกอจีเอ็มโอแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 47 ดังนั้น ที่กรีนพีซอุทธรณ์ ให้สั่งกรมวิชาการเกษตร ยุติการทดลองมะละกอจีเอ็มโอในแปลงทดลองแบบเปิด จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรมวิชาการเกษตรฯ ละเลยต่อหน้าที่ในการควบคุมการดำเนินการทดลองมะละกอจีเอ็มโอ ไม่ให้เกิดการปนเปื้อนและแพร่กระจายสารตัดต่อพันธุกรรมหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการปนเปื้อนสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอ ที่เกษตรกรได้รับเมล็ดพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรๆ ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธผลร้ายที่เกิดขึ้นจากการครอบครองสิ่งต้องห้าม ที่เป็นวัตถุเสี่ยงภัย ของหน่วยงานทางปกครองได้
กรณีดังกล่าว จึงต้องถือว่า กรมวิชาการเกษตร ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการควบคุมการดำเนินการทดลองมะละกอตัดต่อพันธุกรรม และเมื่อพิจารณาว่ากรมวิชาการเกษตร และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดกรณีพบการปนเปื้อน แพร่กระจายสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอเพียงใด เห็นว่าเมื่อปรากฏข่าวทางสื่อว่าพบการปนเปื้อนดังกล่าว ต่อมาอธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้มีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 30 ก.ค. 47 ให้หยุดจำหน่าย จ่ายแจกเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าพันธุ์มะละกอทุกชนิด และให้ตรวจสอบการจำหน่ายจ่ายแจกเมล็ด และต้นกล้าพันธุ์มะละกอที่แจกจ่ายไป รวมถึงการตรวจสอบทำลายการปนเปื้อนสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอในพื้นที่ต่าง
ดังนั้น เมื่ออธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว และกรมวิชาการเกษตรได้ยุติการทดลอง ทั้งหมดแล้ว จึงถือว่าอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดในการตรวจสอบ และทำลายการปนเปื้อนสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอแล้ว
ด้านนายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า แม้ศาลปกครองสูงสุด จะมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การปนเปื้อนของพืชจีเอ็มโอ จะหมดไป ตรงกันข้าม กลับพบว่ามีการขยายเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ และเชื่อว่ากรมวิชาการเกษตรจะใช้คำพิพากษานี้ไปสร้างความชอบธรรมในการทดลองพืชจีเอ็มโอ ในแปลงเปิดต่อไป
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว กรีนพีซได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เมื่อปี 2549 โดยระบุว่า กรมวิชาการเกษตรและอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ละเลย ปล่อยให้มีการแพร่กระจายของมะละกอจีเอ็มโอ นอกพื้นที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 ส่วนแยกพืชสวน ต.ท่าพระ อ.เมืองฯ จ.ขอนแก่น เป็นเหตุให้พันธุ์มะละกอดังกล่าว ออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมไปสู่แปลงเพาะปลูกของเกษตรกร
สำหรับเหตุผล ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในวันนี้ ระบุว่า เห็นว่า กรมวิชาการเกษตร มีอำนาจหน้าที่ ตามข้อ 1(1) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2545 ในการดำเนินโครงการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัด ศึกษา ทดลองปลูกมะละกอจีเอ็มโอ เพื่อการศึกษาวิจัยตามที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ให้นำเข้าซึ่งสิ่งต้องห้ามตาม มาตรา 8 พ.ร.บ.กักพืช 2507 โดยไม่ได้เป็นการดำเนินการนอกเหนืออำนาจหน้าที่
อีกทั้ง ข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่า กรมวิชาการเกษตร ได้ยุติการทดลองมะละกอจีเอ็มโอแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 47 ดังนั้น ที่กรีนพีซอุทธรณ์ ให้สั่งกรมวิชาการเกษตร ยุติการทดลองมะละกอจีเอ็มโอในแปลงทดลองแบบเปิด จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรมวิชาการเกษตรฯ ละเลยต่อหน้าที่ในการควบคุมการดำเนินการทดลองมะละกอจีเอ็มโอ ไม่ให้เกิดการปนเปื้อนและแพร่กระจายสารตัดต่อพันธุกรรมหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการปนเปื้อนสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอ ที่เกษตรกรได้รับเมล็ดพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรๆ ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธผลร้ายที่เกิดขึ้นจากการครอบครองสิ่งต้องห้าม ที่เป็นวัตถุเสี่ยงภัย ของหน่วยงานทางปกครองได้
กรณีดังกล่าว จึงต้องถือว่า กรมวิชาการเกษตร ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการควบคุมการดำเนินการทดลองมะละกอตัดต่อพันธุกรรม และเมื่อพิจารณาว่ากรมวิชาการเกษตร และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดกรณีพบการปนเปื้อน แพร่กระจายสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอเพียงใด เห็นว่าเมื่อปรากฏข่าวทางสื่อว่าพบการปนเปื้อนดังกล่าว ต่อมาอธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้มีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 30 ก.ค. 47 ให้หยุดจำหน่าย จ่ายแจกเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าพันธุ์มะละกอทุกชนิด และให้ตรวจสอบการจำหน่ายจ่ายแจกเมล็ด และต้นกล้าพันธุ์มะละกอที่แจกจ่ายไป รวมถึงการตรวจสอบทำลายการปนเปื้อนสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอในพื้นที่ต่าง
ดังนั้น เมื่ออธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว และกรมวิชาการเกษตรได้ยุติการทดลอง ทั้งหมดแล้ว จึงถือว่าอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดในการตรวจสอบ และทำลายการปนเปื้อนสารตัดต่อพันธุกรรมในมะละกอแล้ว
ด้านนายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า แม้ศาลปกครองสูงสุด จะมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การปนเปื้อนของพืชจีเอ็มโอ จะหมดไป ตรงกันข้าม กลับพบว่ามีการขยายเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ และเชื่อว่ากรมวิชาการเกษตรจะใช้คำพิพากษานี้ไปสร้างความชอบธรรมในการทดลองพืชจีเอ็มโอ ในแปลงเปิดต่อไป