ชุมชนบางชันตั้งอยู่ในเขต อ.ขลุง จ.จันทบุรี โดยเป็นพื้นที่ที่อยู่ตรงบริเวณปากแม่น้ำเวฬุซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ อีกทั้ง ชุมชนแห่งนี้ยังมีความเก่าแก่ซึ่งก่อตั้งขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2410 หรือประมาณ 135 ปีมาแล้ว
ความเป็นมาที่มีชาวบ้านจับจองอาศัยอยู่ที่ตำบลบางชันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ถือกำเนิดจากชาว อ.ขลุงและชาวจีนที่เข้ามาบุกเบิก อพยพกันเข้ามาก่อตั้งเป็นชุมชนขึ้นมาและได้ลงหลักปักฐาน ประกอบอาชีพประมง ทำโป๊ะวางอวนกางเคยอยู่ในพื้นที่
ทั้งนี้ พื้นที่ที่ “ชาวบางชัน” อาศัยอยู่กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับป่าชายเลนอันมีความอุดมสมบูรณ์ ทางภาครัฐจึงได้มีการเปิดให้สัมปทานการตัดไม้โกงกางในพื้นที่ลุ่มน้ำเวฬุซึ่งมีจำนวนถึงหมื่นไร่ ชาวบ้านจึง อพยพเข้ามาเพิ่มมากขึ้น กระทั่งหมดสัมปทานป่าเผาถ่านไปเมื่อปีพ.ศ.2539 ผู้คนเหล่านี้จึงได้จับจองและตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่แห่งนี้สืบมา
กระนั้นก็ตาม ด้วยความที่ชาวบ้านได้เข้ามาจับจองอยู่อาศัยกันจำนวนมากแล้ว ต่อมาภายหลังทางภาครัฐได้มีการประกาศว่าพื้นที่บางชันแห่งนี้เป็นพื้นที่ “ป่าสงวนแห่งชาติ” อีกทั้งยังมีการประกาศว่าเครื่องมือประมง “หลักเคย” ที่ภาครัฐเรียกว่า “โพงพาง”นั้น เป็นเครื่องมือผิดกฎหมาย ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ และถูกสั่ง ห้ามใช้โพงพางประกอบอาชีพอีก
สถานะของชาวบ้านจึงกลายเป็นผู้บุกรุก เครื่องมือทำกินที่ทางภาครัฐเรียกว่า “โพงพาง” ก็มีการถูกรื้อถอน ทำลายทิ้ง ประเด็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ชาวบางชันจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องที่อยู่อาศัย และสิทธิทำกิน ซึ่งก็มีอยู่ 2 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ 1.เรื่องที่ดิน ที่ชาวบางชันไม่สามารถมีเอกสารสิทธิในการถือครองที่ดินได้ 2. เรื่องการประกอบอาชีพประมงที่มีกฎหมายออกมาห้ามทำโพงพางจับสัตว์น้ำ
โดยปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เอง ทางสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับผู้เข้าอบรมหลักสูตรบริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 5 สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้มีการจัดสัมนาสาธารณะในหัวข้อ “บางชันโมเดล : คืนความสุขให้หมู่บ้านไร้แผ่นดิน” เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมาโดยผู้เกี่ยวข้องจากภาครัฐ นักวิชาการ และคนในชุมชนบางชันได้เข้าร่วมสัมมนาและนำความคิดเห็นของคนในชุมชน เรียกร้องภาครัฐให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
ปวัตร กาญจนะวงศ์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้ให้สัมภาษณ์กับ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ภายหลังจากเสร็จสิ้นจากการถกเถียงปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่า กรณีที่ชาวบางชันต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ยันสิทธินั้น ชาวบางชันต้องการความมั่นคงที่ว่าทำยังไงถึงจะยังอยู่ในพื้นที่นี้ได้ สามารถประกอบอาชีพโพงพางต่อไปได้ แม้กระทั่งจะให้มีการลงทะเบียนเสียภาษีก็จะยอม ถ้าทำให้สามารถอาศัยอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายได้
“ เพราะชาวบ้านเขาอยู่ที่บางชันกันมานานแล้ว แต่พอประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2505 ก็ปรากฏว่าชาวบ้านที่นี่ก็โดนอยู่ในพื้นที่ป่าไปด้วย คือไม่ได้กันพื้นที่ชุมชนเอาไว้ ชาวบ้านก็เข้ามาอาศัยกันจำนวนมากแล้ว มีการจับจองพื้นที่ทำนากุ้งกันเต็มพื้นที่ ทีนี้ปัญหาก็คือว่า พื้นที่ป่าสงวน แต่ชาวบ้านเข้ามาอยู่ทำกินกันเป็น100 ปี แต่กฎหมายที่ใช้บริหารจัดการที่นี่ยังเป็นกฎหมายป่าสงวนอยู่ ซึ่งมติครม.ปี 2534ที่ออกมาล่าสุด ก็แค่อนุโลมให้อยู่เท่านั้น ไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่จะอยู่แบบถาวร พูดง่ายๆว่ารัฐบาลมีสิทธิ์เพิกถอนบ้านได้ทุกหลัง
“ดังนั้นประชาชนจึงเกิดความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัยเพราะมันอยู่ในเขตป่าสงวนของรัฐบาล ส่วนการทำโพงพางเป็นอีกตัวกฎหมายหนึ่ง กฎหมายประมงปีพ.ศ.2521 ประกาศให้โพงพางเป็นเครื่องมือผิดกฎหมาย แต่กฎหมายตัวนี้ก็ไม่ได้ดำเนินบังคับอย่างจริงจัง จนกระทั่งเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทางรัฐบาลเพิ่งจะมีท่าทีขึงขัง บังคับใช้กฎหมายนี้อย่างจริงจัง แต่ก่อนหน้านั้นก็ปล่อยให้ชาวบ้านทำโพงพางกันเต็มพื้นที่แล้ว และคราวนี้ปัญหามันเลยเกิดขึ้นว่า ถ้าจะรื้อโพงพางออกชาวบ้านที่นี่จะทำอาชีพอะไร เพราะตั้งแต่ดั้งเดิมบรรพบุรุษมาเป็น100 ปีเขาก็ทำอาชีพนี้กันหมด
ปวัตรให้ข้อมูลต่อไปว่า โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าจะให้โยกย้ายไปทำอาชีพอื่นก็เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าจะกำหนดให้พื้นที่บางชันเป็นพื้นที่พิเศษ ชาวบ้านสามารถประกอบโพงพางกันต่อไป ในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากนัก มีกติกาการควบคุมโดยชุมชนอย่างชัดเจน อาทิ มีการกำหนดขนาดตาอวน กำหนดเวลาในการจับสัตว์น้ำ ฯ ซึ่งเรื่องพวกนี้จะออกมาผ่านจากงานการวิจัยที่ทำร่วมกันกับชุมชนว่าหลังจากเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำไป แล้ว จะเห็นว่าสัตว์น้ำแต่ละช่วง แต่ละฤดูกาลเป็นอย่างไร ถ้าจะอนุรักษ์จะป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายจะมีวิธีไหนบ้าง ซึ่งกฎหมายตัวนี้ถ้าชาวบ้านได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเขาจะปฏิบัติตามว่า แล้วตรงไหนที่จะให้เขาอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้
“ผมกับชาวบ้านก็ได้มีการต่อสู้เรื่องนี้ เข้าไปเป็นกรรมการรวมกับชาวบ้านแล้วก็ประมาณ 60 คน ซึ่งก็มีมติออกมาว่าให้พื้นที่ของผมทำงานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมาอบจ.อนุมัติงบประมาณให้ทำวิจัยก็จริง แต่ว่าอบต.บอกว่าไม่มีศักยภาพพอจะทำงานวิจัยก็เลยต้องกลับไปประชุมแต่ละจังหวัดอีกครั้ง ซึ่งจะมีการจัดขึ้นอีกในเร็ววันนี้ ว่างบประมาณก้อนนี้จะสามารถทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาได้อย่างไรบ้าง”
ในขณะที่ ชัยชาญ พูนผล นายอำเภอขลุง จ.จันทบุรี กล่าวว่าปัญหานี้กระจายทั่วไปทุกภูมิภาคส่งผลกระทบชาวบ้านหลายแห่ง ในส่วนของจังหวัดจันทบุรีก็มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ในขณะเดียวก็อาจจะเกิดผลกระทบต่อธรรมชาติซึ่งก็แยกจากกันไม่ได้ อีกทั้งบางชันไม่มีอาชีพอื่นรองรับเหมือนที่อื่น ในอนาคตจึงควรปฏิรูปกฎหมายให้ยืดหยุ่น อาจจะมอบอำนาจให้ภูมิภาคมีอำนาจตัดสินใจแก้ปัญหาเองมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องหลักเคยและโพงพางซึ่งเบื้องต้นยังแก้ไม่ได้ และที่สำคัญการทำโพงพางชาวบ้านไม่ได้ทำทุกวัน
“จะเป็นไปได้ไหม หากทางออกการแก้ไขปัญหาระยะเริ่มต้นก็คือ เชิญคนทั่วไปให้เงินชดเชยแก่ผู้ยอมหยุดทำในบางวัน หรือเชิญชวนกันไปไถ่ชีวิตสัตว์ทะเลเพื่อที่ว่า จะได้ค่อยๆ ลดลงไปและลดความขัดแย้งกัน ส่วนในเรื่องสิทธิครอบครองที่ดินก็เคยมีการเสนอหลายแนวทาง เช่น สปก.4-01หรือให้มีการปลูกป่าชายเลนแทนนากุ้งรกร้าง”นายอำเภอชัยชาญเสนอความคิดเห็น
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ หากชาวบ้านบางชันที่อาศัยอยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้มานานจะเปลี่ยนจากสถานะ “ผู้บุกเบิก” กลายเป็น “ผู้บุกรุก” พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาตินั้น ทางภาครัฐจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรโดยเฉพาะการทำโพงพางซึ่งชุมชนแห่งนี้ล้วนดำรงชีพด้วยวิธีการนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะหยิบยกกรณีของชาวบางชันจัดให้อยู่ในเรื่องเร่งด่วนที่จะแก้ไขปัญหา เพราะยังมีชาวไทยไร้เอกสารประกอบสิทธิครอบครองที่ดินและไร้สิทธิในการประกอบอาชีพอีกกว่า 600 หมู่บ้านตลอดแนวชายฝั่งทะเลกว่า 2,000กิโลเมตรที่ล้วนประสพปัญหาเดียวกัน ฉะนั้นหากจะรอให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยจัดการทีหลัง ดูเป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับตำบลบางชันมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 64.4 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 40,305 ไร่ ป่าไม้ชายเลน 21,255 ไร่ มีหมู่บ้านในเขตปกครอง จำนวน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านเกาะจิก หมู่ที่ 1,หมู่บ้านปากน้ำเวฬุ หมู่ที่ 2 บ้านเทพขาหย่าง หมู่ที่ 4,บ้านนากุ้ง หมู่ที่ 5, หมู่บ้านสีลำเทียน หมู่ที่6 ซึ่งบริเวณทั้ง 6 ตำบลมีลักษณะภูมิประเทศมีสภาพทั่วไปเป็นเกาะและป่าชายเลน มีลำคลองน้ำเค็มหลายสายไหลผ่านในพื้นที่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ติดต่อกับชายทะเล ชาวบางชันจึงประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ได้แก่ เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงหอยแครง วางลอบปู แร้วปู เบ็ดราว เบ็ดธง อวนปู อวนลอยกุ้ง กร่ำ แห และแทบทุกครัวเรือนใช้หลักโพงพางในการประกอบอาชีพทางการประมง
จะว่าไปแล้ว วิถีชีวิตของชุมชนบางชันริมชายฝั่งทะเลล้วนอาศัยอยู่โดยปราศจากความมั่นคงทำกิน-ดำรงชีพนั้นก็คงไม่ผิดเพี้ยนเท่าไหร่นัก นับว่าเป็นประเด็นที่ภาครัฐควรลงพื้นที่ตรวจสอบ สอบถามชาวบ้านและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่จะมีชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ที่ประสพปัญหาเดียวกันนี้ ลุกขึ้นมาทวงถามจนยากจะจัดการรับมือทัน
คอลัมน์//หนังสือน่าอ่าน
บาลีวันละคำ
กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา, อพฺยากตา ธมฺมา
เชื่อว่าหลายคนอาจจะพออ่านคำชุดแรกออกบ้าง เพราะคำขึ้นต้นน่าจะคุ้นหู เวลาไปฟังสวดพระอภิธรรม กุสลา ธมฺมา (กุ-สะ-ลา ทำ-มา) ซึ่งแปลว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นความดี เช่น การแบ่งปัน เมตตา ปัญญา
คำชุดดังกล่าวเราเรียกว่า “ภาษาบาลี” อันเป็นภาษาเก่าแก่ที่มาจากตระกูลอินเดีย-ยุโรป ซึ่งเราจะรู้จักกันดีในฐานะที่เป็นภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท อย่างพระไตรปิกฏก็ต้องอ่านภาษาบาลีเพื่อแปลออกมาเป็นคัมภีร์เพื่อใช้ศึกษาพระพุทธศาสนานั่นเอง
หนังสือบาลีวันละคำ เขียนโดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย เป็นหนังสือที่อธิบายวิธีอ่านภาษาบาลีได้เข้าใจง่าย เรียนรู้ภาษาบาลีพร้อมคำอ่านและความหมาย รวมถึงปกิณกะสนุกๆ แถมด้วยข้อคิดคำคมปิดท้ายทุกคำ
หนังสือบาลีวันละคำยังเป็นหนังสือประเภทสารคดีทางภาษา หรือเกร็ดความรู้เกี่ยวกับภาษาที่อ่านแล้วสนุก รู้ลึก รู้รากและรู้ความหมายที่ถูกต้องของคำบาลีที่เอามาใช้ในภาษาไทยซึ่งเราพบเห็นได้ทุกวัน อาทิ คำว่าประชาธิปไตย, พยาบาล พินัยกรรม, ภริยา, ศักดิ์สิทธิ์, สมาธิ, อาราธนา, อิติปิ โส ซึ่งคำเหล่านี้มีการเขียนอิงรูปคำสันสกฤตผสมบาลี ที่หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายให้เข้าใจง่ายได้อย่างน่าทึ่ง
คำบาลีจึงไม่ใช่ภาษาที่อ่านยากอีกต่อไป อีกทั้งหนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้ผู้อ่านแปลพระไตรปิกฏได้ แต่จะบอกได้ว่า พระไตรปิฎกแปลว่าอะไร และคำบาลีอื่นๆอีกที่พบเห็นในชีวิตประจำวันแปลว่าอะไร
และต้องขอการันตีผู้เขียน เพราะเขายังเป็นผู้ที่แต่งกาพย์เห่เรือในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค รวม 6ครั้งด้วย อีกทั้งยังเป็นผู้เรียบเรียงโคลงโลกนิติฉบับถอดความ แต่งบทร้อยกรองทั้งเรื่องยาวและเรื่องสั้นหลายเรื่อง รวมทั้งเขียนหนังสือวิชาการทางพระพุทธศาสนาอีกหลายเล่ม
และที่สำคัญ ที่มาของหนังสือบาลีวันละคำเล่มนี้ มาจากผู้ติดตามในเฟซบุ๊กของผู้เขียนจำนวนมากที่ให้ความสนใจต่อเนื่อง สอบถามกันถึง ๒๐๐ คำ กระทั่งเรียกร้องให้พิมพ์รวมเล่มในที่สุด
รับรองว่า...เป็นหนังสือที่คนรักภาษาพลาดไม่ได้จริงๆ
แสงเพ็ง