รอง ผบช.ภาค 8 ยันอัยการไม่ได้ส่งกลับสำนวนคดีฆ่า 2 ชาวอังกฤษบนเกาะเต่า แต่มีปัญหาที่แผ่นบันทึกภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดเปิดไม่ออก คาด 14 ตุลาคมนี้จะสามารถเบิกพยานให้การต่อศาลได้ ด้าน "แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล" เรียกร้องรัฐบาลไทยตรวจสอบกรณีตำรวจทรมานผู้ต้องหา ด้าน "เจ๊ปอง-อัญชะลี" โพสต์เฟซบุ๊กถล่มแอดมินเพจ “CSI LA” เป็นทาสแม้ว ขณะที่แอดมินเพจดังยันไร้สี สุดท้ายโดนถล่มกลับตอบไม่ตรงกับถาม
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีแรงงานต่างด้าวชาวพม่า 2 คนถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่บริเวณหาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยทางพนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีส่งมอบให้กับทางอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาแล้วนั้น
ต่อมาวานนี้ (8 ต.ค.) มีรายงานข่าวแจ้งว่า ทางสำนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย ได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวที่ทางพนักสอบสวนได้นำไปส่งให้เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่มีความหนากว่า 800 หน้าคืนกลับให้พนักงานสอบสวนนำไปปรับปรุงแก้ไขในจุดบกพร่องบางจุด โดยกำชับทำสำนวนให้รัดกุมมากขึ้น เพราะเป็นคดีสำคัญที่สังคมทั่วโลกให้ความสนใจ และยังไม่ได้กำหนดวันเวลาว่าจะส่งฟ้องศาลเกาะสมุยวันไหน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ต.ปวีณ พงษ์ศิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (รอง ผบช.ภาค 8) หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ได้กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ทางอัยการจังหวัดเกาะสมุยไม่มีการส่งสำนวนคืนให้กับทางพนักงานสอบสวนอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ทางอัยการจังหวัดเกาะสมุยและทางพนักงานสอบสวนได้มีการประสานกันโดยตลอด เรื่องสำนวน หรือพยานหลักฐานต่างๆ ไม่มีการแก้ไข แต่มีปัญหาอยู่ที่ทางสำนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุยเปิดแผ่น DVD ที่บันทึกภาพวงจรปิดจำนวน 27 แผ่นที่เกี่ยวกับรูปคดีไม่สามารถเปิดดูได้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้เข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจแล้ว
"ทางอัยการและผู้พิพากษาได้มีการปรึกษาหารือกันไว้แล้วว่าหากขบวนการขั้นตอน พยาน เอกสาร ไม่ผิดพลาดคาดว่าในวันที่ 14 ต.ค.นี้ จะมีการเบิกพยานเพื่อมาเบิกความในชั้นศาล และจะเริ่มพิจารณาคดีในชั้นศาลเป็นต้นไป ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มีพยานบุคคลจำนวน 20 ปาก ขณะนี้อัยการกำลังตรวจสอบคัดเอาพยานที่ให้การตรงต่อประเด็นเพื่อความรวดเร็วในขั้นตอนการพิจารณาคดีความ" พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่าภายหลังการจับกุมชาวพม่า 2 คนที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม น.ส.ฮันนาห์ วินเทอริจ และนายเดวิด มิลเลอร์ นักกฎหมายจากทีมกฎหมายของสถานเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสพบกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนบอกว่า 1 ใน 2 คนกล่าวหาว่าตำรวจทรมานและข่มขู่เขาด้วยการใช้ไฟฟ้าช็อต
ริชาร์ด เบนเน็ต (Richard Bennett) ผอ.การประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางการไทยต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนที่เป็นอิสระ มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสต่อข้อกล่าวหาที่มากขึ้นว่า ตำรวจใช้การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย
"แรงกดดันเนื่องจากความสนใจของสาธารณะ เป็นเหตุให้ต้องคลี่คลายคดีอาชญากรรมที่ทารุณ ไม่ควรส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิ รวมทั้งการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม"
วินเทอริจ และมิลเลอร์ นักท่องเที่ยวอายุ 23 และ 24 ปีตามลำดับ ถูกฆาตกรรมช่วงรุ่งสางวันที่ 15 กันยายน บนเกาะเต่าซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
ตามรายงานข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซ้อมคนงานข้ามชาติจากพม่าในระหว่างการสอบปากคำเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น มีการข่มขู่พวกเขา และเอาน้ำเดือดราดใส่
แม่ของผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่ถูกซ้อมให้ข้อมูลว่า ตำรวจไทยสั่งไม่ให้เหยื่อการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และข่มขู่พวกเขา
"ทางการควรให้ความคุ้มครองเพื่อไม่ให้มีการข่มขู่ และไม่ให้มีการตอบโต้กับบุคคลใด ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานการณ์เข้าเมืองเป็นอย่างไร กรณีที่พวกเขารายงานข่าวหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย และต้องจัดให้มีการเยียวยาอย่างเต็มที่กับผู้เสียหาย
"อีกทั้งยังต้องให้การประกันว่าศาลจะไม่รับฟังหลักฐาน กรณีที่เป็นคำรับสารภาพหรือข้อมูลที่มาจากการบีบบังคับและการทรมาน เว้นแต่เป็นการใช้ข้อมูลนั้นเพื่อพิสูจน์ว่ามีการทรมานเกิดขึ้นจริง" ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
ในเดือนพฤษภาคม 2557 คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ แสดงข้อกังวลร้ายแรงต่อข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่องว่า มีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างกว้างขวางกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เรือนจำไทย ทางคณะกรรมการกระตุ้นให้ทางการไทยใช้มาตรการโดยทันทีและอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสอบสวน ฟ้องร้องดำเนินคดี และลงโทษผู้กระทำผิด
"การสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทรมานเหล่านี้ ควรเป็นภารกิจของหน่วยงานอิสระ ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจสอบสวนเอง"
ทางการได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และมีการถ่ายทอดสัญญาณภาพทางโทรทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
"ผู้ต้องสงสัยทุกคนควรได้รับการคุ้มครองให้มีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในความผิดที่มีโทษประหารชีวิต" ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตและเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม
*** เจ๊ปอง นำทีมถล่ม “CSI LA”
หลังจากเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 57 จากกรณีที่เว็บไซต์ “แนวหน้า” เผยแพร่ข่าวโดยอ้างอิงเพจเฟซบุ๊ก “V For Thailand” ทำการแฉเพจ “CSI LA” ที่โด่งดังจากการตั้งข้อสันนิษฐานการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดีฆ่าโหด 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ณ เกาะเต่า ว่า แอดมินเพจดังที่แท้เป็นคนเสื้อแดง โดยก่อนหน้านี้ มีการโพสต์โจมตี กปปส. ค้านรัฐประหาร และชื่นชอบคนในระบอบทักษิณ
จากนั้นทางเพจ CSI LA ได้โพสต์ภาพบทสนทนาทางอินบ็อกซ์เฟซบุ๊กกับ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก โดยเป็นการชื่นชมการทำงานของแอดมินเพจดังกล่าว เพื่อเพิ่มน้ำหนักยืนยันว่า ถึงขั้นแกนนำ กปปส. เขียนมาให้กำลังใจ แสดงว่าตนนั้นไม่มีสี
“ผมชอบสู้ด้วยหลักฐานเเละใช้เหตุผลมาโดยตลอด ถ้าแกนนำ กปปส. อย่าง อัญชะลี ไพรีรักษ์ เป็นเเฟนเพจผม ติดตามผมมาตลอด และ เขียนมาให้กำลังใจผมแสดงว่าเธอต้องเป็นแดง และ ถูกทักษิณซื้อไปเเล้วใช่ไหม?
ผมบอกได้เลยว่าผมไม่มีสี และ ควรหยุดโจมตีได้แล้วนะให้ผมเอาเวลาเอาหลักฐานมาจับคนร้ายตัวใจริงดีกว่า พวกคนที่มาใส่ร้ายป้ายสีผมก็ไม่ต่างอะไรกับพวกแก๊งพิทักษ์นมสด ย้ำพวกเราอยากเห็นความโปร่งใส เเละความยุติธรรม ที่แท้จริง” แอดมิน CSI LA ระบุ
หลังจากนั้น น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Anchalee Paireerak” เพื่อชี้แจงว่า คุยทางอินบ็อกซ์กับแอดมินเพจ CSI LA เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่วันนี้กลับเอาบทสนทนาส่วนตัวมาเผยแพร่ เพื่อการันตีว่าตัวเองไม่ใช่เสื้อแดง การทำแบบนี้ทำให้เชื่อเลยว่าเป็นเสื้อแดงจริงๆ
“ติดต่อขอสัมภาษณ์ CSI LA ทาง Inbox เพื่อเอามาทำรายการข่าว กรณีคดีเกาะเต่าตอนแรกน้องกลัวว่าพี่ปองจะอัดเทปด้วยซ้ำไป พอพี่ปองบอกอย่ากลัวอัดไม่เป็นหรอกจะขอคุยหาข้อมูลทำข่าว น้องก็โทรมาบอกไม่เคยคิดจะคุยกับนักข่าวคนไหนเลยนอกจากพี่ปองเพราะติดตามมานานและขอโทษที่อดีตเคยเขียนเหน็บแนมพี่ปองทางโซเชียล พี่ปองบอกไม่เป้นไรไม่ถือสาขอหาข่าวหน่อยแล้วเราก็สัมภาษณ์กันยาว
วันนี้น้องโดนโจมตีว่าเป็น “ติ่งแม้ว” น้องเลยเอาบทสนทนาบางส่วนระหว่างติดต่อกันไปขึ้นหน้าจอ ซึ่งจริงทุกคำที่พี่ชื่นชมว่าเป็นน้องเป็นแอดมินเพจที่เก่งในการสืบสวนสอบสวน ทั้งยังนำเสนอที่เฟซนี้ด้วยซ้ำไป
แต่การเอาบทสนทนาของพี่ไปการันตีสีของน้องดูออกจะน่ารักน้อยไปและตื้นเขินไม่สมกับเป็นแอดมินเพจแสนดัง ถ้าน้องเป็นคนกล้าหาญจะปฏิรูปวงการตำรวจเหมือนพี่ปองจริงๆ การทำงานของน้องจะบอกความจริงจากในใจของน้องเองโดยไม่ต้องใช้พี่ไปค้ำที่หน้าจอเพราะอีกหน่อยจะไม่มีใครกล้าคุยอะไรด้วย พอเห็นหน้าจอน้องแล้ว พี่เลยอยากจะเชื่ออย่างที่คนอื่นเขาเชื่อว่าน้องแดง
จะบอกน้องแอดมิน @ CSI LA นะคะว่า คนเราเป็นสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่าไปรักคนเลว คนทราม ทรราช ขายชาติ สามานย์ล้มเจ้าอย่างทักษิณ โคตรเหง้าศักราช และ พรรคพวกของไอ้แม้วมัน แต่ถ้าเธอไม่รักแม้ว เธอจะไม่มีวันเป้นเสื้อแดง
ลองถ้าได้ขึ้นชื่อว่ารักแม้ว รักบก. ลายด่าง เธอ @CSI LA เธอย่อมไม่ต่างอะไรไปจากทักษิณและ บกลายด่างเลย คือ ชั่วเสมอกัน ดังนั้นงานที่เธอทำ เป้าหมายไม่ใช่ปฏิรุปตำรวจอย่างที่เสนอ แต่มันคือ ล้มรัฐบาลบิ๊กตู่ล้วนๆ ...จริงไหม?" น.ส.อัญชะลี ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีแรงงานต่างด้าวชาวพม่า 2 คนถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่บริเวณหาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยทางพนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีส่งมอบให้กับทางอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาแล้วนั้น
ต่อมาวานนี้ (8 ต.ค.) มีรายงานข่าวแจ้งว่า ทางสำนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย ได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวที่ทางพนักสอบสวนได้นำไปส่งให้เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่มีความหนากว่า 800 หน้าคืนกลับให้พนักงานสอบสวนนำไปปรับปรุงแก้ไขในจุดบกพร่องบางจุด โดยกำชับทำสำนวนให้รัดกุมมากขึ้น เพราะเป็นคดีสำคัญที่สังคมทั่วโลกให้ความสนใจ และยังไม่ได้กำหนดวันเวลาว่าจะส่งฟ้องศาลเกาะสมุยวันไหน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ต.ปวีณ พงษ์ศิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (รอง ผบช.ภาค 8) หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ได้กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ทางอัยการจังหวัดเกาะสมุยไม่มีการส่งสำนวนคืนให้กับทางพนักงานสอบสวนอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ทางอัยการจังหวัดเกาะสมุยและทางพนักงานสอบสวนได้มีการประสานกันโดยตลอด เรื่องสำนวน หรือพยานหลักฐานต่างๆ ไม่มีการแก้ไข แต่มีปัญหาอยู่ที่ทางสำนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุยเปิดแผ่น DVD ที่บันทึกภาพวงจรปิดจำนวน 27 แผ่นที่เกี่ยวกับรูปคดีไม่สามารถเปิดดูได้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้เข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจแล้ว
"ทางอัยการและผู้พิพากษาได้มีการปรึกษาหารือกันไว้แล้วว่าหากขบวนการขั้นตอน พยาน เอกสาร ไม่ผิดพลาดคาดว่าในวันที่ 14 ต.ค.นี้ จะมีการเบิกพยานเพื่อมาเบิกความในชั้นศาล และจะเริ่มพิจารณาคดีในชั้นศาลเป็นต้นไป ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มีพยานบุคคลจำนวน 20 ปาก ขณะนี้อัยการกำลังตรวจสอบคัดเอาพยานที่ให้การตรงต่อประเด็นเพื่อความรวดเร็วในขั้นตอนการพิจารณาคดีความ" พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่าภายหลังการจับกุมชาวพม่า 2 คนที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม น.ส.ฮันนาห์ วินเทอริจ และนายเดวิด มิลเลอร์ นักกฎหมายจากทีมกฎหมายของสถานเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสพบกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนบอกว่า 1 ใน 2 คนกล่าวหาว่าตำรวจทรมานและข่มขู่เขาด้วยการใช้ไฟฟ้าช็อต
ริชาร์ด เบนเน็ต (Richard Bennett) ผอ.การประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางการไทยต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนที่เป็นอิสระ มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสต่อข้อกล่าวหาที่มากขึ้นว่า ตำรวจใช้การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย
"แรงกดดันเนื่องจากความสนใจของสาธารณะ เป็นเหตุให้ต้องคลี่คลายคดีอาชญากรรมที่ทารุณ ไม่ควรส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิ รวมทั้งการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม"
วินเทอริจ และมิลเลอร์ นักท่องเที่ยวอายุ 23 และ 24 ปีตามลำดับ ถูกฆาตกรรมช่วงรุ่งสางวันที่ 15 กันยายน บนเกาะเต่าซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
ตามรายงานข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซ้อมคนงานข้ามชาติจากพม่าในระหว่างการสอบปากคำเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น มีการข่มขู่พวกเขา และเอาน้ำเดือดราดใส่
แม่ของผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่ถูกซ้อมให้ข้อมูลว่า ตำรวจไทยสั่งไม่ให้เหยื่อการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และข่มขู่พวกเขา
"ทางการควรให้ความคุ้มครองเพื่อไม่ให้มีการข่มขู่ และไม่ให้มีการตอบโต้กับบุคคลใด ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานการณ์เข้าเมืองเป็นอย่างไร กรณีที่พวกเขารายงานข่าวหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย และต้องจัดให้มีการเยียวยาอย่างเต็มที่กับผู้เสียหาย
"อีกทั้งยังต้องให้การประกันว่าศาลจะไม่รับฟังหลักฐาน กรณีที่เป็นคำรับสารภาพหรือข้อมูลที่มาจากการบีบบังคับและการทรมาน เว้นแต่เป็นการใช้ข้อมูลนั้นเพื่อพิสูจน์ว่ามีการทรมานเกิดขึ้นจริง" ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
ในเดือนพฤษภาคม 2557 คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ แสดงข้อกังวลร้ายแรงต่อข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่องว่า มีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างกว้างขวางกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เรือนจำไทย ทางคณะกรรมการกระตุ้นให้ทางการไทยใช้มาตรการโดยทันทีและอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสอบสวน ฟ้องร้องดำเนินคดี และลงโทษผู้กระทำผิด
"การสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทรมานเหล่านี้ ควรเป็นภารกิจของหน่วยงานอิสระ ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจสอบสวนเอง"
ทางการได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และมีการถ่ายทอดสัญญาณภาพทางโทรทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
"ผู้ต้องสงสัยทุกคนควรได้รับการคุ้มครองให้มีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในความผิดที่มีโทษประหารชีวิต" ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตและเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม
*** เจ๊ปอง นำทีมถล่ม “CSI LA”
หลังจากเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 57 จากกรณีที่เว็บไซต์ “แนวหน้า” เผยแพร่ข่าวโดยอ้างอิงเพจเฟซบุ๊ก “V For Thailand” ทำการแฉเพจ “CSI LA” ที่โด่งดังจากการตั้งข้อสันนิษฐานการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดีฆ่าโหด 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ณ เกาะเต่า ว่า แอดมินเพจดังที่แท้เป็นคนเสื้อแดง โดยก่อนหน้านี้ มีการโพสต์โจมตี กปปส. ค้านรัฐประหาร และชื่นชอบคนในระบอบทักษิณ
จากนั้นทางเพจ CSI LA ได้โพสต์ภาพบทสนทนาทางอินบ็อกซ์เฟซบุ๊กกับ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก โดยเป็นการชื่นชมการทำงานของแอดมินเพจดังกล่าว เพื่อเพิ่มน้ำหนักยืนยันว่า ถึงขั้นแกนนำ กปปส. เขียนมาให้กำลังใจ แสดงว่าตนนั้นไม่มีสี
“ผมชอบสู้ด้วยหลักฐานเเละใช้เหตุผลมาโดยตลอด ถ้าแกนนำ กปปส. อย่าง อัญชะลี ไพรีรักษ์ เป็นเเฟนเพจผม ติดตามผมมาตลอด และ เขียนมาให้กำลังใจผมแสดงว่าเธอต้องเป็นแดง และ ถูกทักษิณซื้อไปเเล้วใช่ไหม?
ผมบอกได้เลยว่าผมไม่มีสี และ ควรหยุดโจมตีได้แล้วนะให้ผมเอาเวลาเอาหลักฐานมาจับคนร้ายตัวใจริงดีกว่า พวกคนที่มาใส่ร้ายป้ายสีผมก็ไม่ต่างอะไรกับพวกแก๊งพิทักษ์นมสด ย้ำพวกเราอยากเห็นความโปร่งใส เเละความยุติธรรม ที่แท้จริง” แอดมิน CSI LA ระบุ
หลังจากนั้น น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Anchalee Paireerak” เพื่อชี้แจงว่า คุยทางอินบ็อกซ์กับแอดมินเพจ CSI LA เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่วันนี้กลับเอาบทสนทนาส่วนตัวมาเผยแพร่ เพื่อการันตีว่าตัวเองไม่ใช่เสื้อแดง การทำแบบนี้ทำให้เชื่อเลยว่าเป็นเสื้อแดงจริงๆ
“ติดต่อขอสัมภาษณ์ CSI LA ทาง Inbox เพื่อเอามาทำรายการข่าว กรณีคดีเกาะเต่าตอนแรกน้องกลัวว่าพี่ปองจะอัดเทปด้วยซ้ำไป พอพี่ปองบอกอย่ากลัวอัดไม่เป็นหรอกจะขอคุยหาข้อมูลทำข่าว น้องก็โทรมาบอกไม่เคยคิดจะคุยกับนักข่าวคนไหนเลยนอกจากพี่ปองเพราะติดตามมานานและขอโทษที่อดีตเคยเขียนเหน็บแนมพี่ปองทางโซเชียล พี่ปองบอกไม่เป้นไรไม่ถือสาขอหาข่าวหน่อยแล้วเราก็สัมภาษณ์กันยาว
วันนี้น้องโดนโจมตีว่าเป็น “ติ่งแม้ว” น้องเลยเอาบทสนทนาบางส่วนระหว่างติดต่อกันไปขึ้นหน้าจอ ซึ่งจริงทุกคำที่พี่ชื่นชมว่าเป็นน้องเป็นแอดมินเพจที่เก่งในการสืบสวนสอบสวน ทั้งยังนำเสนอที่เฟซนี้ด้วยซ้ำไป
แต่การเอาบทสนทนาของพี่ไปการันตีสีของน้องดูออกจะน่ารักน้อยไปและตื้นเขินไม่สมกับเป็นแอดมินเพจแสนดัง ถ้าน้องเป็นคนกล้าหาญจะปฏิรูปวงการตำรวจเหมือนพี่ปองจริงๆ การทำงานของน้องจะบอกความจริงจากในใจของน้องเองโดยไม่ต้องใช้พี่ไปค้ำที่หน้าจอเพราะอีกหน่อยจะไม่มีใครกล้าคุยอะไรด้วย พอเห็นหน้าจอน้องแล้ว พี่เลยอยากจะเชื่ออย่างที่คนอื่นเขาเชื่อว่าน้องแดง
จะบอกน้องแอดมิน @ CSI LA นะคะว่า คนเราเป็นสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่าไปรักคนเลว คนทราม ทรราช ขายชาติ สามานย์ล้มเจ้าอย่างทักษิณ โคตรเหง้าศักราช และ พรรคพวกของไอ้แม้วมัน แต่ถ้าเธอไม่รักแม้ว เธอจะไม่มีวันเป้นเสื้อแดง
ลองถ้าได้ขึ้นชื่อว่ารักแม้ว รักบก. ลายด่าง เธอ @CSI LA เธอย่อมไม่ต่างอะไรไปจากทักษิณและ บกลายด่างเลย คือ ชั่วเสมอกัน ดังนั้นงานที่เธอทำ เป้าหมายไม่ใช่ปฏิรุปตำรวจอย่างที่เสนอ แต่มันคือ ล้มรัฐบาลบิ๊กตู่ล้วนๆ ...จริงไหม?" น.ส.อัญชะลี ระบุ