เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (6 ต.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก(นขต.ทบ.) วาระพิเศษ ภายหลังจากที่ พล.อ.อุดมเดช ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. โดยมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ในฐานะ รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหารบก และ พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพบก อีกทั้งแม่ทัพภาคต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ได้แก่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.ธวัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 และ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 รวมถึงผู้บังคับการกองพล ผู้บังคับการกรม และผู้บังคับกองพัน ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับการประชุม นขต.ทบ.ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ พล.อ.อุดมเดช ในฐานะ ผบ.ทบ. เพื่อมอบนโยบายหลัก 12 ข้อ ประกอบด้วย 1. จัดสวัสดิการกำลังพล 2. ฝึกศึกษาด้านการทหาร 3. การพัฒนาจัดระบบกองทัพบก 4. ด้านการข่าว 5. อุปกรณ์ยุทโธปกรณ์ 6.การป้องกันชายแดน 7. การรักษาความสงบและความมั่นคงภายใน 8. การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ 9. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน 10. การปกป้องสถาบันฯ 11. การขยายผลโครงการตามพระราชดำริ 12. การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมทั้งเพื่อให้กองทัพมีประสิทธิภาพ และพัฒนากองทัพอย่างยั่งยืน นำไปสู่ผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม นโยบายหลัก คือ ภารกิจการปกป้องอธิปไตย ดูแลชายแดนให้สงบสุข ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการพิทักษ์เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งเผยแพร่ น้อมนำพระราชดำริ มาเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต และปฏิบัติตามนโยบายของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลให้เกิดความมั่นคง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุม พล.อ.ฉัตรชัย เป็นตัวแทนผู้บังคับบัญชาระดับสูง และผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ได้มอบดอกไม้ เพื่อแสดงความยินดีกับ พล.อ.อุดมเดช ที่มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. โดย พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า กองทัพบกพร้อมทำงานสนองตอบนโยบาย ผบ.ทบ. เพื่อให้กองทัพบกมีความก้าวหน้า และเพื่อดำรงไว้ซึ่ง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน
ทั้งนี้ พล.อ.อุดมเดช กล่าวตอนหนึ่งก่อนการประชุมว่า ขอให้กำลังพลทุกคน ใช้โอกาสหลังการประชุมเสร็จทยอยเดินทางไปถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงพระประชวร ที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี
ต่อมาเวลา 12.30 น. พล.อ.อุดมเดช ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เป็นการพบปะหารือกัน เพื่อชี้แจงนโยบาย และเน้นย้ำในฐานะที่เข้ามารับหน้าที่ เป็นผบ.ทบ. โดยมีคติพจน์การทำงาน คือ “ร่วมใจ ริเริ่ม จริงจัง เพื่อชาติ และราชบัลลังก์” ฉะนั้นกองทัพบกต้องปฏิบัติงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งในปี 2558 เป็นปีแห่งการปฏิบัติงานของกองทัพบก ที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และเป็นรูปธรรมทุกด้าน โดยสอดรับกับแนวทางการปฏิบัติงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อดีต ผบ.ทบ. ได้กำหนดไว้
ทั้งนี้ ลักษณะงานของตนจะมี 2 แบบ คือ 1. การตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและ คสช. และตอบสนองนโยบายของผู้บังคับบัญชาในแต่ละลำดับชั้น รวมถึงการปฏิบัติตามแผนงานต่างๆ ของกองทัพบก 2. การกำหนดงานเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติ เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 12 ประการ
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า สิ่งที่ตนเองมุ่งหวัง และคาดจะให้เห็นผลใน 1 ปี คือ เรื่องการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการปฏิบัติงานจะสานต่อนโยบายเดิม ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำกับผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ จะต้องดูแลสถานการณ์ให้ได้ และสถานการณ์ต้องดีขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานราชการ ที่จะทำให้เกิดความชัดเจน และกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองให้ได้ อีกทั้งถ้าสถานการณ์ในภาคใต้ดีขึ้น อาจจะมีการปรับลดกำลังพล จากกองทัพภาคอื่นๆ โดยจะให้กองทัพภาคที่ 4 สามารถควบคุมการปฏิบัติงานเองได้
อย่างไรก็ตาม ทางนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ภายใน 1 ปี ต้องเห็นผลชัดเจน ซึ่งตนจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่า 1 ปี ต้องควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ให้ได้ และต้องลดสถิติการก่อเหตุด้านความมั่นคง ซึ่งทั้ง 2 อย่างต้องทำให้ได้ 50% ถึงจะเรียกว่า สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม
พล.อ.อุดมเดช ยังกล่าวถึงการรักษาความสงบภายในประเทศ ว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ประชาชนทุกภาคส่วนต้องช่วยกันในการดูแลสถานการณ์ให้ดีขึ้น และสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ความร่วมมือจากผู้ที่มีความเห็นต่าง ต้องร่วมมือกัน เพื่อนำพาสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามกรอบของรัฐบาลได้วางไว้ คือ การปฏิรูป ด้วยการให้ผู้ที่เห็นต่างเสนอความเห็นว่า จะปฏิรูปประเทศอย่างไร
ทั้งนี้ ตนย้ำว่าสิ่งใดที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้อง ตนได้สั่งการกำชับให้เจ้าหน้าที่กองทัพต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ และจะไม่ปล่อยปะละเลยในเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นตนขอฝากไปยังกลุ่มผู้ที่เห็นต่าง ที่ยังไม่เข้าใจรัฐบาล ขอให้โอกาส และให้ทำความเข้าใจ แล้วเข้ามาพูดกัน ไม่ใช่ไปเคลื่อนไหว จนทำให้เกิดมวลชนที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย
" สิ่งหนึ่งที่ได้เน้นย้ำ คือ สถาบันกษัตริย์ อันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจทหารทุกคน ซึ่งจะต้องเทิดทูน และปกป้อง ไม่ให้ผู้ไม่หวังดี มาทำให้เกิดความเสียหาย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่คู่กับประเทศไทย ที่ดูแลประชาชน และแผ่นดินไทยมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น เราเป็นทหารต้องมีหน้าที่ดูแลโดยตรง ต้องดูแลปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้" พล.อ.อุดมเดช กล่าว
สำหรับการประชุม นขต.ทบ.ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ พล.อ.อุดมเดช ในฐานะ ผบ.ทบ. เพื่อมอบนโยบายหลัก 12 ข้อ ประกอบด้วย 1. จัดสวัสดิการกำลังพล 2. ฝึกศึกษาด้านการทหาร 3. การพัฒนาจัดระบบกองทัพบก 4. ด้านการข่าว 5. อุปกรณ์ยุทโธปกรณ์ 6.การป้องกันชายแดน 7. การรักษาความสงบและความมั่นคงภายใน 8. การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ 9. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน 10. การปกป้องสถาบันฯ 11. การขยายผลโครงการตามพระราชดำริ 12. การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมทั้งเพื่อให้กองทัพมีประสิทธิภาพ และพัฒนากองทัพอย่างยั่งยืน นำไปสู่ผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม นโยบายหลัก คือ ภารกิจการปกป้องอธิปไตย ดูแลชายแดนให้สงบสุข ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการพิทักษ์เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งเผยแพร่ น้อมนำพระราชดำริ มาเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต และปฏิบัติตามนโยบายของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลให้เกิดความมั่นคง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุม พล.อ.ฉัตรชัย เป็นตัวแทนผู้บังคับบัญชาระดับสูง และผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ได้มอบดอกไม้ เพื่อแสดงความยินดีกับ พล.อ.อุดมเดช ที่มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. โดย พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า กองทัพบกพร้อมทำงานสนองตอบนโยบาย ผบ.ทบ. เพื่อให้กองทัพบกมีความก้าวหน้า และเพื่อดำรงไว้ซึ่ง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน
ทั้งนี้ พล.อ.อุดมเดช กล่าวตอนหนึ่งก่อนการประชุมว่า ขอให้กำลังพลทุกคน ใช้โอกาสหลังการประชุมเสร็จทยอยเดินทางไปถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงพระประชวร ที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี
ต่อมาเวลา 12.30 น. พล.อ.อุดมเดช ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เป็นการพบปะหารือกัน เพื่อชี้แจงนโยบาย และเน้นย้ำในฐานะที่เข้ามารับหน้าที่ เป็นผบ.ทบ. โดยมีคติพจน์การทำงาน คือ “ร่วมใจ ริเริ่ม จริงจัง เพื่อชาติ และราชบัลลังก์” ฉะนั้นกองทัพบกต้องปฏิบัติงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งในปี 2558 เป็นปีแห่งการปฏิบัติงานของกองทัพบก ที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และเป็นรูปธรรมทุกด้าน โดยสอดรับกับแนวทางการปฏิบัติงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อดีต ผบ.ทบ. ได้กำหนดไว้
ทั้งนี้ ลักษณะงานของตนจะมี 2 แบบ คือ 1. การตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและ คสช. และตอบสนองนโยบายของผู้บังคับบัญชาในแต่ละลำดับชั้น รวมถึงการปฏิบัติตามแผนงานต่างๆ ของกองทัพบก 2. การกำหนดงานเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติ เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 12 ประการ
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า สิ่งที่ตนเองมุ่งหวัง และคาดจะให้เห็นผลใน 1 ปี คือ เรื่องการแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการปฏิบัติงานจะสานต่อนโยบายเดิม ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำกับผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ จะต้องดูแลสถานการณ์ให้ได้ และสถานการณ์ต้องดีขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานราชการ ที่จะทำให้เกิดความชัดเจน และกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองให้ได้ อีกทั้งถ้าสถานการณ์ในภาคใต้ดีขึ้น อาจจะมีการปรับลดกำลังพล จากกองทัพภาคอื่นๆ โดยจะให้กองทัพภาคที่ 4 สามารถควบคุมการปฏิบัติงานเองได้
อย่างไรก็ตาม ทางนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ภายใน 1 ปี ต้องเห็นผลชัดเจน ซึ่งตนจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่า 1 ปี ต้องควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ให้ได้ และต้องลดสถิติการก่อเหตุด้านความมั่นคง ซึ่งทั้ง 2 อย่างต้องทำให้ได้ 50% ถึงจะเรียกว่า สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม
พล.อ.อุดมเดช ยังกล่าวถึงการรักษาความสงบภายในประเทศ ว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ประชาชนทุกภาคส่วนต้องช่วยกันในการดูแลสถานการณ์ให้ดีขึ้น และสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ความร่วมมือจากผู้ที่มีความเห็นต่าง ต้องร่วมมือกัน เพื่อนำพาสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามกรอบของรัฐบาลได้วางไว้ คือ การปฏิรูป ด้วยการให้ผู้ที่เห็นต่างเสนอความเห็นว่า จะปฏิรูปประเทศอย่างไร
ทั้งนี้ ตนย้ำว่าสิ่งใดที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้อง ตนได้สั่งการกำชับให้เจ้าหน้าที่กองทัพต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ และจะไม่ปล่อยปะละเลยในเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นตนขอฝากไปยังกลุ่มผู้ที่เห็นต่าง ที่ยังไม่เข้าใจรัฐบาล ขอให้โอกาส และให้ทำความเข้าใจ แล้วเข้ามาพูดกัน ไม่ใช่ไปเคลื่อนไหว จนทำให้เกิดมวลชนที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย
" สิ่งหนึ่งที่ได้เน้นย้ำ คือ สถาบันกษัตริย์ อันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจทหารทุกคน ซึ่งจะต้องเทิดทูน และปกป้อง ไม่ให้ผู้ไม่หวังดี มาทำให้เกิดความเสียหาย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่คู่กับประเทศไทย ที่ดูแลประชาชน และแผ่นดินไทยมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น เราเป็นทหารต้องมีหน้าที่ดูแลโดยตรง ต้องดูแลปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้" พล.อ.อุดมเดช กล่าว