จากทนายความสาวไฟแรง ฉลาด สวย แถมรวยเสน่ห์ปลายจวัก ยอมทิ้งหน้าที่การงานมั่นคงมาลงก้นครัวเปิดขายขนมคัพเค้กและรับจัด Catering Online ด้วยความหลงใหลในการทำอาหาร ขยับขยายกลายเป็นเจ้าของร้านสุดน่ารัก ‘รดี คาเฟ่’ ด้วยเพียงเหตุผลที่ว่า เพราะชีวิตมีแค่ครั้งเดียว!
สาวผู้หลงรักงานครัว
จากความชื่นชอบในการทำอาหารและขนมมาตั้งแต่อายุ 16 ปี จนวันนี้ประสบผลสำเร็จ กลายเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้เธอในทุกวันนี้ หนึ่งเรื่องราวดีๆ ของเชฟคนสวย “ฟิน-สุภวดี ศิวพรพิทักษ์” ที่จะช่วยยืนยันว่าในชีวิตคนเราถ้าทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำ ผลตอบแทนที่ได้มามันเกินคำว่าคุ้มไปอีกหลายเท่าตัว
เบื้องหน้าคือแขกคนสำคัญของทีมงาน Feel Good เชฟสาวคนสำคัญแห่งร้านคัพเค้ก ‘รดีคาเฟ่’ สาวน้อยที่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองรักอย่างหมดใจ คลี่ยิ้มบางก่อนย้อนหวนไปในอดีตที่แสนหอมหวาน
“ฟินเริ่มมาฝึกทำเบเกอรี่ตอนม.ปลายเลยค่ะ ชอบทำขนม ทำอาหารตั้งแต่ตอนวัยรุ่น เราก็จะใช้เวลาว่าง อยู่ในครัวทดลองทำสูตรขนมสูตรอาหาร แล้วฟินก็จะเป็นคนชอบอ่านหนังสือด้วย ก็เลยจะชอบซื้อหนังสือคุ้กบุ๊กมาอ่านแล้วก็ทดลองทำตาม
ขนมชิ้นแรกของฟินเนี่ยน่าจะเป็นชิ้นแรกของทุกคนด้วยล่ะมั้ง (หัวเราะ) ต้องหัดทำบลูเบอรี่ชีสพาย เพราะมันไม่ต้องอบ ก็แค่บดบิสกิตลงไป ทำครีมชีสแล้วก็ราดท็อปด้วยซอสบลูเบอรี่ คือคนที่เพิ่งหัดทำเบเกอรี่ยังไม่มีเตาอบก็สามารถทำเมนูนี้ได้ แต่ต่อมาเราก็จะเริ่มแอดวานซ์ขึ้นหน่อย มีเครื่องตีครีม มีเตาอบแล้ว ก็จะเป็นเค้กช็อกโกแลต แต่ถ้าถามว่าสองเมนูนี้ทำให้อร่อย ฟินว่ายากนะคะ มันดูเหมือนทำง่ายนะ แต่ทำยังไงให้อร่อยแตกต่างจากคนอื่นเนี่ยยาก ฟินก็พยายามฝึกทำเรื่อยๆ”
การทำอาหารหรือทำขนม หลายคนมองว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ใส่ส่วนผสมลงไปเคล้าให้เข้ากันทำตามวิธีแล้วสำเร็จ แต่ตัวเชฟสาวก็โอดเบาๆ ว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่หลายคนคิด เพราะต้องใช้ทั้งฝีมือและความแม่นยำอีกด้วย หากพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจจะได้รสชาติกลืนไม่ลง
“ถ้าพูดถึงการทำขนมมันจะเหมือนศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ คือต้องใช้ความแม่นยำและเทคนิคที่ถูกกับตัวขนมนั้นๆ ฉะนั้น การขึ้นรูปเค้กเนี่ย ถ้าคนที่ไม่เคยได้ลองทำมาก่อน ไม่เคยได้เรียนรู้ ก็อาจจะเกิดปัญหาเค้กไม่ขึ้นฟูหรือว่าไหม้ หรือว่าเนื้อเค้กไม่เนียน มันก็ต้องฝึกไปเรื่อยๆ
ต้องบอกว่าการทำขนมไม่ใช่ทำออกมาทุกครั้งแล้วมันจะดี จะอร่อยนะคะ เพราะฉะนั้นในการทดลองทำมันก็มีทิ้งด้วย ฟินก็จะแจกให้ชิมตั้งแต่คุณพ่อ-คุณแม่ เพื่อน น้อง แม้ กระทั่งหมาก็ได้ชิมหมดเลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกๆ ถ้าทำเหลือมากๆ ฟินก็จะเอาไปแจกเด็กค่ะ คือมันก็ไม่ได้แย่ขนาดกินไม่ได้นะคะ แต่มันแค่ยังไม่ใช่รสชาติที่เราต้องการ ฟินก็จะเอาไปแจกให้เด็กๆ ตามสี่แยก เอาใส่รถไปเลยเป็นกล่องๆ”
ถึงจะยากแต่มีหรือที่สาวน้อยคนนี้จะยอมแพ้ เธอจึงเพียรพยามยามหมั่นฝึกปรือฝีมือไปจนกระทั่งสามารถคิดสูตรขนมเป็นของตัวเอง
“มันขึ้นอยู่กับใจรักมากกว่าค่ะ จริงๆ แล้วทุกคนอาจจะมีความรักในกิจกรรมหรือสิ่งของที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่เค้าเพิ่งเริ่มทำแล้วอาจรู้สึกไม่ใช่ ไม่ชอบ ทิ้งไปเลย ก็อาจแปลได้ว่าเค้าไม่ได้ชอบจริงๆ หรือมีสิ่งที่เค้าชอบมากกว่า แต่ของตัวฟินเอง พอฟินได้ทำ ถึงแม้มันจะเสีย ใช้ไม่ได้ ฟินก็ยังอยากทำต่อเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการปลูกเมล็ดพืชที่ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น ฝีมือเราก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ดี แต่ว่าเราก็นำเอาความผิดพลาดในครั้งนี้ไปแก้ไขในครั้งต่อไป พอเราทำมันได้ดีแล้ว เราจะพัฒนาไปทำในสูตรของตัวเอง ปรับนู่น เพิ่มนี่ คือถ้าเบสิคแน่นแล้ว เราก็สามารถครีเอตสูตรของตัวเองได้”
นอกจากบทบาทการเป็นเชฟและเจ้าของกิจการร้านเบเกอรี่แล้ว หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเธอจากการเป็นพิธีกรสาวรายการครัวอินดี้ทางช่อง 5 ซึ่งเธอแอบอมยิ้มและยอมรับกลายๆ ว่า การทำงานพิธีกรยังไม่ดีเท่ากับการทำอาหาร เพราะจุดอ่อนของตัวเองคือไม่ได้พูดเก่งมาก เอ็นเตอร์เทนไม่เป็น ไม่มีพรสวรรค์ในด้านการนำเสนอ แต่ก็พยายามหาจุดเด่นของตัวเองเพื่อให้ผู้ชมประทับใจและสนุกร่วมไปกับเธอ
พลิกชีวิตด้วยมือตัวเอง
เปลี่ยนความคิดไปได้เลย หากกำลังมองว่าชีวิตของเธอก็ดูราบเรียบสำเร็จโดยง่ายดาย เพราะทีเด็ดอยู่ตรงที่เชฟสาวยอมละทิ้งบทบาททนายความสาวตามที่เธอเรียนมา ก่อนเบนเข็มเข้าสู่การทำธุรกิจเบเกอรี่ที่เธอรักอย่างจริงจัง โดยเริ่มแรกเธอพยายามทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักของคนรักขนมด้วยการทำคลิปสอนทำขนมทางยูทิวบ์ก่อน
“คุณพ่ออยากให้ทำงานด้านกฎหมายค่ะ พอเรียนจบจากนิติศาสตร์มา ฟินก็เป็นทนายอยู่ประมาณสองปี แต่พอมาถึงจุดๆ นึง เรามีประสบการณ์แล้ว เราก็รู้ว่า ‘ฉันมีชีวิตเดียว ต้องทำสิ่งที่ตัวเองชอบ’ ฉะนั้น ก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามาเป็นนักธุรกิจทางด้านอาหารเต็มตัวละ ตอนนั้นก็กำลังเรียนโทด้านธุรกิจไปด้วย แล้วก็ทำพาร์ทไทม์ด้านกฎหมาย ตอนนั้นก็พยายามบิ้วต์ตัวเองด้วยการมาสอนทำอาหารในเฟซบุ๊ก ทำให้มีคนรู้จักเรามากขึ้น ตั้งชื่อว่า Finny The Chef คอนเซปต์คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำอาหารด้วยใจรัก โดยมีสโลแกนว่า ทำอาหาร ทำขนม ทำด้วยใจ อร่อยแน่นอน
ในรายการเราก็พยายามจะบอกคนดูว่า การทำอาหาร การทำขนมเป็นสิ่งที่สนุกนะ ไม่จำเป็นต้องไปเรียนกับโรงเรียนสอนอาหารชื่อดัง คุณก็ทำได้ คือทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง จากการลองทำ ลองผิด ลองถูก แล้วก็ใส่ใจรักลงไป ฟินก็สอนไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ มันก็คือหลักมาร์เก็ตติ้งอย่างหนึ่ง คนที่เค้าเลือกซื้อของ ต่อให้ของชิ้นนั้นดีแค่ไหน อร่อยขั้นเทพขนาดไหน แต่ถ้าคุณทำการตลาดไม่ดี คนไม่รู้จักมัน มันก็ขายไม่ออกถูกมั้ยคะ
ฟินเลยต้องวางแผนให้คนรู้จักเราก่อน แล้วมีความรู้สึกว่าอยากกินขนมที่เราทำ เลยมาทำคลิปสอนทำอาหารเพื่อให้คนรู้จักเรามากขึ้น พอมันถึงเวลาก็มาเปิดเป็นร้าน Radi เนี่ยแหละค่ะ เพราะฉะนั้น ตอนเริ่มเปิด Radi มา มันก็ไม่ใช่ว่าเริ่มจากศูนย์ แต่เรามีฐานลูกค้าจากคนที่มาติดตามเราเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในหกเดือนแรกก็เลยได้ยอดแล้วก็การตอบรับที่ดี”
เริ่มธุรกิจ คิดรอบคอบ
นอกจากพรสวรรค์ในด้านการทำขนม เชฟฟินยังมีพรแสวงในด้านการทำธุรกิจอีกด้วย จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะต้องทึ่งกับวิธีคิดของเธอที่เลือกจะพลิกชีวิตด้วยสองมือของตัวเองอย่างไม่กลัวอุปสรรคใดๆ แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงคิดแต่จะมุ่งไปข้างหน้า เพราะเธอมีวิธีการวางกลยุทธ์ปูทางอนาคตธุรกิจอย่างแยบคาย
“ฟินมองว่าถ้าเราอยากทำตามฝัน ต้องไม่ทำแบบกัดก้อนเกลือกิน ฟินคิดเลยว่าถ้าจะย้ายตัวเองมาทำงานในธุรกิจนี้ ฟินต้องได้ไม่น้อยกว่าสิ่งที่เราเคยได้ทำมา ฉะนั้น ต้องวางแผนธุรกิจไว้ ว่าเราจะเอาเงินลงทุนไปทำอะไร ลงทุนไปแล้วจะได้กลับมาเท่าไหร่
หลักคิดในการทำธุรกิจของฟินคือลงทุนในส่วนที่สำคัญก่อน ฉะนั้น ถ้ามีเงินทุนแค่ก้อนเล็กๆ ฟินก็จะยังไม่เปิดร้าน เพราะการเปิดร้านมันจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการเช่าพื้นที่ ดังนั้นก็เลยมองว่างั้นเริ่มจับจากขายออนไลน์ก่อนดีกว่า ฟินก็เลยนำเงินก้อนแรกมาซื้อวัตถุดิบในการทำขนมก่อน โดยตอนแรกที่เปิดเนี่ย ฟินเปิดเป็น Catering&Bakery คือทำขนมขายส่งออนไลน์แล้วก็รับจัดทำ Catering ด้วย ซึ่งการที่เรายังไม่ลงทุนเรื่องหน้าร้าน ทำให้เรามีอุปกรณ์เยอะกว่าธุรกิจร้านทำขนมธรรมดา”
จากการวางแผนอย่างรอบคอบไม่ผลีผลามก้าวกระโดด จึงทำให้กิจการของเชฟฟินขยายไปแล้วกว่าถึงสี่สาขา รวมถึงยังกระซิบฝากมาอีกด้วยว่าตอนนี้กำลังขยับขยายในเรื่องของร้านกาแฟที่จะใช้เมล็ดปลูกเองในไร่ของคุณพ่อ รวมไปถึงส่งน้องชายเทรนงานมาเพื่อเป็นบาริสต้าเสิร์ฟกาแฟโดยเฉพาะ
“ตอนแรกฟินมีอุปกรณ์สำหรับจัด Catering ได้สำหรับแขกห้าสิบชุด แล้วก็มาทำครัวให้เหมาะกับการประกอบกิจการมากขึ้น ทีนี้พอขายไปได้หกเดือนทำให้เราเกิดเงินทุนอีกก้อนที่สามารถทำให้เรามาเปิดสาขาแรกได้ คือสาขาทองหล่อ ในส่วนของ Catering เองก็สามารถเสิร์ฟคนได้มากขึ้น โดยร้านของฟิน Radi Cafe delivery & Catering ก็จะมีอยู่ สามพาร์ทใหญ่ๆ จนปัจจุบันขึ้นปีที่สามแล้ว เราก็ได้ขยายออกไปทั้งหมด 3 สาขา ทองหล่อ 11 ซึ่งเป็นสาขาแรก สาขาที่สองอยู่ที่ห้างเอ็มโพเรียมชั้น 5 แล้วก็สาขาที่สามอยู่ที่ห้างสยามพารากอน ชั้น G ส่วนในเดือนพฤศจิกายนนี้ฟินมีแพลนอีกสาขาหนึ่งเป็นสาขาที่สี่ ห้างเซ็นทรัลชิดลมค่ะ
“คัพเค้ก” พระเอกเบอร์หนึ่ง
ขนมของร้าน ‘รดี คาเฟ่’ เป็นที่น่าจดจำและขึ้นชื่อที่สุดคงต้องยกให้ ‘คัพเค้ก’ ไซส์พอดีคำ มีให้เลือกลิ้มชิมรสถึง 20 รสชาติ และมีสไตล์การแต่งหน้าเป็นเอกลักษณ์ในคอนเซปต์ Less is more. เรียบหรูไม่ฉูดฉาดจนเลอะเทอะ
“การเลือกคัพเค้กมาเป็นจุดขายเนี่ย ต้องบอกก่อนว่า การทำอาหารมันทำได้หลายแบบ แต่ในการที่คุณจะนำเสนอลูกค้า คุณจะทำให้ลูกค้าจดจำคุณได้มันก็เหมือนกับหนังเรื่องนึงที่ต้องมีตัวเอก มีพระเอก มีนางเอก ฉะนั้น ฟินเลยเลือกคัพเค้กเป็นตัวพระเอก เพราะช่วงที่ฟินเรียนจบโทแล้วไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอนนั้นคัพเค้กดังมาก ฟินเลยมองว่าอะไรที่ดังที่นั่นเดี๋ยวก็มาดังที่ไทย พอกลับมาเลยเลือกเป็นคัพเค้กแล้วกัน
ขนมคัพเค้กมันเป็นขนมที่มีเสน่ห์นะ มันจะไม่ได้เหมือนเค้กปกติ มันจะมีความน่ารักกิ๊บเก๋แล้วก็ใส่ลูกเล่นได้เยอะ แล้วตอนนั้นคนที่ทำคัพเค้กยังมีไม่เยอะ ส่วนมากก็จะชิ้นใหญ่ หนัก เนื้อแน่น ครีมเยอะ เลี่ยน ไม่อร่อย แต่ที่เมืองนอกเนี่ยเค้าจะเน้นที่เนื้อเค้กและรสชาติ หน้าตามาทีหลังเลย พอฟินกลับมาเลยปรับสูตรให้ถูกปากคนไทยแล้วก็ดันคัพเค้กให้เป็นพระเอกของร้านเรา ตั้งชื่อว่า Fairy Cupcake
ข้อเด่นๆ ของ Fairy Cupcake จะมีอยู่สามอย่าง หนึ่ง-เรื่องของไซส์ คนไทยจะไม่ได้กินขนมชิ้นใหญ่เท่าฝรั่ง จะอยากกินแค่พอหอมปากหอมคอ คัพเค้กเราเลยเป็นขนาดฮาล์ฟไซส์ ลดขนาดมาครึ่งนึง อย่างผู้หญิงที่ควบคุมน้ำหนักอาจจะไม่อยากทานเยอะ อีกอย่างคือคนไทยชอบแชร์กัน ซื้อมาหลายๆ ชิ้นรวมกัน ก็จะตอบโจทย์ในด้านนี้ ส่วนที่สองจะเป็นเรื่องของเนื้อเค้ก จะใช้เนื้อเค้กแบบญี่ปุ่น เพราะคนไทยชอบเค้กเนื้อนุ่มมากกว่าเหนียวหนัก ฟินเลยเลือกใช้เค้กเนื้อเบา ส่วนที่สามเป็นเรื่องของหน้า บางคนไม่ชอบกินครีมแต่งหน้าเค้กเลย เราก็เปลี่ยนเลย คนไทยชอบอะไรนะ ก็เลยเลือกเป็นครีมชีสที่ไม่เลี่ยนจนเกินไปค่ะ”
นอกไปจากคัพเค้กที่เป็นตัวชูโรง เชฟสาวคนเดิมยังกล่าวว่า ยังมีขนมอื่นๆ ที่เธอคิดเอง ดีไซน์เองจากแรงบันดาลใจ และด้วยพื้นฐานนิสัยที่เป็นคนชอบนำเทรนด์ จึงพยายามพัฒนาขนมในร้านให้ล้ำหน้ากว่าร้านอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา
“จริงๆ ทุกสูตรเป็นสูตรที่ฟินคิดเองหมดเลย อย่างที่บอกว่าสะสมประสบการณ์จากการทำเค้กมานานแล้ว พอทำได้ดีก็มาลองทำสูตรของตัวเอง ก็เลยเอาสูตรทุกอย่างที่เราเคยทดลองมาเอามาทำเป็นคัพเค้ก แต่ว่าแต่ละตัวก็ต้องมาทดลองอีกว่าเนื้อเค้กกับหน้าครีมมันรสชาติลงตัวกันดีมั้ยเป็นยังไงซึ่งแต่ละสูตรก็ใช้เวลาทำเยอะเหมือนกันกว่าจะได้หนึ่งรสชาติ
อย่างล่าสุดจะมี Push Up Cake Pop จะเป็นอีกเวอร์ชันนึงของเค้กป็อปแต่ว่าเราจะเอาไม้ไอศกรีมมาใส่เพิ่มเข้าไป ก็จะเป็นคัพเค้กชิ้นเล็กสลับกับครีม แล้วก็ผลไม้สดต่างๆ ตอนนี้ก็จะมีอยู่สามรสชาติ สตอเบอร์รี่ช็อตเค้ก, บานอฟฟี่ และเรนโบว์ นอกจากนั้นก็ยังมีมากาฮองเป็นสมาชิกใหม่ของเรา ความพิเศษของมากาฮองเนี่ยเราจะแต่งหน้าด้วยการเพ้นท์คาแรกเตอร์การ์ตูนเก๋ๆ ลงไป นอกจากนี้ ร้านเราจะมีอะไรแปลกๆ มาให้ลูกค้าได้ลองลิ้มชิมรสอยู่เสมอ อย่างล่าสุดเป็นไอศกรีมคัพเค้ก คัพเค้กผ่าครึ่งแล้วนำไอศกรีมมาใส่ตรงกลาง”
สุขที่สุดคือการทำขนม
“ถ้าสมมติคนๆ นึงได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ มันจะรู้สึกเลยว่าเนี่ยแหละใช่ เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งๆ นี้ แล้วเวลาคุณตื่นมา คุณจะไม่ได้รู้สึกเหมือนตื่นมาทำงาน คุณจะรู้สึกเหมือนตื่นมาเพื่อพบความสนุกได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วบางทีก็สามารถใช้หาเลี้ยงชีพได้ด้วยการทำสิ่งที่ชอบ”
คำอธิบายที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเชฟสาวคนเดิมต่อหน้าที่การเป็นเชฟสาวคนเก่งได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก แถมยังสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ถึงแม้ในตอนแรกจะถูกครหาว่าเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงต่างจากการเป็นทนายความ แต่เธอก็สามารถพิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นว่า สิ่งที่เธอเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“คนเรามีชีวิตเดียว ควรได้ทำในสิ่งที่รัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าการจะค้นหาในสิ่งที่ตัวเองรัก มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนอาจจะเจอแล้ว บางคนอาจจะไม่เจอ อย่างฟินเองก็เคยมีคนมาปรึกษานะ อยากตามฝันบ้าง ต้องทำยังไงดี ฟินก็บอกว่าให้ทดลองไปเรื่อยๆ ชีวิตเรามีเวลาให้ใช้เยอะมาก แล้วถ้าคุณชอบทำอะไร คุณลองหาเงินจากมันให้ได้ อย่างถ้าคุณชอบวาดรูป คุณก็ลองไปรับจ้างวาดรูปดูสิ แล้วถ้าคุณรู้สึกว่ามันเหนื่อยแต่คุณยังสู้อยู่เพื่อเงินอันน้อยนิด แสดงว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่คุณรักและชอบจริงๆ แต่ถ้าคุณทำไปแล้วรู้สึกไม่คุ้มเหนื่อย อันนี้ก็ต้องลองค้นหากันต่อไปค่ะ” เชฟสาวทิ้งท้าย
นอกจากปรุงขนมให้อร่อยแล้ว ปรุงชีวิตออกมาให้อร่อยคือความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งของเชฟสาวคนนี้...
เรื่องโดย ทีมข่าว Feel Good
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี