xs
xsm
sm
md
lg

เพรียวพันธ์จ๋อยศาลปค.การันตี "มาร์ค"ชงก.ต.ช. ตั้งวิเชียรผบ.ตร.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (1ต.ค.) ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร.) ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ( ก.ตร.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 กรณีขอให้เพิกถอนมติ ก.ต.ช. เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 53 ที่เห็นชอบให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยเหตุเกิดในสมัยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ศาลเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ในขณะนั้น ได้เกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 52 นายกฯ ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 211/2552 ลงวันที่ 29 ก.ย. 52 สั่งให้ พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจ ซึ่งมีอาวุโส ลำดับ 2 เป็นผู้รักษาราชการแทน ในตำแหน่งผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 52 ซึ่งพล.ต.อ.ประทีป จะครบกำหนดเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. 53
ต่อมาในการประชุม ของก.ต.ช. เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 53 นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานก.ต.ช.ได้คัดเลือกรายชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ขณะนั้นเพียงรายชื่อเดียว แล้วเสนอให้ก.ต.ช.เพื่อพิจารณาเห็นชอบ โดยก.ต.ช.ก็มีมติเห็นชอบนั้น ซึ่งเมื่อพิจารณา พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ 2547 มาตรา 53(1) ประกอบมาตรา 44 (1) และ มาตรา 51 วรรคหนึ่ง( 1) ที่กำหนดให้นายกฯ ดำเนินการคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอกคนหนึ่ง เป็นลำดับแรก แล้วเสนอต่อก.ต.ช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เป็นการบัญญัติหลักการสำหรับการคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งไม่ได้บังคับว่านายกฯ จะต้องคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอก จำนวนกี่ราย หรือมากกว่าหนึ่งราย เพื่อเสนอต่อก.ต.ช.ให้พิจารณา แม้ว่ามาตรา 18 วรรคหนึ่ง (3) จะบัญญัติให้ ก.ต.ช. มีอำนาจหน้าที่พิจารณาดำเนินการ โดยใช้คำว่า “คัดเลือก”ข้าราชการตำรวจเพื่อดำเนินการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ตามที่นายกฯเสนอ โดยมิได้ใช้คำว่า “ให้ความเห็นชอบ” ก็ตาม แต่ก็มิได้บัญญัติให้มีผลบังคับไปถึงนายกฯ จะต้องคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอก มากกว่าหนึ่งราย เพื่อเสนอต่อ ก.ต.ช.ให้พิจารณาดำเนินการ
จึงเป็นการชัดเจนว่า บทบัญญัติกฎหมายมีเจตนารมณ์ให้นายกฯ มีอำนาจใช้ดุลพินิจในการคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจ ยศพลตำรวจเอก เพียงรายเดียว เพื่อเสนอให้ก.ต.ช. พิจารณาให้ความเห็นชอบ หรือดำเนินการคัดเลือก ซึ่งก.ต.ช. ก็มีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจในการมีมติเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ ในรายชื่อข้าราชตำรวจ ยศพลตำรวจเอกรายเดียวที่มีการเสนอมานั้นได้เช่นกัน
ดังนั้นที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อ้างว่า การที่นายกฯ เสนอชื่อพล.ต.อ.วิเชียร ต่อ ก.ต.ช.ให้พิจารณาเพียงรายชื่อเดียว ไม่ใช่เป็นการคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจเพื่อให้ ก.ต.ช.พิจารณาดำเนินการคัดเลือกข้าราชการ ตำรวจ เพื่อดำเนินการอนุมัติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่เป็นการเสนอให้ก.ต.ช. อนุมัติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. อันเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ต้องการให้ที่ประชุม ก.ต.ช.ได้มีดุลยพินิจเลือกบุคคลที่เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่อาจรับฟังได้
ส่วนที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อ้างว่า การที่นายกฯ เสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร เพียงรายชื่อเดียว นอกจากไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ยังขัดต่อธรรมเนียมปฎิบัติ ใช้อำนาจแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โดยมีเจตนาไม่สุจริต กลั่นแกล้ง ไม่เป็นกลาง กระทำการตามอำเภอใจ ไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ ใช้ความรู้สึกพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจส่วนตัว อันเนื่องมาจากปัญหาทางการเมืองมาปิดกั้นความเจริญเติบโตในหน้าที่การงานของตน ใช้สถานะตำแหน่งนายกฯ เข้ามาก้าวก่าย แทรกแซงการแต่งตั้ง เพื่อประโยชน์ของตนหรือผู้อื่น ทั้งทางตรงทางอ้อม เข้าข่ายขัด มาตรา 30 มาตรา 31 มาตรา 279 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 266 มาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญ 50 เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดกรอบการใช้ดุลพินิจของนายกฯ ไว้เป็นหลักการอย่างกว้างๆ โดยมิได้กำหนดกรอบการใช้ดุลยพินิจของนายกฯไว้โดยตรง ซึ่งจากการให้การของผู้ถูกฟ้องทั้ง 3 ถึงการประชุมก.ต.ช. วันที่ 9 ส.ค. 53 ฝ่ายเลขานุการของก.ต.ช. ได้มีการเตรียมข้อมูลประวัติการทำงานของข้าราชการตำรวจผู้มียศพลตำรวจเอกทุกคน รวมทั้งยังเชิญกองทะเบียนพล สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งรับผิดชอบข้อมูล ประวัติบุคคล การแต่งตั้งความดีความชอบ ของข้าราชการตำรวจทุกคนมาเตรียมพร้อมไว้ หากจะให้มีการชี้แจง โดยปรากฏหลักฐานว่า ในที่ประชุมมีการซักถามว่ามีการตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย หรือไม่ และลำดับอาวุโสระหว่าง พล.ต.อ.วิเชียร กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอย่างไร ซึ่ง พล.ต.ต.ชัยยง กีรติขจร รอง ผบ.สำนักงานกำลังพลฯขณะนั้น ระบุว่า วินัยไม่มี และเบื้องต้นพิจารณาแล้วว่า พล.ต.อ.วิเชียร เป็นผู้มีอาวุโส ลำดับที่หนึ่ง แต่มีกรณีโต้แย้งขณะนี้ อยู่ในการพิจารณาของ ก.ตร. จึงเห็นว่า การเสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร ของนายกฯ ต่อกตช. เพียงรายชื่อเดียว นายกฯได้พิจารณาโดยคำนึงถึงความอาวุโส ประวัติราชการ และเรื่องวินัยแล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าการที่นายกฯ เสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร เพียงรายชื่อเดียวต่อก.ต.ช. โดยไม่คัดเลือกรายชื่อพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เพื่อเสนอต่อ ก.ต.ช. เป็นการใช้สถานะนายกฯ เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง มีเจตนา ไม่สุจริต กลั่นแกล้ง ไม่เป็นกลาง แต่เป็นการใช้ดุลยพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
รวมทั้งยังมีข้อเท็จจริงในอดีตก่อนหน้านั้นว่า มีถึง 4 ครั้ง ที่นายกฯ เคยเสนอรายชื่อข้าราชการตำรวจยศนายพลตำรวจเอกเพียงรายเดียวต่อก.ต.ช. เพื่อให้พิจารณาเห็นชอบแต่งตั้งเป็นผบ.ตร. ตามรายงานการประชุมก.ต.ช. ครั้งที่ 3/2547 ลงวันที่ 11 ส.ค. 47 ครั้งที่ 1 /2550 ลงวันที่ 7 มี.ค. 50 ครั้งที่ 3/2550 ลงวันที่ 11 เม.ย. 50 และครั้งที่ 3/2552 ลงวันที่ 20 ส.ค. 52 การกระทำของนายกฯ จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ข้ออ้างผู้ฟ้องฟังไม่ขึ้น
สำหรับที่อ้างว่า การประชุมก.ต.ช. วันที่ 9 ส.ค. 53 ที่นายกฯ เข้าร่วมประชุมและเสนอชื่อพล.ต.อ.วิเชียร รวมนายกฯ ร่วมพิจารณาให้ความเห็นชอบนั้น ขัดต่อหลักความเป็นกลางทำให้การประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า การที่นายกฯ เข้าร่วมประชุม ก.ต.ช. เป็นกรณีที่จำต้องเข้าร่วมประชุม ในฐานะประธานกรรมการโดยตำแหน่ง ที่ต้องเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองตามบทบัญญัติกฎหมาย อีกทั้งการเสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร ต่อก.ต.ช. ก็เพื่อให้ความเห็นชอบเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด นายกฯ จึงไม่ใช่คู่กรณีในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ และไม่อาจถือเป็นการใช้อำนาจ ในการพิจารณาทางปกครอง ซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ที่จะถือเป็นเหตุให้ ก.ต.ช.จะทำการพิจารณาให้ความเห็นชอบไม่ได้ การประชุม ก.ต.ช.ดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายหมายแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น