ฝูง “นกน้อยในไร่ส้ม” ได้มาพบกันที่ร้านกาแฟของ “แมคโดนัลด์” แถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยโดยบังเอิญ!
“นก” ฝูงนี้มีทั้ง นกกระจอกข่าว-พิราบข่าว-เหยี่ยวข่าว แต่โชคดีที่ไม่มี “นกกาคาบข่าว” และ “นกสองหัว” ที่ทำตัวลึกลับ จนมนุษย์เรียกคนบางประเภทที่น่ารังเกียจว่า “ไอ้นกสองหัว”
“นก” ทั้งฝูงจึงแปรร้านกาแฟ “ลุงแมคฯ” ให้กลายเป็น “สกฟชค.” หรือ “สภากาแฟชั่วคราว” ทันที!
หลังเมาท์กระจายเรื่องไร้สาระจนหนำใจ เหยี่ยวข่าวแก่งั่กหนวดเคราเฟิ้ม ใบหน้าเต็มไปริ้วรอยดุจแผนที่ประเทศไทย ซด “โอยัวะ” หรือ “กาแฟดำ” ที่วันนี้มีชื่อเรียกซะเก๋ว่า “อเมริกาโน่” อึกใหญ่ ก่อนจะยิงคำถามดุดันขึ้นมาว่า
“พวกมึงแฮปปี้กันได้ไงว่ะ กับการ “ขนขยะพิษไปซุกไว้ใต้พรม” แล้วห้ามพูดห้ามเขียนว่า “ขยะพิษ” ที่ร้ายแรงนี้ จะต้องถูก “ทำลาย” มิใช่ “ซุก” ไว้ เพราะพิษมหาประลัยนี้จะเป็นอันตรายสุดๆ กับชาติและคนไทยในอนาคต เฮ้อ!...วันนี้คนทำสื่อจะวิจารณ์วิเคราะห์เจาะลึก จะเขียนบทความสักชิ้น...แม่งยากฉิบหาย เพราะพูดและเขียนความจริงให้รอบด้านไม่ได้เลย...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นลายครามซด “มะกันโน่” อีกอึก ขณะที่นกน้อยในไร่ส้มต่างมองหน้ากันเลิกลั่กๆ
“..อึดอัดสิพี่...คนทั่วไปยังอึดอัดเลย คนมีอาชีพเกี่ยวกับข่าวอย่างพวกเรา ไม่อึดอัดก็บ้าแล้ว...จริงไหม? แต่พวกผมบางคนคลายความอึดอัดได้บ้าง ด้วยการยืนร้องเพลงหน้าทำเนียบฯ กับนายกฯ แล้วมโนว่า...อีกไม่...นานท่านผู้นำตู่จะคืนความสุขให้เธอ...ประชาชน... ส่วนอนาคต...ขยะจะแพร่พิษมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่ท่านผู้นำตู่ต้องรับผิดกับรับชอบเองว่ะพี่...”
กระจอกข่าวหากินแถวทำเนียบฯ เปิดความในใจกับเหยี่ยวข่าวอาวุโส ที่ปัจฉิมชีวิตจ่อมอยู่แต่ในสำนักงาน ก่อนที่พิราบหนุ่มจะพูดขึ้นว่า
“...ว่าไปแล้ว...มนุษย์ป้าเก๋าเกมข่าวที่ว่าแน่ ซึ่งเจอนายกฯ มาแล้วมากมาย ทั้งทหารและนักเลือกตั้ง แต่มนุษย์ป้าแกก็ยังไม่เคยเจอนายกฯ แบบนี้...จึงโดนเฉ่งปี๋เอา...”
“...เฮ้ย!...ปากเสีย! อย่าเรียกป้าให้เจ๊ได้ยินเชียว เจ๊ไม่ชอบให้ใครหน้าไหน แม้แต่นายกฯ มาดเข้มคนนี้ก็ไม่เว้น มาเที่ยวเรียกแกว่าป้านะโว้ย! ระวังเหอะ...แทนที่ลื้อจะโดนนายกฯ ทุ่มไอ้นั่นไอ้นี่ใส่ จะกลายเป็นเจ๊เแกทุ่มโพเดี้ยมใส่ลื้อ...”
กระจอกข่าวนายหนึ่งเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี ก่อนจะจ้อต่อเนื่องว่า...
“...แต่ป้า...เอ๊ย...เจ๊ก็แน่จริงๆ สมัยรัฐบาลเครือข่ายของคนแดนไกล เจ๊เอาแต่ “ชงหวาน-ชงลูก” ฝ่ายตรงข้ามให้รัฐบาลเครือข่ายเหลี่ยมตบลูกหน้าเน็ตอยู่ข้างเดียวตลอด ไม่ว่ารัฐบาลเก่าจะทำไม่ดีขนาดไหน เจ๊เธอไม่เคยอาละวาดต่อปากต่อคำสักแอ๊ะ แต่พอลุงตู่เป็นนายกฯ เท่านั้นแหละ เจ๊ยุเจ๊แยงเจ๊ลุยอุตลุดได้ถูกใจคนแดนไกลสุดๆ จนอยากประเคนถ้วยรางวัล “สื่อ” ในดวงใจเหลี่ยมให้เลยนะเนี่ย...”
เหยี่ยวข่าวอาวุโสมองหน้าน้องๆ ด้วยสีหน้าที่เข้าอกเข้าใจ...ก่อนจะเปรยดังๆ ขึ้นว่า...
“...อืม...เป็นนักข่าวยุคนี้ยากเหลือเกิน เจอนายกฯ สองบุคลิกแบบนี้ ต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ อารมณ์ท่านผันผวนเหมือนลมเพลมพัด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนมองไม่รู้ดูไม่ออกถึงตัวตนจริงๆ ของท่านผู้นำตู่”
พอเข้าโหมดการเมือง บรรยากาศเริ่มตึงเครียด จนความเงียบปกคลุม “สกฟชค.” ชั่วครู่ ก่อนกระจอกข่าววัยรุ่นจะตั้งคำถามขึ้นว่า
“..เอ้อ...วิธีการปรองดองเนี่ย จะทำให้เครือข่ายคนแดนไกลกลับมายึดอำนาจรัฐคืนได้อีกครั้งไหม...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าอดีตคู่แข่งตัวจริงของมนุษย์ป้า...เอ๊ย...เจ๊...จึงโชว์ความเก๋าทางปัญญาว่า
“...อนาคตชาติไทยจะดีจะเลว ชี้ขาดอยู่ที่ “ปฏิลูบ” หรือ “ปฏิรูป” และจะปฏิรูปกันจริงๆ อ๊ะป่าว? นายกฯ ตู่พยายามโยนการปฏิรูปให้ สปช. “รับหน้าเสื่อ” การตั้งสมาชิก สปช. จึงเป็นการ “นับหนึ่ง” ส่วนสมาชิก สปช.จะ “ยี้” หรือจะ “เยี่ยม” นั้นไม่สำคัญ ส่วนการ “นับสอง” จะสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเรื่องเนื้อหาของการปฏิรูปว่า จะนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติให้หยุดการโกง และการใช้เงินซื้อเสียงเข้าไปยึดอำนาจรัฐได้หรือไม่? จะหยุดบรรดานักการเมืองชั่วมิให้คอร์รัปชันโกงชาติได้หรือเปล่า?”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าฉายแววตามุ่งมั่น ก่อนจะสาธยายต่อว่า
“...นอกจากนั้นรายได้จากทรัพยากรของชาติ โดยเฉพาะรายได้จากแก๊สและน้ำมัน ชาติไทยจะยังคงใช้ระบบสัมปทานแบบเดิมที่รัฐมีรายได้ประมาณ 15-30% เท่านั้น ขณะที่หลายชาติในโลกใช้วิธีแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งทำรายได้เข้ารัฐมากกว่า 70-90% กันแล้ว หลายรัฐบาลในโลกจึงมีเงินรายได้จากพลังงาน มาลดราคาน้ำมันให้กับประชาชน โดยขายกันแค่ลิตรละ 20-30 บาทเท่านั้น ขอโทษ...นี่มิใช่เรื่องมโนไปเอง หรือเป็นวาทกรรมพล่อยๆ เพราะทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงนะยะ...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าพักหายใจชั่วแวบ...จึงถูกเหยี่ยวข่าวอาวุโสพูดแทรกขึ้นว่า
“...ที่ประเทศไทยขายแก๊สและน้ำมันให้คนไทยอย่างอยุติธรรม ดูสิ...อเมริกาซื้อน้ำมันจากไทย แถมต้องเสียค่าขนส่งไปอีกซีกโลกหนึ่ง แต่ปั๊มในมะกันขายน้ำมันราวลิตรละ 30 บาทเท่านั้น ขณะที่คนไทยซื้อน้ำมันราคาแพงลิ่วลิตรละเกือบ 50 บาท โดยพวกที่เกี่ยวข้องอ้างว่า เราต้องอิงราคาตลาดโลก ผมไม่เห็นรัฐบาลมะกันจะอ้างราคาตลาดโลกเลย หรืออเมริกากับไทยอยู่กันคนละโลกฟะ นี่เป็นเรื่องตลกทั้งน้ำตาจริงๆ...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าไม่มีอารมณ์ตลกด้วย เธอคำรามเสียงดุว่า “...ตลกแดกกันซึ่งๆหน้าน่ะสิ...!!”
“นก” ฝูงนี้มีทั้ง นกกระจอกข่าว-พิราบข่าว-เหยี่ยวข่าว แต่โชคดีที่ไม่มี “นกกาคาบข่าว” และ “นกสองหัว” ที่ทำตัวลึกลับ จนมนุษย์เรียกคนบางประเภทที่น่ารังเกียจว่า “ไอ้นกสองหัว”
“นก” ทั้งฝูงจึงแปรร้านกาแฟ “ลุงแมคฯ” ให้กลายเป็น “สกฟชค.” หรือ “สภากาแฟชั่วคราว” ทันที!
หลังเมาท์กระจายเรื่องไร้สาระจนหนำใจ เหยี่ยวข่าวแก่งั่กหนวดเคราเฟิ้ม ใบหน้าเต็มไปริ้วรอยดุจแผนที่ประเทศไทย ซด “โอยัวะ” หรือ “กาแฟดำ” ที่วันนี้มีชื่อเรียกซะเก๋ว่า “อเมริกาโน่” อึกใหญ่ ก่อนจะยิงคำถามดุดันขึ้นมาว่า
“พวกมึงแฮปปี้กันได้ไงว่ะ กับการ “ขนขยะพิษไปซุกไว้ใต้พรม” แล้วห้ามพูดห้ามเขียนว่า “ขยะพิษ” ที่ร้ายแรงนี้ จะต้องถูก “ทำลาย” มิใช่ “ซุก” ไว้ เพราะพิษมหาประลัยนี้จะเป็นอันตรายสุดๆ กับชาติและคนไทยในอนาคต เฮ้อ!...วันนี้คนทำสื่อจะวิจารณ์วิเคราะห์เจาะลึก จะเขียนบทความสักชิ้น...แม่งยากฉิบหาย เพราะพูดและเขียนความจริงให้รอบด้านไม่ได้เลย...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นลายครามซด “มะกันโน่” อีกอึก ขณะที่นกน้อยในไร่ส้มต่างมองหน้ากันเลิกลั่กๆ
“..อึดอัดสิพี่...คนทั่วไปยังอึดอัดเลย คนมีอาชีพเกี่ยวกับข่าวอย่างพวกเรา ไม่อึดอัดก็บ้าแล้ว...จริงไหม? แต่พวกผมบางคนคลายความอึดอัดได้บ้าง ด้วยการยืนร้องเพลงหน้าทำเนียบฯ กับนายกฯ แล้วมโนว่า...อีกไม่...นานท่านผู้นำตู่จะคืนความสุขให้เธอ...ประชาชน... ส่วนอนาคต...ขยะจะแพร่พิษมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่ท่านผู้นำตู่ต้องรับผิดกับรับชอบเองว่ะพี่...”
กระจอกข่าวหากินแถวทำเนียบฯ เปิดความในใจกับเหยี่ยวข่าวอาวุโส ที่ปัจฉิมชีวิตจ่อมอยู่แต่ในสำนักงาน ก่อนที่พิราบหนุ่มจะพูดขึ้นว่า
“...ว่าไปแล้ว...มนุษย์ป้าเก๋าเกมข่าวที่ว่าแน่ ซึ่งเจอนายกฯ มาแล้วมากมาย ทั้งทหารและนักเลือกตั้ง แต่มนุษย์ป้าแกก็ยังไม่เคยเจอนายกฯ แบบนี้...จึงโดนเฉ่งปี๋เอา...”
“...เฮ้ย!...ปากเสีย! อย่าเรียกป้าให้เจ๊ได้ยินเชียว เจ๊ไม่ชอบให้ใครหน้าไหน แม้แต่นายกฯ มาดเข้มคนนี้ก็ไม่เว้น มาเที่ยวเรียกแกว่าป้านะโว้ย! ระวังเหอะ...แทนที่ลื้อจะโดนนายกฯ ทุ่มไอ้นั่นไอ้นี่ใส่ จะกลายเป็นเจ๊เแกทุ่มโพเดี้ยมใส่ลื้อ...”
กระจอกข่าวนายหนึ่งเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี ก่อนจะจ้อต่อเนื่องว่า...
“...แต่ป้า...เอ๊ย...เจ๊ก็แน่จริงๆ สมัยรัฐบาลเครือข่ายของคนแดนไกล เจ๊เอาแต่ “ชงหวาน-ชงลูก” ฝ่ายตรงข้ามให้รัฐบาลเครือข่ายเหลี่ยมตบลูกหน้าเน็ตอยู่ข้างเดียวตลอด ไม่ว่ารัฐบาลเก่าจะทำไม่ดีขนาดไหน เจ๊เธอไม่เคยอาละวาดต่อปากต่อคำสักแอ๊ะ แต่พอลุงตู่เป็นนายกฯ เท่านั้นแหละ เจ๊ยุเจ๊แยงเจ๊ลุยอุตลุดได้ถูกใจคนแดนไกลสุดๆ จนอยากประเคนถ้วยรางวัล “สื่อ” ในดวงใจเหลี่ยมให้เลยนะเนี่ย...”
เหยี่ยวข่าวอาวุโสมองหน้าน้องๆ ด้วยสีหน้าที่เข้าอกเข้าใจ...ก่อนจะเปรยดังๆ ขึ้นว่า...
“...อืม...เป็นนักข่าวยุคนี้ยากเหลือเกิน เจอนายกฯ สองบุคลิกแบบนี้ ต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ อารมณ์ท่านผันผวนเหมือนลมเพลมพัด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนมองไม่รู้ดูไม่ออกถึงตัวตนจริงๆ ของท่านผู้นำตู่”
พอเข้าโหมดการเมือง บรรยากาศเริ่มตึงเครียด จนความเงียบปกคลุม “สกฟชค.” ชั่วครู่ ก่อนกระจอกข่าววัยรุ่นจะตั้งคำถามขึ้นว่า
“..เอ้อ...วิธีการปรองดองเนี่ย จะทำให้เครือข่ายคนแดนไกลกลับมายึดอำนาจรัฐคืนได้อีกครั้งไหม...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าอดีตคู่แข่งตัวจริงของมนุษย์ป้า...เอ๊ย...เจ๊...จึงโชว์ความเก๋าทางปัญญาว่า
“...อนาคตชาติไทยจะดีจะเลว ชี้ขาดอยู่ที่ “ปฏิลูบ” หรือ “ปฏิรูป” และจะปฏิรูปกันจริงๆ อ๊ะป่าว? นายกฯ ตู่พยายามโยนการปฏิรูปให้ สปช. “รับหน้าเสื่อ” การตั้งสมาชิก สปช. จึงเป็นการ “นับหนึ่ง” ส่วนสมาชิก สปช.จะ “ยี้” หรือจะ “เยี่ยม” นั้นไม่สำคัญ ส่วนการ “นับสอง” จะสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเรื่องเนื้อหาของการปฏิรูปว่า จะนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติให้หยุดการโกง และการใช้เงินซื้อเสียงเข้าไปยึดอำนาจรัฐได้หรือไม่? จะหยุดบรรดานักการเมืองชั่วมิให้คอร์รัปชันโกงชาติได้หรือเปล่า?”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าฉายแววตามุ่งมั่น ก่อนจะสาธยายต่อว่า
“...นอกจากนั้นรายได้จากทรัพยากรของชาติ โดยเฉพาะรายได้จากแก๊สและน้ำมัน ชาติไทยจะยังคงใช้ระบบสัมปทานแบบเดิมที่รัฐมีรายได้ประมาณ 15-30% เท่านั้น ขณะที่หลายชาติในโลกใช้วิธีแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งทำรายได้เข้ารัฐมากกว่า 70-90% กันแล้ว หลายรัฐบาลในโลกจึงมีเงินรายได้จากพลังงาน มาลดราคาน้ำมันให้กับประชาชน โดยขายกันแค่ลิตรละ 20-30 บาทเท่านั้น ขอโทษ...นี่มิใช่เรื่องมโนไปเอง หรือเป็นวาทกรรมพล่อยๆ เพราะทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงนะยะ...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าพักหายใจชั่วแวบ...จึงถูกเหยี่ยวข่าวอาวุโสพูดแทรกขึ้นว่า
“...ที่ประเทศไทยขายแก๊สและน้ำมันให้คนไทยอย่างอยุติธรรม ดูสิ...อเมริกาซื้อน้ำมันจากไทย แถมต้องเสียค่าขนส่งไปอีกซีกโลกหนึ่ง แต่ปั๊มในมะกันขายน้ำมันราวลิตรละ 30 บาทเท่านั้น ขณะที่คนไทยซื้อน้ำมันราคาแพงลิ่วลิตรละเกือบ 50 บาท โดยพวกที่เกี่ยวข้องอ้างว่า เราต้องอิงราคาตลาดโลก ผมไม่เห็นรัฐบาลมะกันจะอ้างราคาตลาดโลกเลย หรืออเมริกากับไทยอยู่กันคนละโลกฟะ นี่เป็นเรื่องตลกทั้งน้ำตาจริงๆ...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นป้าไม่มีอารมณ์ตลกด้วย เธอคำรามเสียงดุว่า “...ตลกแดกกันซึ่งๆหน้าน่ะสิ...!!”