xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าทางตันการเมืองไทย (2)

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

การแยกอำนาจบริหารกับอำนาจนิติบัญญัติใหม่

1. จัดให้มีการแยกอำนาจหน้าที่ระหว่างคณะผู้บริหารประเทศ (คณะรัฐมนตรี) กับฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ให้ชัดเจน ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ ซึ่งคณะผู้บริหารประเทศมาจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภา หรือหลายพรรคการเมืองซึ่งรวมตัวกันแล้วมีเสียงข้างมาก ไปเป็นระบบแยกอำนาจแบบใหม่

2. ระบบแยกอำนาจใหม่นี้ให้คณะผู้บริหารประเทศกับสภาผู้แทนราษฎร ต่างมีที่มาแห่งความชอบธรรมจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

3. เมื่อได้คณะบุคคลซึ่งได้คะแนนเสียงทั่วประเทศมากที่สุดแล้ว คณะบุคคลนั้นสามารถแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือบุคคลอื่นผู้มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแต่มิได้เป็นสมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีได้อีกไม่เกิน 30 คนเพื่อประกอบกันขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรีเต็มคณะ

4. คณะรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งตามวาระ 4 ปี ไม่มีอำนาจในการยุบสภา

5. สภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 4 ปี ไม่มีอำนาจในการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่มีสิทธิในการตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคลเพื่อเสนอรายงานต่อคณะกรรมการพิจารณาความผิดของฝ่ายบริหาร เพื่อดำเนินคดีต่อฝ่ายบริหารหากมีความผิดจริง

6. ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาเข้ามาดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีสมาชิกสภาผู้แทนฯ นั้นย่อมไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในสภา แต่ยังคงมีตำแหน่งสมาชิกสภาอยู่

7. ในการเลือกตั้งคณะผู้บริหารประเทศให้รัฐเป็นผู้จัดค่าใช้จ่าย และอำนวยความสะดวกในการประกาศโฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ตลอดจนการติดประกาศในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด

ข้อดีของระบบแยกอำนาจแบบใหม่

1. คณะบุคคล 20 คนที่เสนอตัวเข้ารับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน จะต้องมีการเลือกสรรกันเองเป็นอย่างดี เพื่อให้ประชาชนสนับสนุน โดยผู้มีประวัติด่างพร้อยหรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือที่ประชาชนรังเกียจจะไม่สามารถเข้ามาร่วมกลุ่มได้ หากเข้าร่วมก็อาจเสียคะแนนเสียงสนับสนุน

2. เนื่องจากการเลือกตั้งคณะผู้บริหารประเทศเป็นการเลือกตั้งทั่วไปทั่วประเทศ คณะบุคคลผู้สมัครจึงต้องประกอบไปด้วยผู้ที่มาจากทุกภาคของประเทศ จะกระจุกตัวเฉพาะภาคหนึ่งภาคใดไม่ได้ เป็นการป้องกันลักษณะภูมิภาคนิยมด้วย

3. เป็นการยากที่จะมีการซื้อเสียงทั่วประเทศ

4. เป็นการเปิดโอกาสให้คณะบุคคลที่ไม่ต้องการสังกัดพรรคการเมือง หรือตั้งพรรคการเมืองสามารถรวมตัวกัน โดยเสนอตัวเข้าเป็นคณะผู้บริหารประเทศได้ ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องทางไว้ให้ต้องอาศัยความร่วมมือจากพรรคการเมืองในสภาด้วย

5. เป็นการเปิดโอกาสให้คณะผู้บริหารประเทศสามารถบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง

6. ในกรณีที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใด หรือหลายพรรครวมกันส่งคณะบุคคล 20 คน เข้าแข่งขันและชนะการเลือกตั้ง พรรคการเมืองนั้นก็ยังสามารถแต่งตั้งบุคคลจากรัฐสภาหรือจากภายนอกเข้าดำรงตำแหน่งได้อีก 30 คน ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อพิจารณาทางการเมืองด้านจำนวนที่นั่งในสภาที่มีอยู่ด้วย

7. เป็นการแก้ไขปัญหาเรื้อรังของการเมืองไทยที่มีการจัดคณะรัฐบาลตามโควตาของพรรคร่วมรัฐบาล หรือกลุ่มย่อยภายในพรรคภายหลังการเลือกตั้ง โดยเมื่อจัดตั้งคณะรัฐบาลแล้ว ประชาชนไม่ศรัทธาไม่สนับสนุน ตลอดจนเกิดปัญหาของการต่อรองระหว่างกลุ่มย่อยกับหัวหน้าคณะรัฐบาล

8. เป็นการปิดช่องทางในการทุ่มเทตั้งพรรค, สนับสนุน ส.ส., ซื้อเสียงโดยหวังเข้ามาอาศัยตำแหน่งรัฐมนตรีกอบโกยผลประโยชน์ เพราะเกมการเมืองจะเปลี่ยนไปตรงที่ความเกี่ยวโยงระหว่างอำนาจแฝงภายในพรรคกับการได้เป็นรัฐมนตรีจะหมดไป การเปิดเผยอย่างโปร่งใสว่าคณะบุคคลส่วนหนึ่งที่จะบริหารประเทศจะเป็นใครบ้าง

9. เป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นคือ เลือกที่จะลงสมัครผู้แทนราษฎรหรือเลือกที่จะสมัครอยู่ในกลุ่มบุคคล ซึ่งจะเป็นคณะผู้บริหารประเทศ ส.ส.หลายสมัยที่เคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วอาจเลือกไปสมัครเป็นคณะผู้บริหารประเทศ เปิดโอกาสให้นักการเมืองหน้าใหม่หรือนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาสมัครเป็น ส.ส.ในวิธีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียว

10. เป็นการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผลดีต่อการพัฒนาชาติ โดยฝ่ายบริหารจะมีลักษณะเป็น “มืออาชีพ” ผู้มีวิสัยทัศน์ และได้รับการพิสูจน์มาก่อนแล้วว่ามีประสบการณ์และความสามารถ ส่วน ส.ส.ก็จะมีหน้าที่ในการออกกฎหมายและพิจารณางบประมาณ ตลอดจนตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทั้งนี้ ส.ส.ควรมีบทบาทในการแบ่งสรรงบประมาณไปลงในจังหวัดมากขึ้น โดยมีงบประมาณส่วนกลาง และงบประมาณจังหวัด

11. เป็นการยกระดับความชอบธรรมและการสนับสนุนที่ประชาชนจะมีให้แก่คณะผู้บริหารประเทศ เพราะประชาชนสามารถเลือกแกนนำ 20 คนของคณะผู้บริหารประเทศได้โดยตรง

12. เป็นการทำให้ระบบและกระบวนการทางการเมืองไทยมีความยืดหยุ่น และมีทางเลือกมากขึ้นในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะทางด้านการจัดตั้งคณะรัฐบาลและการระดมบุคคลผู้มีความสามารถเข้ามาร่วมมือกันในการพัฒนา และแก้ปัญหาของชาติบ้านเมือง

ระบบที่เสนอใหม่นี้แม้จะไม่บังคับให้คณะบุคคลที่สมัครเป็นทีมเข้าบริหารประเทศ ต้องตั้งเป็นพรรคการเมือง หรือสังกัดพรรคการเมือง แต่ก็มิได้เป็นการทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอตรงกันข้าม พรรคการเมืองยิ่งจะต้องมีการพัฒนายกระดับให้เป็นพรรคระดับชาติ โดยสามารถคัดตัวผู้นำของพรรคพวกกับบุคคลอื่นที่พรรคเห็นว่ามีความเหมาะสม และประชาชนทั่วทั้งประเทศจะสนับสนุนเป็นทีมของพรรคสมัครรับเลือกตั้งโดยตรงได้ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พรรคสามารถตั้งคนจากพรรคหรือกลุ่มอื่นซึ่งมีที่นั่งในสภาเข้ามาร่วมรัฐบาลได้อีกถึง 30 คน

แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็ต้องคิดว่าจะเชื่อมโยงกับรัฐสภา โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรอย่างไร และยังสามารถเลือกสรรพันธมิตรทางการเมืองทั้งภายในสภา และภายนอกสภาได้โดยแกนนำคณะผู้บริหารประเทศสามารถตั้งคนเข้าร่วมในคณะรัฐบาลได้อีกถึง 30 คน

หัวหน้าทีมผู้สมัครคือผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรงไม่ต้องมีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ เพราะประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งคณะบุคคลผู้เป็นแกนนำ 20 คนนี้มาโดยตรง ส่วนบุคคลอื่นอีก 30 คนนั้น แกนนำ 20 คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหลักๆ สามารถตั้งได้ทั้ง 30 คนพร้อมกัน หรือจะแต่งตั้งตามความเหมาะสมโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องตั้งพร้อมกัน 30 คนก็ได้ ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นไม่ขึงตึง และสามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมในการบริหารประเทศ และข้อพิจารณาทางการเมืองด้วย

ระบบใหม่เป็นระบบที่ผนึก-เพิ่มพลังให้สังคมการเมืองเศรษฐกิจไทย เพราะเอื้ออำนวยเปิดโอกาสให้เกิดการจัดการที่มีประสิทธิภาพเสถียรภาพ, คุณภาพ, ฉับไวและมีระบบผู้แทนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาพความต้องการของภาค, จังหวัดและท้องถิ่น

● ระบบใหม่สามารถสร้าง พันธมิตรเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน สำหรับทุกภาคส่วนของสังคมได้

● ระบบใหม่มีการแบ่งงาน โดยแยกคุณภาพ-ประสบการณ์ของคนสองกลุ่ม ซึ่งรวมกันอยู่ในระบบการเมือง

● กลุ่มผู้นำบริหารจัดการ

● กลุ่มผู้เป็นตัวแทน-ผู้แทนของประชาชน

● ระบบใหม่ ก่อให้เกิดความชัดเจนในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ

● ฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ในการสั่งการและจัดการ

● ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติและจัดหา
(เพื่อสนองความต้องการของประชาชนระดับภาค, จังหวัด)

● ระบบใหม่ จะต้องมีการเพิ่มบทบาทอำนาจหน้าที่ให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติในด้าน

● บทบาท อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญ

● บทบาท อำนาจในการอนุมัติงบประมาณจังหวัด

● บทบาทในการติดตาม-ประเมินผลนโยบาย และงาน/โครงการที่ดำเนินการตามนโยบาย
ระบบใหม่นี้ต่างไปจากการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง และการเลือกคณะรัฐมนตรีเต็มจำนวนทั้งคณะอย่างไร

● ในอดีตได้มีข้อเสนอให้เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งเป็นการเลียนแบบการเลือกตั้งประธานาธิบดี และต่อมาได้มีข้อเสนอให้เลือกคณะรัฐมนตรีเต็มจำนวนทั้งคณะ

● ทั้งสองกรณี เป็นกรณีสุดขั้ว

● ข้อเสนอในการเลือกคณะผู้บริหารประมาณ 20 คนนี้เป็นทางสายกลาง ซึ่งมีทั้งความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งควบคู่กันไป
กำลังโหลดความคิดเห็น