xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง! ขาลงอยู่โค้งหน้าแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์

ความจำเป็นเร่งด่วนอันดับแรกของผู้ได้อำนาจมาเพื่อปกครองผู้อื่นคือการรักษาอำนาจ จากนั้นจะกระชับและเพิ่มอำนาจเพื่อความมั่นคงของตัวเอง อยู่ที่จะใช้พระเดช พระคุณ หรือควบทั้ง 2 อย่าง ขึ้นอยู่กับบุคลิกของผู้ทรงอำนาจว่าจะใช้แนวทาง วิธีการอย่างไร

บางคนใช้หลักการปกครองบนพื้นฐานความเมตตา กรุณา ความโอบอ้อมอารี แต่มักไม่ได้ผลในสังคมที่มีทุรชนไร้ศีลธรรม ไม่เคารพกฎหมายอยู่มาก จึงต้องใช้กฎเหล็กสร้างความน่าเกรงขาม ใช้อำนาจเผด็จการจนกลายเป็นอาณาจักรแห่งความกลัวก็มี

แต่อำนาจใดก็ไม่จีรังยั่งยืนได้นานเท่ากับความไว้ใจ การยอมรับ และความศรัทธาของประชาชนว่าผู้ทรงอำนาจเป็นคนดี มีศีลธรรม สร้างประโยชน์สุขถ้วนหน้าอย่างเป็นรูปธรรม มิใช่เพียงการป่าวร้อง หรือเปิดเพลงให้ฟังทุกเมื่อเชื่อวัน สร้างบรรยากาศความปรองดอง สมานฉันท์แบบเทียมๆ คล้ายเอาหัวซุกทรายไม่เห็นปัญหา

ผู้นำรัฐบาลปัจจุบันย่อมไม่อาจเลี่ยงกฎหลักต่างๆ ถึงความจำเป็นในการปกครองว่าจะใช้วิธีอย่างไรเพื่อให้การยอมรับของประชาชนเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งกายและใจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของประชาชนว่าผู้นำเป็นคนดี มิใช่พวกกำมะลอ จอมปลอม

ส่วนใหญ่การตัดสินว่าใครดีหรือใครไม่ดีนั้น มีหลักการง่ายๆ ว่า “ดูว่าคนนั้นคบหากับใคร ใช้ใครทำงาน แวดล้อมด้วยคนแบบไหน” เพราะคนดีย่อมไม่สุงสิง คบหากับคนชั่วให้ตัวเองต้องมีมลทิน เว้นแต่ว่าเป็นพวกจอมปลอมร้อยลิ้นกะลาวน กะล่อนทอง

หลังจากได้ดูแลบ้านเมือง มีกฎเหล็กควบคุมการเคลื่อนไหวของพลเมืองอย่างเข้มงวด จำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม เพื่อสร้างบรรยากาศปรองดองได้นาน 3 เดือนภายไต้คณะรัฐประหาร ก็มีรัฐบาล คณะรัฐมนตรี

แต่เป็นการเริ่มต้นที่ความนิยมมีปัญหาด้านการยอมรับ มีความสงสัยถึงเจตนา และความจริงใจว่าผู้มีอำนาจมีความประสงค์เช่นใด เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงข้ออ้างแฝงเร้นเจตนาอย่างอื่นเพื่อการทรงอำนาจต่อไป

จะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ สภาวะปัจจุบันคือ ผู้นำรัฐบาลเริ่มแสดงออกให้เห็นความรู้สึกผ่านคำพูดให้ประชาชนได้รับรู้ว่าสถานการณ์ “ไม่หมู” อย่างที่คิด แม้จะมีกองทัพหนุน และกฎอัยการศึกบังคับใช้โดยไม่มีวี่แวว หรือคำตอบว่าจะยกเลิกเมื่อไหร่

ข้ออ้างเดิมๆ คือเพื่อความมั่นคง มิให้เกิดบรรยากาศแห่งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่เคยมีปัญหากันจนเกิดวิกฤตรุนแรง เผาบ้าน เผาเมือง ใช้กองกำลังติดอาวุธเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามโดยมีข้าราชการไม่ยอมบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำรงความเที่ยงธรรม

จากจุดสูงสุดของความนิยม ผู้นำเริ่มบ่นถึงความหนักใจในสถานการณ์ เมื่อมีปรากฏการณ์ “ลองของ” โดยกลุ่มอิงการเมืองซึ่งสูญเสียอำนาจโดยการรัฐประหาร เพื่อทดลองดูว่ารัฐบาลสไตล์ “ไทยๆ” นั้นจะใจถึง เอาจริง เหมือนรัฐบาลเผด็จการจริงหรือไม่

ถ้ายังเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ในแบบ “ไทยๆ” บ้านเมืองน่าจะหวนคืนสู่ปัญหาและลามเป็นวิกฤตแบบ “ไทยๆ” ในอีกไม่นาน ถ้าคำมั่นว่ารัฐบาลจะจัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมปีหน้า แม้ยังมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอายุขัยของรัฐบาล

ถ้ายังเป็นแบบนี้ จะ “อยู่ถึง” วันนั้นหรือไม่ โดยที่เจตนาแท้จริงนั้นคงอยากอยู่ให้ยาวถึง 4 ปี เพื่อความคุ้มในการเสี่ยงยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลซึ่งเป็นปรากฏการณ์ “ยุคชั่ว” สร้างความเสียหายเฉพาะโครงการจำนำข้าวมากถึง 7 แสนล้านบาทใน 3 ฤดูกาล

ยังไม่นับขบวนการงาบหนัก 30-40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้นำปัจจุบันรับประกัน รับรองซ้ำซากว่าจะไม่มีการทุจริต ให้คำมั่นว่าตนเองสามารถ “เอาอยู่” ให้คณะรัฐมนตรีทุกคนอยู่ในแถว เป็นเขตปลอดคอร์รัปชั่น ให้เห็นว่าเมื่อหัวไม่กระดิก หางก็ไม่สาย

คนฟังบ่อยๆ ก็ได้แต่ชะเง้อคอรอดูผลว่าจะมีการเชือดตัวใหญ่บ้างหรือไม่ ทั้งเรื่องเก่าที่ยังค้างคาอยู่ ถ้าให้ลืมเรื่องเก่า มาตั้งต้นกันใหม่ แบบนี้วิกฤตแบบไทยๆ มีอีกแน่ ถ้ายังคงรักษาแนวคิดเรื่องปรองดอง การบังคับให้คนมีปัญหาฝืนใจรักใคร่กลมเกลียวกัน

ความน่ากลัวก็คือ ถ้ารัฐบาลปัจจุบันอยู่ถึงเดือนตุลาคมปีหน้า และจัดให้มีการเลือกตั้ง มีคำถามว่าคณะรัฐบาลจะตั้งพรรคการเมืองหรือจัดตัวแทนให้เข้าชองอำนาจหรือไม่ ถ้าปล่อยให้พวกหน้าเดิมๆ เข้ามาซื้อเสียงแข่งกัน ระบอบเหลี่ยมกลับมาอีกแน่

ระบอบเหลี่ยมจะยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม ประชาชนส่วนหนึ่งอาจต้องออกมาชุมนุมขับไล่ นำไปสู่วิกฤตเดิมๆ บ้านเมืองเสียหาย แล้วหน้าไหนจะมารับผิดชอบ ใครจะแอ่นอกยอมรับว่าการปรองดองสมานฉันท์เชิงบังคับล้มเหลวอย่างที่มีเสียงเตือนก่อนหน้านี้

ขณะนี้โพลล์ยังแสดงให้เห็นระดับความนิยมของคณะรัฐบาลนี้ ซึ่งมีอายุเพียง 3 สัปดาห์ จะยอมรับหรือไม่ก็ตามว่า ขณะนี้มีการลองของ ไฟสุมขอน แรงกระเพื่อมมากขึ้นจากประชาชนซึ่งถูกแปลงไปจากสภาพกัลยาณมิตรให้เป็นกลุ่มเริ่มไม่พอใจชัดแจ้ง

ลำพังเพียงกลุ่มระบอบบักเหลี่ยมก็สร้างปัญหาพอสมควร แม้จะจัดการได้ง่าย แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ จะจัดการกับคนดีที่ถูกบังคับให้ยืนเป็นฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร การเป็นศัตรูกับคนดี ไม่มีรัฐบาลใดอยู่ได้อย่างจีรังยั่งยืน ไม่ช้าก็เร็ว ต่อให้เป็นเผด็จการด้วย

สภาพความจริงอีกประการก็คือ ผู้กุมอำนาจน่าจะถึงจุดสูงสุดของความนิยมแล้ว จากนี้ไปมีแต่ขาลง ถ้ายังไม่สามารถหาเรื่องอื่นๆ มาฟื้นฟูและเสริมสร้างความศรัทธาของคนดีได้ และพฤติกรรมจะเป็นตัววัดว่าจะสามารถยืนหยัดได้อีกนานสักเท่าไหร่

แม้จะยังไม่ถึงขาลง ก็เป็นเพียงแนวราบตรง จะดิ่งขึ้นหรือลาดลง ขึ้นอยู่กับผลงานและความประพฤติว่ามีความจริงใจทำงานเพื่อบ้านเมืองหรือผลประโยชน์ส่วนตน จะเป็นเฉพาะกลุ่มหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ จุดเริ่มของขาลงมาเร็วตั้งแต่การแต่งตั้งคณะบุคคลต่างๆ มาช่วยงานหลังการรัฐประหาร ตอกย้ำซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นรายชื่อคณะรัฐมนตรี

แม้จะไม่มีเสียงร้องยี้ ก็ไม่มีกลิ่มหอมหวลชวนให้ชื่นชม มีแต่ความระแวงหนัก! จากนั้น แนวนโยบายต่างๆ วาทกรรม คำประกาศหลายเรื่องได้เป็นมาตรวัดคุณภาพระดับคุณธรรม และเจตนาของผู้นำ ซึ่งย่อมทำให้เล็งเห็นผลว่าเป็นบุคคลเช่นใด...


กำลังโหลดความคิดเห็น