xs
xsm
sm
md
lg

ใครอยู่เบื้องหลังชายชุดดำ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

หลังจากตำรวจจับชายชุดดำกลุ่มหนึ่งในข้อหาร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้-พกพาอาวุธปืน และวัตถุระเบิดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเหตุอันสมควร ก็เป็นเครื่องการันตีอีกครั้งว่า ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้

แต่มีคำถามว่า ถ้าไม่ใช่ยุคที่ทหารเป็นใหญ่ตำรวจจะทำคดีนี้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เพราะทหารตกเป็นจำเลยสังคมผู้มีอำนาจจะเร่งรัดให้ตำรวจเข้ามาทำคดีนี้หรือไม่ เพราะไม่เพียงแต่คดีชายชุดดำเท่านั้นที่คดีเงียบหายกรณีการยิงใส่ที่ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อครั้งชุมนุม 193 วัน จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากตำรวจก็ไม่ยอมทำคดีเลย

รวมไปถึงกรณีการลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ผมคิดว่า คดีของนายสนธินั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธาน ก.ตร.น่าจะเร่งตำรวจให้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีนะครับ แล้วสาวให้ถึงจอมบงการให้ได้

ส่วนคดีชายชุดดำนั้นน่าตั้งคำถามว่า ก่อนหน้านี้ตำรวจทำอะไรอยู่ ถึงไม่ยอมจับกุม เพราะคงไม่ใช่อยู่ๆ ตำรวจจะสามารถรวบรวมหลักฐานขึ้นมาได้ในยุคที่ทหารมีอำนาจ แต่น่าจะเก็บพยานหลักฐานไว้ในมือนานแล้ว ถ้าอำนาจรัฐไม่เปลี่ยนและยังเป็นฝ่ายเดียวกับคนเสื้อแดง ตำรวจก็คงเก็บคดีนี้เข้าลิ้นชัก เหมือนที่เก็บคดียิงพันธมิตรฯ และยิงนายสนธิ

จึงมีข่าวออกมาว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีแนวทางการสอบสวนว่าไม่มีชายชุดดำ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ มีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายทั้งหมด และให้ไปเร่งรัดการสอบสวนคดีความผิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตาย โดยเจตนาเล็งเห็นผล พนักงานสอบสวนที่ถูกให้ออกจากชุดสอบสวนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่ยืนยันข้อมูลว่ามีชายชุดดำอยู่จริง

และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งรับคดีไปดำเนินการต่อตอนนั้นก็ขานรับด้วยว่าไม่มีชายชุดดำ

ทั้งๆ ที่เรื่องชายชุดดำนั้นเป็นเรื่องที่คนเขาเห็นกันทั้งโลก มีคลิปวิดีโอออกมามากมายว่ามีชายชุดดำที่ปะปนอยู่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องติดอาวุธเข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น ไม่ได้เป็นการชุมนุมที่สันติอหิงสา แต่มีกองกำลังติดอาวุธอยู่เบื้องหลัง และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงยังได้ปราศรัยหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2553 ว่า “วันนี้การต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ชนะ เป้าหมายคือคุกหรือไม่ก็ตายเท่านั้น พี่น้อง ผมขอบอกข่าวดีว่า เดิมทีนั้น คนเสื้อแดงมีเพียงพรรคการเมืองและมวลชนเท่านั้นแต่วันนี้ แก้วอีกประการหนึ่งที่เรารอ นั่นคือ กองกำลังไม่ทราบฝ่าย เขาพร้อมสนับสนุน และปกป้องคนเสื้อแดง”

จนกระทั่งกองกำลังติดอาวุธมาปรากฏตัวให้เห็นในวันที่ 10 เมษายน 2553 ไม่นับรวมที่มีการลอบยิงและระเบิดสถานที่ต่างๆ หลายครั้งในระหว่างการชุมนุมก่อนหน้านั้น

มีเพียงแกนนำเสื้อแดงเท่านั้นที่เสียงแข็งนั่งยันนอนยันว่า ไม่มีชายชุดดำ

อย่างไรก็ตาม ตำรวจที่จับกุมชายชุดดำดังกล่าวได้ออกมายืนยันแล้วนะครับว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับคดีการชุมนุมและคดียิงพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ซึ่งอยู่ในความดูแลของดีเอสไอเป็นเพียงคดีใช้และพกพาอาวุธปืน ดังนั้นดีเอสไอซึ่งทำคดีเกี่ยวกับการชุมนุมจะต้องสาวต่อให้ถึงคนบงการเพื่อเชื่อมโยงกับการชุมนุมและการเสียชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้าให้ได้

คนที่ดีเอสไอต้องนำมาสอบสวนและให้การเป็นพยานก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.นั่นแหละครับ เพราะท่านพูดชัดเจนว่า คนที่อยู่เบื้องหลังนั้น ถ้าเปิดเผยทุกท่านอาจตกใจก็ได้ แต่วันนี้จะยังไม่พูด ปล่อยให้ตำรวจ และกระบวนการยุติธรรมสืบสวนให้ชัดเจน เราคงไม่ยัดข้อหาให้ใคร

คนที่มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินตอนนี้เปิดปากแล้วว่า รู้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลังชายชุดดำ

ดังนั้น คดีนี้จึงไม่ควรจะจบอยู่แค่จับคนมาไม่กี่คนในข้อหาเพียงแต่พกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ แต่ต้องสาวให้ถึงจอมบงการให้ได้ อย่างน้อยพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องกำชับตำรวจให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่สละชีวิตไปหลายคนจะได้นอนตายตาหลับ และเพื่อทำให้ทหารที่กลายเป็นจำเลยของสังคมและคนเสื้อแดงรวมถึงในสายตาของชาวโลกว่า ใช้อาวุธเข่นฆ่าประชาชนได้มีหลักฐานยืนยันว่าทหารมีความจำเป็นต้องติดอาวุธเข้าไปสลายการชุมนุมเพราะคนเสื้อแดงมีกองกำลังติดอาวุธหนุนหลัง

พิสูจน์ให้เห็นว่า คนเสื้อแดงรากหญ้าที่ถูกปลุกปั่นให้เข้าใจว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างไพร่กับอำมาตย์ อ้างว่าสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นแท้จริงแล้ว เป็นเพียงการหลอกให้เขามาเป็นเกราะกำบังกระสุนให้กองกำลังติดอาวุธชายชุดดำที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว เป็นการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐไม่ใช่การชุมนุมที่สันติอหิงสา

รวมถึงการจุดไฟเพื่อเผาเมืองก็มีการเตรียมการไว้แล้วทั้งนั้น อย่างที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พูดว่า “ถ้าพวกคุณยึดอำนาจ พวกผมเผาทั่วประเทศ เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” หรือที่นายอริสมันต์พูดว่า “พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปราม ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบมาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานครมีน้ำมันหนึ่งล้านลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”

ผมคิดว่า ตำรวจ ดีเอสไอและรัฐบาลทหารซึ่งมีอำนาจอยู่ในขณะนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นแม้จะมีประชาชนส่วนหนึ่งที่บริสุทธิ์มาชุมนุมเพราะเชื่อว่าสู้เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ แต่เบื้องหลังก็คือการใช้ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐไม่ใช่สู้เพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียมกันในสังคมที่แกนนำเอาไปปลุกปั่นหลอกลวงมวลชน

ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่ไม่เชื่อว่า มีมวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาต่อสู้เพราะอุดมการณ์ในระบอบประชาธิปไตย ต้องการความเท่าเทียมและเสมอภาคในสังคม แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า เบื้องหลังที่แท้จริงของแกนนำก็คือ การแย่งชิงอำนาจรัฐที่ปลุกปั่นคนให้ออกมาตายแทนตัวเองเพื่อผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับจากคนบงการที่อยู่ต่างแดนไม่มีเรื่องของอุดมการณ์อะไรทั้งสิ้น

ผมคิดว่า กรณีชายชุดดำนั้นน่าจะสาวไปถึงจอมบงการได้ไม่ยากแล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีและองค์รัฏฐาธิปัตย์ประกาศว่า รู้ตัวแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง
กำลังโหลดความคิดเห็น