ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คดีที่มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายคือสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะกินเวลานานเป็นปีเลยทีเดียว เผลอๆ อาจเกินกว่าปีด้วยซ้ำ
ไม่ต้องดูตัวอย่างอื่นไกล เอาแค่วันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมาซึ่งอัยการแถลงผลการสั่งคดีของ “ตระกูล วินิจฉัยภาค” อัยการสูงสุด ที่พบข้อไม่สมบูรณ์ในคดี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เรื่องรับจำนำข้าว จึงยังไม่มีความเห็นให้สั่งฟ้อง และให้ตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่าย
โดยปรากฏว่าในวันดังกล่าว อัยการได้แถลงสรุปผล การพิจารณาของคณะทำงานร่วม อัยการ-ป.ป.ช.ในคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด “คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา” อดีตผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ กรณีขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่า สตง. ใช้งบประมาณ สตง.จัดสัมมนาที่ต่างจังหวัดอันเป็นเท็จ จึงมีคำสั่งให้ดำเนินคดีอาญาฟ้อง “คุณหญิงจารุวรรณ” ตามข้อยุติของคณะทำงานร่วมสองฝ่าย
รู้ไหมกว่าคดีนี้จะได้ข้อยุติได้ในชั้นคณะทำงานร่วมใช้เวลารวมกี่ปี รู้แล้วอย่าตกใจ คำตอบคือ 3 ปี!!
เพราะคดีนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดไปเมื่อ 6 ก.ย.54 และเมื่อ ป.ป.ช.ส่งสำนวนไปให้ อสส.ในเวลานั้น ทาง อสส.เห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ เลยให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายคือ “อสส.-ป.ป.ช.” จนเวลาล่วงเลยมาถึง 3 ปี จาก ก.ย. 54 มาถึง ก.ย.57 คณะทำงานร่วมสองฝ่ายได้ส่งเรื่องไปให้ “ตระกูล-อสส.” เมื่อ 26 ส.ค.57 จนสุดท้าย อสส.มีความเห็นตามคณะทำงาน และแถลงอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 4 ก.ย.57 คือให้เอาผิด “คุณหญิงจารุวรรณ”
ขนาดคดี “คุณหญิงจารุวรรณ” ที่รูปคดีได้มีอะไรสลับซับซ้อนมาก ยังกินเวลาไปตั้ง 3 ปี แล้วคดี “ยิ่งลักษณ์” ที่มีเอกสารจำนวนมาก ข้อเท็จจริงมากมายเต็มไปหมด หลายคนเลยบอกว่า มีแนวโน้มคงยืดเยื้อกว่าจะได้ข้อสรุป
ยิ่งหาก ป.ป.ช.ไม่เร่งรัดผ่านคณะทำงานร่วม รวมถึงสื่อไม่ไล่ถามความคืบหน้าตลอดเวลา ก็เชื่อว่าอาจกินเวลาอย่างต่ำเป็นปีแน่นอน ให้ทำใจไว้ ได้เลย จุดนี้ “ยิ่งลักษณ์” เองก็รู้ ถึงได้ไม่คิดหนีออกนอกประเทศเมื่อสองเดือนที่แล้ว อย่างที่บางฝ่ายวิเคราะห์ไปล่วงหน้า
ความคืบหน้าล่าสุดของเรื่องคดี “ยิ่งลักษณ์” ก็เป็นอันว่าเวลานี้ได้ตัวคณะทำงานร่วมสองฝ่ายกันแล้ว ข้างละ 10 คน ฟากอัยการนำทัพโดยเจ้าเก่ารายเดิม “วุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์” รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีนี้ตั้งแต่แรก ซึ่งมีความเห็นในชั้นคณะทำงานว่าสำนวนป.ป.ช.ไม่สมบูรณ์ โดยมีข่าวว่ารายชื่อฝั่งอัยการส่วนใหญ่ก็เป็นคณะทำงานชุดเดิมแทบทั้งสิ้น ส่วน ป.ป.ช.ส่ง “สรรเสริญ พลเจียก” เลขาธิการ ป.ป.ช.นำทีมดวลฝีไม้ลายมือกันกับ “วุฒิพงศ์”
เบื้องต้น “สรรเสริญ” บอกแล้วว่า หากไม่อาจหาข้อยุติได้ ป.ป.ช.ก็มีอำนาจฟ้องคดีเอง หรือแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีแทนได้ และจะพิจารณาหาข้อยุติในคดีให้ได้เร็วที่สุดเพราะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
ดูท่าทีอาการของทั้งสองฝั่งแล้ว ไม่รู้ว่าประชุมคณะทำงานกันแต่ละนัด บรรยากาศในห้องประชุมจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อเถอะ คงไม่ถึงขั้นใส่กันไฟแลบ เพราะระดับผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ก็ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผลทั้งสิ้น ส่วนความเห็นต่างในสำนวนคดี ก็เป็นเรื่องของมุมมองที่เห็นต่างกันได้
ที่คนดูข้างสนามบ่นเสียดายกันยกใหญ่ก็คือ หัวหน้าทีมฝั่ง ป.ป.ช. น่าจะส่งรุ่นใหญ่อย่าง “วิชา มหาคุณ” ไปประกบเสียหน่อย คดีมันจะได้รู้ผลเร็ว เพราะแม้ “สรรเสริญ” จะเป็นผู้บริหารเบอร์หนึ่งของสำนักงาน ป.ป.ช.และยังเป็นคนคุมคดีนี้มาตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังไม่ใช่กรรมการ ป.ป.ช. หากเอาพวก ป.ป.ช.ไปเป็นคณะทำงาน คดีมันน่าจะรู้ผลเร็วขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อย ก็กล้า “ทุบโต๊ะ” หากโดนฝ่าย อสส.ยึกยักดึงเรื่อง
เหตุที่ ป.ป.ช.ไม่ส่งกรรมการ ป.ป.ช.มาเป็นคณะทำงาน ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะว่า ตัว “ตระกูล” ในฐานะเบอร์หนึ่งของ อสส.ก็ไม่ได้ลงมาเป็นคณะทำงานเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ระดับอัยการสูงสุดจะไม่ลงมาเป็นคณะทำงานเอง ทาง ป.ป.ช.ก็คงเห็นว่าแค่ส่งเลขาธิการสำนักงานไปเป็นหัวหน้าทีม ก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อพอแล้ว ก็เป็นได้
พวกกองเชียร์ข้างสนามไม่ว่าจะเชียร์ อสส.หรือเชียร์ ป.ป.ช. ที่อยากเห็นระดับ “วิชา” เจอกับ “ตระกูล” ในห้องประชุมคณะทำงาน ก็เลยอาจผิดหวังพอสมควร หลังก่อนหน้านี้ “วิชา” ออกมาฟาดเข้าใส่ อสส.กันจนเป็นที่ฮือฮามาแล้ว
ส่วนที่สงสัยกันว่า สุดท้ายคดีนี้จะต้องรอนานแค่ไหน อันนี้ก็ต้องตอบว่า เมื่อพิจารณาตามท้องเรื่อง ดูแล้วยังไงเสียคดี “ยิ่งลักษณ์” น่ารู้ผลเร็วกว่าทุกคดีที่ผ่านมา ที่มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่าย เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าทาง ป.ป.ช.ตั้งการ์ดไว้สูงเกินกว่าคดีอื่นๆ
ประเมินได้ว่า คดีนี้จะรู้ผล ออกหัวก้อย น่าจะไม่เกินปลายปีนี้ หรือไม่ก็คงเกินช่วง 1-2 เดือนแรกของปี 2558 ซึ่งก็ถือว่าช้าแล้ว
เอาเป็นว่า หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ไม่น่าจะเกินเดือน ธ.ค.57 น่าจะรู้ผลแน่นอน เพราะทาง ป.ป.ช.คงไม่ยอมให้คดียืดเยื้อแบบหลายคดีก่อนหน้านี้
บนความคาดหมายว่า สุดท้ายปลายทางของคดีนี้ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ความเป็นไปได้ที่สุดท้าย ป.ป.ช.น่าจะยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีเปอร์เซ็นต์สูงมากกว่าที่ อสส.จะเป็นผู้ฟ้องคดี
เว้นแต่มีเหตุพลิกผันจริงๆ “ตระกูล” อาจลงนามยื่นฟ้องเองก็เป็นไปได้ โอกาสความเป็นไปได้ออกแนวนี้ก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าจะปิดตาย
เนื่องเพราะการที่ “ตระกูล” ไม่ฟ้องคดีเองเมื่อ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ลึกๆแล้วถามว่า คนในสำนักงาน ป.ป.ช.ประหลาดใจหรือไม่ หรือว่าทีมทนายความยิ่งลักษณ์จะดีใจกันยกใหญ่หรือไม่
คำตอบคือ ไม่เลย
คาดคะเนได้ว่า คนในตึก ป.ป.ช.หรือแม้แต่ฝ่ายทนายความยิ่งลักษณ์ ก็ประเมินออกแต่แรกแล้วว่า มันต้องออกมาแบบนี้คือ อสส.ยังไม่มีความเห็นสั่งฟ้องแต่ให้ตั้งคณะทำงานร่วม เพราะคดีที่ ป.ป.ช.ส่งไปให้ อสส.เกือบทั้งหมดก็มีการตั้งคณะทำงานร่วมเป็นปกติอยู่แล้ว
ยิ่งคดีนี้เป็น “คดีใหญ่” ผู้ถูกกล่าวหาเป็นระดับอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคดีสำคัญทางการเมือง ผลการสั่งคดีมีผลทางการเมืองสูงยิ่ง ผนวกกับเป็นคดีที่มีเอกสารข้อเท็จจริงในสำนวนอยู่จำนวนมาก การให้ อสส.รับสำนวนจาก ป.ป.ช.แล้วให้ทำความเห็นสั่งฟ้องเลยภายใน 30 วัน ในทางปฏิบัติมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แม้ต่อให้สุดท้าย หากอัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือคณะทำงานร่วมสองฝ่ายเห็นไม่ตรงกัน ทางป.ป.ช.ก็ยังดึงสำนวนกลับมาฟ้องต่อศาลได้เอง แต่อัยการในฐานะทนายแผ่นดิน ก็ต้องรักษาฟอร์มตัวเองไว้ก่อน จะมาพิจารณาแบบรวดเร็วกันไม่ได้
ยิ่งในทางการเมืองแล้วตัว “ตระกูล” ได้ตำแหน่งมาเพราะผลแห่งการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเพื่อไทย หาก อสส.จะมาพิจารณาคดีนี้อย่างรวดเร็ว มันไม่เป็นผลดีต่อตัว “ตระกูล” ไม่พอ มันจะมีผลกระทบไปถึง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ตั้ง “ตระกูล” มากับมือด้วย
เพราะจะถูกมองได้ว่า ที่ปลด “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ออกจากตำแหน่ง อสส.จนทำให้ “ตระกูล” ได้เป็นอสส.แบบไม่คาดฝัน หาก อสส.บ้าจี้สั่งฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ทันที คนย่อมมองได้ว่า ที่ คสช.เด้ง “อรรถพล” จนทำให้ “ตระกูล” ขึ้นมาใหญ่ในสำนักงานอัยการสูงสุด ก็เป็นเพราะหวังผลกับคดียิ่งลักษณ์
ดังนั้นการที่ อสส.ชะลอเรื่องไว้ชั่วคราวยังไม่ฟ้องยิ่งลักษณ์เลยทันทีทันใด เป็นเรื่องที่ไม่เหนือการคาดการณ์ใดๆทั้งสิ้น
หากมีความเห็นสั่งฟ้องนะสิ ถึงจะเรียกว่า พลิกล็อกครั้งใหญ่