.
นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แถลงว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเห็นตามที่คณะกรรมการไต่สวนเสนอให้ยุติเรื่องกรณี เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 56 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ยื่นเรื่องขอให้กกต.ตรวจสอบและยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว จากกรณีปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช. เนื่องจากไม่แจ้งให้ป.ป.ช.ว่า ภรรรยาถือหุ้นใน 2 กิจการบริษัทเกินกว่าร้อยละ 5 ที่กฎหมายกำหนด และนายวิเชษฐ์ ไม่ได้ทำหนังสือแจ้งว่า ประสงค์จะรับหรือไม่รับผลประโยชน์จากหุ้นดังกล่าวร่วมกันหรือไม่ โดยก่อน กกต.มีมติดังกล่าว คณะกรรมการไต่สวนได้มีการดำเนินการตรวจสอบคำร้องดังกล่าว และในเดือนพ.ย.ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง แต่ต่อมามีปัญหาการชุมนุม ทำให้การไต่สวนล่าช้า เพราะสำนักงานถูกปิดล้อม
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาของที่ประชุมกกต. ในวันที่ 25 มิ.ย.57 เห็นว่า เมื่อรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 180 ให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อมีการยุบสภา และมีพ.ร.ฎ.ยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 จึงมีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายวิเชษฐ์ สิ้นสุดลง จึงไม่มีเหตุให้กกต.ต้องพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายวิเชษฐ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวอีก เพราะความผิดดังกล่าวไมได้มีเรื่องของการต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพียงแค่ตำแหน่งรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเท่านั้น
นอกจากนี้ ที่ประชมกกต. ยังมีมติยกคำร้อง กรณีนายเศวต ทินกูล อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 50 และ พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพานิช ขอให้ กกต.ตรวจสอบและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ส.ส.และส.ว. ที่ร่วมกันเข้าชื่อเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่มาส.ว. กระทำการเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ เข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 102 (6) เป็นเหตุให้สมาชิกสภาพการเป็นส.ส.-ส.ว. สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ โดยที่ประชุมเห็นว่า การกระทำของนายกรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดในเรื่องดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด จนต้องนำไปสู่การถอดถอน
ส่วนกรณีที่ นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้กกต. ตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กรณีใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อจูงใจ สัญญาว่าจะให้ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ตน หรือละเว้นการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง จากการที่ออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) และมีการออกประกาศของ ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะผู้อำนวยการ ศรส. กกต.มีมติไม่รับเป็นเรื่องร้องคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในขณะนั้น ไม่ถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง
สำหรับกรณีที่ นางลีน่า จังจรรจา อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร ยื่นร้องคัดค้าน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีต ส.ว. ว่าเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร เนื่องจากขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กกต.มีมติให้ยกคำร้อง เพราะในชั้นของการสมัคร กกต.ประจำกรุงเทพมหานครได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติกรณีดังกล่าวไปยังป.ป.ช.แล้ว ซึ่งได้รับการแจ้งว่าไม่ปรากฏคำพิพากษาให้ทรัพย์สินของคุณหญิงจารุวรรณ ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะเหตุร่ำรวยผิดปกติ หรือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด โดยป.ป.ช.มีข้อสังเกตว่า คุณหญิงจารุวรรณ เคยถูกป.ป.ช.ชี้มูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่คดียังไม่สิ้นสุด จึงไม่ถือว่าคุณหญิงจารุวรรณ มีคุณสมบัติต้องห้ามในการสมัคร
เลขาธิการ กกต. ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยห้ามเพียงการเลือกตั้งและการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง ทางกกต.จึงเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจกกต.ในการตรวจสอบการรับสมัครส.ส.และส.ว. ว่ามีบุคคลที่รู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติต้องห้ามแต่ยังมายื่นสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งจะถือว่าเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จกับเจ้าหน้าที่ มีความผิดตามกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 139 ซึ่งมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 1 -2 แสนบาทและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี และหากพบว่า พรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำเหล่านี้ตามมาตรา 18 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง ก็มีความผิดอาจถึงขั้นยุบพรรค กกต.จึงจะมีดำเนินการตรวจสอบผู้สมัครส.ว. และส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อจาก 53 พรรคการเมือง โดยเป็นผู้สมัครทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 1,174 คน
**รับคำร้องคัดค้าน "ยิ่งลักษณ์" ออกทีวีพูล
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกต. มีมติรับคำร้องกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกทีวีเฉพาะกิจเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นการพูดภายหลังการประกาศยุบสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ส่วนคำร้องคัดค้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีลงพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ โดยใช้ทรัพยากรของรัฐ ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาในการเรียกเอกสารจากหน่วยงานราชการ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปทำงานที่สำนักนายกได้นั้น แต่ขณะนี้กกต. ได้เอกสารต่างๆครบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่สอบพยานในพื้นที่ต่างจังหวัดจำนวนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ กกต. ยังมีมติรับเรื่องที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(ช่อง11) มีการนำนักการเมือง 19 คน และข้าราชการประจำ 2 คน ไปออกรายการช่วงที่มีพ.ร.ฎ.ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ไว้พิจารณาแล้ว อย่างไรก็ตาม กกต. จะดำเนินการเร่งรัดทั้ง 3 เรื่องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากเป็นกรณีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน คาดว่าทุกเรื่องน่าจะลงมติวินิจฉัยได้ภายในเดือนส.ค.นี้
นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แถลงว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเห็นตามที่คณะกรรมการไต่สวนเสนอให้ยุติเรื่องกรณี เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 56 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ยื่นเรื่องขอให้กกต.ตรวจสอบและยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว จากกรณีปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช. เนื่องจากไม่แจ้งให้ป.ป.ช.ว่า ภรรรยาถือหุ้นใน 2 กิจการบริษัทเกินกว่าร้อยละ 5 ที่กฎหมายกำหนด และนายวิเชษฐ์ ไม่ได้ทำหนังสือแจ้งว่า ประสงค์จะรับหรือไม่รับผลประโยชน์จากหุ้นดังกล่าวร่วมกันหรือไม่ โดยก่อน กกต.มีมติดังกล่าว คณะกรรมการไต่สวนได้มีการดำเนินการตรวจสอบคำร้องดังกล่าว และในเดือนพ.ย.ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง แต่ต่อมามีปัญหาการชุมนุม ทำให้การไต่สวนล่าช้า เพราะสำนักงานถูกปิดล้อม
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาของที่ประชุมกกต. ในวันที่ 25 มิ.ย.57 เห็นว่า เมื่อรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 180 ให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อมีการยุบสภา และมีพ.ร.ฎ.ยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 จึงมีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายวิเชษฐ์ สิ้นสุดลง จึงไม่มีเหตุให้กกต.ต้องพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายวิเชษฐ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวอีก เพราะความผิดดังกล่าวไมได้มีเรื่องของการต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพียงแค่ตำแหน่งรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเท่านั้น
นอกจากนี้ ที่ประชมกกต. ยังมีมติยกคำร้อง กรณีนายเศวต ทินกูล อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 50 และ พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพานิช ขอให้ กกต.ตรวจสอบและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ส.ส.และส.ว. ที่ร่วมกันเข้าชื่อเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่มาส.ว. กระทำการเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ เข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 102 (6) เป็นเหตุให้สมาชิกสภาพการเป็นส.ส.-ส.ว. สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ โดยที่ประชุมเห็นว่า การกระทำของนายกรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดในเรื่องดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด จนต้องนำไปสู่การถอดถอน
ส่วนกรณีที่ นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้กกต. ตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กรณีใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อจูงใจ สัญญาว่าจะให้ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ตน หรือละเว้นการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง จากการที่ออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) และมีการออกประกาศของ ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะผู้อำนวยการ ศรส. กกต.มีมติไม่รับเป็นเรื่องร้องคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในขณะนั้น ไม่ถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง
สำหรับกรณีที่ นางลีน่า จังจรรจา อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร ยื่นร้องคัดค้าน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีต ส.ว. ว่าเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร เนื่องจากขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กกต.มีมติให้ยกคำร้อง เพราะในชั้นของการสมัคร กกต.ประจำกรุงเทพมหานครได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติกรณีดังกล่าวไปยังป.ป.ช.แล้ว ซึ่งได้รับการแจ้งว่าไม่ปรากฏคำพิพากษาให้ทรัพย์สินของคุณหญิงจารุวรรณ ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะเหตุร่ำรวยผิดปกติ หรือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด โดยป.ป.ช.มีข้อสังเกตว่า คุณหญิงจารุวรรณ เคยถูกป.ป.ช.ชี้มูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่คดียังไม่สิ้นสุด จึงไม่ถือว่าคุณหญิงจารุวรรณ มีคุณสมบัติต้องห้ามในการสมัคร
เลขาธิการ กกต. ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยห้ามเพียงการเลือกตั้งและการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง ทางกกต.จึงเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจกกต.ในการตรวจสอบการรับสมัครส.ส.และส.ว. ว่ามีบุคคลที่รู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติต้องห้ามแต่ยังมายื่นสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งจะถือว่าเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จกับเจ้าหน้าที่ มีความผิดตามกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 139 ซึ่งมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 1 -2 แสนบาทและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี และหากพบว่า พรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำเหล่านี้ตามมาตรา 18 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง ก็มีความผิดอาจถึงขั้นยุบพรรค กกต.จึงจะมีดำเนินการตรวจสอบผู้สมัครส.ว. และส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อจาก 53 พรรคการเมือง โดยเป็นผู้สมัครทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 1,174 คน
**รับคำร้องคัดค้าน "ยิ่งลักษณ์" ออกทีวีพูล
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกต. มีมติรับคำร้องกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกทีวีเฉพาะกิจเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นการพูดภายหลังการประกาศยุบสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ส่วนคำร้องคัดค้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีลงพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ โดยใช้ทรัพยากรของรัฐ ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาในการเรียกเอกสารจากหน่วยงานราชการ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปทำงานที่สำนักนายกได้นั้น แต่ขณะนี้กกต. ได้เอกสารต่างๆครบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่สอบพยานในพื้นที่ต่างจังหวัดจำนวนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ กกต. ยังมีมติรับเรื่องที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(ช่อง11) มีการนำนักการเมือง 19 คน และข้าราชการประจำ 2 คน ไปออกรายการช่วงที่มีพ.ร.ฎ.ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ไว้พิจารณาแล้ว อย่างไรก็ตาม กกต. จะดำเนินการเร่งรัดทั้ง 3 เรื่องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากเป็นกรณีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน คาดว่าทุกเรื่องน่าจะลงมติวินิจฉัยได้ภายในเดือนส.ค.นี้