xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อสส.ยื้อฟ้อง “ปู” จำนำข้าว คสช.เลือกผิดเลือกใหม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่น่าแปลกที่ อัยการสูงสุด (อสส.) จะยื้อคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งสำนวนให้อสส.ฟ้องร้อง ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับคดีทุจริตจำนำข้าว เพราะเรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวพันกับคนตระกูลชินวัตร 
   
      แต่ที่ผิดคาดหมายและสร้างความผิดหวังให้กับประชาชนไม่น้อย เป็นเพราะว่า อสส.ที่ชื่อว่า นายตระกูล วินิจฉัยภาค นั้น เป็นคนที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้งมากับมือหลังจากสั่งปลดนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอสส. ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลางอากาศ
    
     ความคาดหวังต่อ อสส. คนใหม่ คือ ต้องแอคชั่นเต็มสตรีม เคียงคู่ไปพร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ซึ่งประกาศลั่นว่า รัฐบาลและคสช.ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในทุกหัวข้อของการปฏิรูป ถือเป็นวาระแห่งชาติและเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิรูปประเทศอย่างที่คนไทยทุกคนต้องการ
        
นายตระกูล วินิจฉัยภาค อสส.คนใหม่ที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามารับหน้าที่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติของประเทศ จะต้องโชว์ฝีมือโชว์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคสช. ไม่ได้เลือกคนผิด และเขาคนนั้นพร้อมที่จะเป็นมือไม้สำคัญในการทำคดีของรัฐและลุยล้างทุจริตคอร์รัปชั่นโดยไม่เลือกหน้า
      
   แต่ที่ไหนได้ ยังไม่ทันไรก็ตอกย้ำความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมต่อฐานะและตำแหน่ง ของ อสส. ในการทำคดีนักการเมืองจากตระกูลชินวัตร ซึ่งเวลานี้นายตระกูล วินิจฉัยภาค ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุผลที่อสส.ไม่สั่งฟ้องคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว 3 ข้อหลักนั้น ละม้ายคล้ายกับข้อแก้ต่างของทนายความนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ผิดเพี้ยน 
     
    ป.ป.ช.นั้น เชื่อมั่นในผลการไต่สวนคดีและมีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เรื่องละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท และส่งเรื่องให้อสส.สั่งฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 
     
    แต่เมื่อถึงกำหนดวันชี้เป็นชี้ตาย 4 ก.ย. 2557 คณะทำงานของอัยการสูงสุด กลับมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสำนวนคดีของป.ป.ช.ยังมีข้อไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาใน 3 ประเด็น คือ
     
    1.ควรรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ความชัดว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการที่จะยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาแล้วหรือไม่
     
    2.เรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ควรทำการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐาน ให้สิ้นกระแสความว่า ภายหลังจากที่โครงการรับจำนำข้าวถูกท้วงติงจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตหรือไม่ อย่างไร ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร
       
  3.เรื่องการทุจริต ควรไต่สวนพยานเพิ่มเติมให้ได้ความว่า พบการทุจริตในขั้นตอนใดและมีการทุจริตอย่างไร และมีการกล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ว่า โครงการดังกล่าวมีการทุจริตและมีความเสียหายจำนวนมาก แต่ในสำนวนการไต่สวนปรากฏว่า มีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น
   
      ไม่ใช่แต่ อสส. คนใหม่ ที่ คสช. เลือกมากับมือเท่านั้นที่สังคมตั้งคำถาม นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงานในการพิจารณาคดีที่มีมติไม่สั่งฟ้องคดี ก็มีข้อน่าสังเกตด้วยเช่นกัน เพราะรองอัยการสูงสุดคนนี้ มีผลงานเอกอุในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในตำแหน่งคณะกรรมการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ ธนาคารออมสิน ที่เคยอนุมัติเงินกู้ยืมให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำไปใช้แก้ไขปัญหาขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าว จนมีกระแสต่อต้านและถอนเงินออกจากธนาคารออมสินนับแสนล้านบาท
       
  รองอัยการสูงสุดคนเดียวกันนี้ ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 12 ในช่วงเดือนมี.ค.-ก.ค. 2554 ก่อนที่ประธานรุ่นจะเข้าสู่สนามการเมืองจนเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
       
  หลังจาก อสส. สั่งไม่ฟ้องและขอให้ตั้งคณะทำงานร่วม นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีโครงการรับจำนำข้าว ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. จึงแถลงยืนยันอย่างมั่นใจว่า ไม่มีหลักฐานเลื่อนลอยเด็ดขาด 
       
  “...เราพยายามทำสำนวนเพื่อให้ได้พยานหลักฐานและเป็นการเชื่อมโยงอย่างแท้จริง ฉะนั้นเราไม่สู้จะแปลกใจเท่าไหร่ที่ อสส. แถลงออกไป ที่บอกว่าพยานหลักฐานยังไม่พอ เพราะท่านยังไม่เห็นข้อมูลในมือของเรา มีความเชื่อมโยงให้เห็นภาพอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี เราก็เห็นใจท่านอัยการสูงสุด เพราะว่าขณะนี้สถานะท่านง่อนแง่น อย่าไปรุกล้ำท่านมากเลย น่าเห็นใจท่านจริงๆ ....” นายวิชา กล่าว 
      
   นายวิชา ยังอธิบายความเพิ่มเติมที่ว่า อสส.ง่อนแง่นเพราะคนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะ อสส.คนเก่า ก็ถูกถอดกลางอากาศ ซึ่งเราก็ต้องเห็นใจเขา และตอนนี้กรรมการ ป.ป.ช. ก็สวดมนต์ให้ทุกวัน ขอให้ อสส.อยู่รอดปลอดภัย
      
   สำหรับ 3 ประเด็นที่ อสส. ระบุว่ายังไม่สมบูรณ์นั้น นายวิชา อธิบาย ดังนี้ 1.การรวบรวมพยานหลักฐานเรื่องนายกรัฐมนตรีมีอำนาจระงับยับยั้งนโยบายที่แถลงกับสภาหรือไม่นั้น หลักฐานครบถ้วนอยู่แล้ว
      
   2.เรื่องที่ว่าให้รวบรวมพยานหลักฐานว่า ภายหลังโครงการรับจำนำข้าวถูกท้วงติงนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินการตรวจสอบป้องกันการทุจริตหรือไม่ เรื่องนี้ตรวจสอบครบถ้วนแล้ว
      
   “ส่วนเรื่องที่ 3.ทุจริตขั้นตอนใด อย่างไรนั้น ถ้าท่านเห็นที่จะส่งตามไปอีก ท่านคงจะอ่านไม่ทัน กลัวท่านเป็นลมล้มคว่ำไป เพราะว่ามันเหลือกำลังรับจริง ๆ ต้องบอกว่าประเทศนี้ เมืองนี้ มันสุดยอดแล้ว ท่านที่เคารพทั้งหลาย ที่มานั่งแถลงข่าวอยู่ได้ทุกวันนี้ก็บุญนักหนาแล้ว เพราะว่าไม่อย่างนั้นคงไม่มีกองกำลังติดอาวุธมายิง กรรมการ ป.ป.ช. จนหนีหัวซุกหัวซุน เป็นประวัติศาสตร์ และก็เรื่องรวบรวมโครงการวิจัยของ TDRI ความจริงแล้วมีอยู่ในพยานหลักฐานที่ท่านมาเบิกความไว้จนหมดแล้ว” นายวิชา กล่าว
        
โฆษก ป.ป.ช. ยังยกข้อตกลงที่เคยทำกันไว้กับอสส.ว่า ถ้ามีข้อมูลอะไรไม่ครบถ้วนก็ขอมาได้ไม่ต้องตั้งคณะทำงานร่วมอะไรหรอก “แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ตนกับท่านประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการทั้งหลาย ตอนนี้พูดกันตรงๆ ว่า เราสวดมนต์ทุกวันให้อัยการสูงสุด อยู่รอดปลอดภัย....” 
        
เจอไม้เด็ดจากป.ป.ช. ทาง อสส.ต้องขอเคลียร์ จากท่าทีที่โยกโย้โดยไม่รู้ว่าขั้นตอนในการรวบรวมพยานหลักฐานจะใช้เวลานานแค่ไหนจะเสร็จสิ้นเมื่อใดก่อนที่คณะกรรมการร่วมจะลงมติว่าจะฟ้องต่อศาลฎีกาฯ หรือไม่ ก็กลับลำจะเร่งรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมอย่างรอบคอบและรวดเร็ว โดยนายตระกูล ได้พูดคุยกับนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ในงาน “HAND IN HAND ปฏิรูปการต่อสู้ เพื่อชัยชนะ อย่างยั่งยืน” เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2557 เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานเปิดงาน 
        
ขณะนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และ อสส. ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันแล้วเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยคณะทำงานผู้แทนอัยการสูงสุด มีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ ส่วนคณะผู้แทนคณะกรรมการป.ป.ช. มีนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหัวหน้าคณะ จากนี้ทั้งสองฝ่ายจะประชุมร่วมเพื่อพิจารณาข้อที่ไม่สมบูรณ์และรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีต่อไป แต่หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจฟ้องคดีเอง
      
   การสั่งฟ้องไม่ฟ้องคดีโครงการทุจริตรับจำนำข้าวต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ไม่ใช่แค่ อสส. เท่านั้นที่ถูกจับตามองด้วยว่าแก้ต่างให้และยื้อคดีออกไป แม้แต่ ท่าทีของ คสช. ก็ถูกจับตามองเช่นกัน ดังที่นายสมบัติ ธำรงธัญวงค์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ตั้งข้อสังเกต
      
   “จะต้องจับตาดูท่าทีคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่า จะพูดจริง ทำจริง เรื่องการปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชันเหมือนอย่างที่สัญญาเอาไว้หรือไม่ ถ้าคสช.ไม่ทำคดีนี้ให้เป็นตัวอย่าง ก็แสดงถึงเจตนาที่แท้จริงว่า คสช. ไม่ตั้งใจเข้ามาแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันตั้งแต่แรก”
         
         


กำลังโหลดความคิดเห็น