รายงานการเมือง
งานนี้ไม่ใช่รัฐประหารแล้วแยกย้ายกันไปแบบเซตซีโร่กันใหม่ เพราะความพังพินาศอันเกิดจากนโยบายโคตรประชานิยมอย่าง “โครงการรับจำนำข้าว” ได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างมโหฬารบานตะไทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หนำซ้ำยังมีชาวนาต้องสังเวยชีวิตคิดสั้นด้วยเพราะโดนพิษโครงการหมายเลขหนึ่งของ “พรรคเพื่อไทย” ไปมิน้อย ขณะที่บางคนยังเป็นหนี้สินพะรุงพะรังกันมาจนถึงวันนี้ เช่นเดียวกับกองข้าวขนาดภูเขาหลายลูกทอดยาวที่นับวันจะเสื่อมถอยด้อยทั้งคุณภาพและราคาซึ่งยังระบายขายกันไม่ออก จนชาติเกือบต้องล่มจม โชคดีที่ยังมีคนมากอบกู้ได้ทัน สืบเนื่องจากความคึกคะนองต้องการให้คนหลงไหลเทใจเทคะแนนเข้าตัวของพรรคการเมือง
จะปล่อยให้วิน-วิน ลืมๆ กันไป แบบไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจึงทะแม่งๆ ลักลั่นเกินไป
แต่ต้องลากคอขบวนการเหลือบไรผู้ทำลายระบบ ทำลายกลไกตลาดข้าว และสร้างความป่นปรี้มหาศาลมาเซ่นสังเวยให้ได้ โดยเฉพาะผู้บงการ และผู้ปฏิบัติ
ตามห้วงเวลาที่มาถึงคิวลุ้นระทึกกันทุกวินาที ว่าจุดจนทางการเมืองจะซ้ำรอยพี่ชาย “นายห้างดูไบ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องระเหเร่รอนเป็นสัมภเวสีอยู่นอกประเทศ ด้วยเพราะน้ำมือของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ สำหรับ “ปูกรรเชียง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
หลังจากล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สะบัดปากการับรองสำนวน กรณีชี้มูลความผิด “ปูกรรเชียง” ละเลยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท แล้วส่งไม้ต่อไปให้ “อัยการสูงสุด” (อสส.) ในบทบาท “ทนายแผ่นดิน” พิจารณาส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เรียกว่า พยานหลักฐานที่ ป.ป.ช.บรรจงเสิร์ฟให้ อสส.งวดนี้ มีมากมายมหาศาล 30 แฟ้ม จำนวนกว่า 4,000 หน้า ชนิดทำกันมาแน่นปึ้ก แน่นประเภทที่ว่า ต้องผ่านการค่อนแคะ ติติง ถากถางมาเยอะ เพราะไต่สวนกันมาเป็นเวลานาน กว่าจะชี้มูลกันได้ใช้ก็เวลานานเป็นปี จนความเสียหายขยายอาณาจักรถ้วนทั่วประเทศ
หวังเอาชัวร์ใส่พายถวายให้ อสส.รับลูกได้เลย ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งตั้งคณะทำงานร่วมอัยการ-ป.ป.ช.เหมือนกับคดีอื่นๆ ที่ทำกันจนรากเหง้า
คราวนี้ เมื่อมาถึงจุดนี้ ขั้นตอนนี้ ก็ผลัดไม้มาถึงคิวพิสูจน์ อสส.กันบ้างว่าจะขับเคลื่อนคดีมหากาพย์การเมืองไทยคดีนี้อย่างไร หลังจาก ป.ป.ช.พิสูจน์ให้เห็นก่อนแล้วว่า ไม่ใช่มวยล้มต้มคนดู แต่ออกมาในทำนองช้าแต่ชัวร์ ซึ่งก็เป็นห้วงเวลาที่พอดิบพอดีในจังหวะที่สังคมกำลังจ้องมองการทำงานของ อสส.ในยุคปฏิรูป สังคายนา ล้างบางวงจรอุบาทว์ว่าจะผิดแปลกจากเดิมไปหรือยัง หรือจะยังเหมือนเดิม นิ่งอยู่กับที่อยู่
โดยหลังจากรับสำนวนจากมือ ป.ป.ช.แล้ว ตามขั้นตอน อสส.จะมีเวลา 30 วัน ในการตรวจสอบสำนวนว่า พร้อมหรือยังที่จะส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯ หรือยังจะต้องไต่สวนพยานเพิ่มเติมเพื่อทำให้สำนวนมันสมบูรณ์กว่าเก่า ซึ่งมีเวลาอีกขยักละ 14 วัน ให้ขยายได้
จุดนี้เองที่น่ากังวล เพราะหากยังเป็น อสส.ยุคก่อนหน้านี้ แทบจะเชื่อขนมกินได้ว่า มีต่อขยายกันอีกหลายรอบแน่ หนำซ้ำยังต้องรอเอยด้วยการตั้งคณะทำงานร่วมกับ ป.ป.ช.เพื่อมาพิจารณากันอีก ซึ่งกินเวลาหลายปีดีดัก ชนิดกว่าจะส่งฟ้องกันได้ผู้กระทำความผิดเดินออกไปเอ้อระเหยลอยชายกันสบายใจเฉิบ
หนนี้จึงเป็นการพิสูจน์ อสส.อย่างแท้จริงทีเดียว ในยุคที่มีการเปลี่ยนหัวขบวนในองค์กรกันใหม่เพื่อเรียกความเชื่อมั่น เนื่องจากที่ผ่านมา อสส.เป็นหนึ่งในองค์กรที่ถูกมองว่า อ่อนแอ และฝ่ายการเมืองสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ง่ายที่สุดองค์กรหนึ่ง และมีหลายครั้งที่บางคดีต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้ามาแล้วนับไม่ถ้วน
ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจึงมีความเชื่อมั่นว่า อสส.ยุคใหม่จะอาศัยคดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนและเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับมาสู่องค์กรได้ โดยเฉพาะเรื่องแรกที่โดนกระตุกต่อมท้าทายก่อนเลย หลังจาก “นรวิชญ์ หล้าแหล่ง” ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก “ปูกรรเชียง” ร้องให้ อสส.สอบพยานเพิ่มจำนวนเกือบครึ่งร้อยคน เรียกว่า แทบจะเปิดโกดังขนกันมาเป็นพยานให้
หลายฝ่ายจึงจับตาอย่างมากว่า อสส.จะบ้าจี้ตามไปด้วยหรือไม่ หรือจะหนักแน่นอย่าง ป.ป.ช.ที่ไม่ให้คือไม่ให้ แล้วถ้ายังออกลูกตื๊อไม่เลิก มีสิทธิ์จะโดนเล่นงานทางกฎหมายด้วย
เพราะถ้าดูกันตามเนื้อผ้า หน้าเสื่อ จากสำนวนที่ ป.ป.ช.ส่งมาให้ แทบจะสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว หรือหากจะขาดก็คงเป็นจุดเล็กๆน้อยๆ ที่ต้องปรับเสริมเพิ่มเติมเข้าไปให้หมดจด บวกลบคูณหารไม่น่าจะต้องใช้เวลาถึงกับเป็นปีๆ ยกเว้น อสส.ยังเป็น อสส.ไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน นอกจากจะต้องลุ้นให้ อสส.ใช้เวลาไม่นานในการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ยังต้องแอบชะเง้อมองด้วยว่า อสส.จะส่งฟ้องในคดีแพ่งด้วยหรือไม่ เพราะในสำนวนที่ป.ป.ช.ประทับตราส่งให้ มีเรื่องของความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาทอยู่ด้วย ซึ่งโดยปกติทั่วไป หลายคดีต้องมีการฟ้องแพ่ง แต่หากปรากฎว่า สุดท้ายฟ้องแต่คดีอาญาอย่างเดียวแบบเพียวๆ นั่นเท่ากับว่า “ปูกรรเชียง” จะต้องรับกรรมรับโทษตามกฎหมาย แต่ไม่ต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นเลยสักบาท
อุปมาอุปไมยได้เลยว่า งานนี้น้ำพริกละลายน้ำเกลี้ยงไม่เหลือหลอ
ต่อไปใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ไม่มีความยำเกรง คิดของเล่นใหม่ๆ มาผลาญเงินชาติเพื่อคะแนนนิยมตัวเองกันอยู่ได้เรื่อยๆ ฉะนั้นต้องชั่งตวงให้ดีสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานสืบไปภายภาคหน้า รัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศจะได้ไม่ชุบมือเปิบ ใช้เงินเติบมือกันอีกโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมอีก
ถือเป็นคดียักษ์คดีแรกในมือ อสส.ยุคใหม่ที่พยายามเน้นความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ หลังจากต้องอยู่ในวังวนและดินแดนสนธยามาช้านาน ตามจังหวะได้พิสูจน์ฝีมือและความเป็นมืออาชีพกันแล้ว
“ทนายแผ่นดิน” ต้องท่องจำให้ขึ้นใจอยู่เสมอ ความล่าช้าคือ ความอยุติธรรม!!!