ASTVผู้จัดการรายวัน-คณะอนุกรรมการจริยธรรมฟันธงแพทย์ 3 ราย กรณีอุ้มบุญ "น้องแกรมมี่และชิเกตะ" มีมูลความผิดตามระเบียบข้อบังคับของแพทยสภาจริง ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจพิจารณาต่อ คาด 1-2 เดือนได้ข้อสรุป ส่วนแม่เด็กอุ้มบุญที่เชียงราย เผ่นหายไม่มาให้นมลูก
ผู้สื่อข่าวรายงาน วานนี้ (11 ก.ย.) มีการประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ โดยมี พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร เป็นประธาน ซึ่งได้มีการพิจารณาหลักฐานและการสอบสวนแพทย์จำนวน 3 ราย ประกอบด้วยแพทย์จากคลินิกเอสเออาร์ที 2 ราย คือ แพทย์ผู้ดำเนินการอุ้มบุญเคสน้องแกรมมี่ และแพทย์ที่เป็นเจ้าของคลินิก ส่วนอีกรายคือ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟ ที่ดำเนินการอุ้มบุญเคสนายชิเกตะ พ่ออุ้มบุญชาวญี่ปุ่น ตามที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ส่งรายชื่อว่าเข้าข่ายกระทำผิดตามระเบียบข้อบังคับของแพทยสภา เรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งแพทย์ทั้ง 3 รายได้เดินทางมารายงานตัวและให้ถ้อยคำด้วยตนเอง
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า คณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ ได้สรุปว่า จากหลักฐานทั้งหมดถือว่ามีมูลตามคำร้อง และจะส่งหลักฐานทั้งหมดให้คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ ที่มี นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา เป็นประธานการสอบสวนได้สอบสวนต่อไป ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากกว่านี้ เพราะอยู่กระบวนการสอบสวน ขอเวลาให้คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจได้ทำงานก่อน
"กระบวนการทำงานคณะอนุกรรมการฯ จะพิจารณาจากหลักฐานทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีหลายร้อยหน้าด้วยกัน และจะพิจารณาทุกประเด็นอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการปฏิบัติวิชาชีพ การโฆษณา โดยระหว่างนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็สามารถเรียกผู้ถูกสอบสวนมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมได้ คงต้องให้เวลาคณะอนุกรรมการฯ ทำงานก่อน คาดว่าไม่เกิน 1-2 เดือนน่าจะได้ข้อสรุป"
ส่วนความคืบหน้ากรณี น.ส.ป๋อง (นามสมมติ) แม่อุ้มบุญ คลอดลูกที่โรงพยาบาลชื่อดังของ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นได้ออกจากโรงพยาบาลไป และระบุชื่อนายชิเกตะ มิตสุโตกิ ชาวญี่ปุ่น เป็นบิดาในใบแจ้งเกิด ซึ่งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงแห่งมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เชียงราย ได้ขอให้โรงพยาบาลดูแลเด็กจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ป๋องไม่มาให้นมลูกแต่อย่างใด ขณะที่ทารกไม่พร้อมรับนม แพทย์จึงได้ให้อาหารพิเศษสำหรับทารกแทน ขณะที่สุขภาพของเด็กไม่ค่อยสมบูรณ์ ต้องให้อยู่ในตู้อบ โดยมีน้ำหนักเพียงแค่ 1,740 กรัม
นายปรีดา กุณามา พมจ.เชียงราย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ พม. ได้พยายามตามหาตัว น.ส.ป๋อง เพื่อจะได้สอบถามข้อมูล เนื่องจากเป็น 1 ใน 9 รายที่อยู่ในกรณีได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ยังไม่พบ เมื่อให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามบิดาของน.ส.ป๋อง ที่อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ทราบว่าไม่รู้เรื่อง เพิ่งจะรู้หลังจากลูกสาวตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน เมื่อสอบถามถึงเด็กที่คลอดออกมา ทางบิดาของน.ส.ป๋อง ยืนยันว่าอยากได้มาเป็นหลาน โดยจะรับเลี้ยงเองด้วย
"ตอนนี้ทำได้เพียงขอให้โรงพยาบาลดูแลเด็กไปก่อน หากแข็งแรงจนถึงขั้นที่ทางทนายความพ่อชาวญี่ปุ่น จะนำตัวออกไปเลี้ยงดูเองนั้น ก็ต้องขอทราบเหตุผล ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะคุ้มครองเด็ก ผู้ว่าราชการจังหวัด และพม. ขอความเห็นของแพทย์ที่ดูแลว่าสมควรหรือไม่ เพราะเด็กอยู่ในความคุ้มครองตามกฎหมาย โดยจะปฏิบัติตามระเบียบเพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องกันภายหลัง"
นายปรีดากล่าวว่า ตอนนี้ทารกมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เข้าห้องอบ อาการถือว่ายัง 50:50 แพทย์ระบุว่าต้องให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2,000 กรัม เพราะปกติเด็กจะสมบูรณ์มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,500 กรัมขึ้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงาน วานนี้ (11 ก.ย.) มีการประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ โดยมี พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร เป็นประธาน ซึ่งได้มีการพิจารณาหลักฐานและการสอบสวนแพทย์จำนวน 3 ราย ประกอบด้วยแพทย์จากคลินิกเอสเออาร์ที 2 ราย คือ แพทย์ผู้ดำเนินการอุ้มบุญเคสน้องแกรมมี่ และแพทย์ที่เป็นเจ้าของคลินิก ส่วนอีกรายคือ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟ ที่ดำเนินการอุ้มบุญเคสนายชิเกตะ พ่ออุ้มบุญชาวญี่ปุ่น ตามที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ส่งรายชื่อว่าเข้าข่ายกระทำผิดตามระเบียบข้อบังคับของแพทยสภา เรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งแพทย์ทั้ง 3 รายได้เดินทางมารายงานตัวและให้ถ้อยคำด้วยตนเอง
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า คณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ ได้สรุปว่า จากหลักฐานทั้งหมดถือว่ามีมูลตามคำร้อง และจะส่งหลักฐานทั้งหมดให้คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ ที่มี นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา เป็นประธานการสอบสวนได้สอบสวนต่อไป ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากกว่านี้ เพราะอยู่กระบวนการสอบสวน ขอเวลาให้คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจได้ทำงานก่อน
"กระบวนการทำงานคณะอนุกรรมการฯ จะพิจารณาจากหลักฐานทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีหลายร้อยหน้าด้วยกัน และจะพิจารณาทุกประเด็นอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการปฏิบัติวิชาชีพ การโฆษณา โดยระหว่างนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็สามารถเรียกผู้ถูกสอบสวนมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมได้ คงต้องให้เวลาคณะอนุกรรมการฯ ทำงานก่อน คาดว่าไม่เกิน 1-2 เดือนน่าจะได้ข้อสรุป"
ส่วนความคืบหน้ากรณี น.ส.ป๋อง (นามสมมติ) แม่อุ้มบุญ คลอดลูกที่โรงพยาบาลชื่อดังของ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นได้ออกจากโรงพยาบาลไป และระบุชื่อนายชิเกตะ มิตสุโตกิ ชาวญี่ปุ่น เป็นบิดาในใบแจ้งเกิด ซึ่งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงแห่งมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เชียงราย ได้ขอให้โรงพยาบาลดูแลเด็กจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ป๋องไม่มาให้นมลูกแต่อย่างใด ขณะที่ทารกไม่พร้อมรับนม แพทย์จึงได้ให้อาหารพิเศษสำหรับทารกแทน ขณะที่สุขภาพของเด็กไม่ค่อยสมบูรณ์ ต้องให้อยู่ในตู้อบ โดยมีน้ำหนักเพียงแค่ 1,740 กรัม
นายปรีดา กุณามา พมจ.เชียงราย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ พม. ได้พยายามตามหาตัว น.ส.ป๋อง เพื่อจะได้สอบถามข้อมูล เนื่องจากเป็น 1 ใน 9 รายที่อยู่ในกรณีได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ยังไม่พบ เมื่อให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามบิดาของน.ส.ป๋อง ที่อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ทราบว่าไม่รู้เรื่อง เพิ่งจะรู้หลังจากลูกสาวตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน เมื่อสอบถามถึงเด็กที่คลอดออกมา ทางบิดาของน.ส.ป๋อง ยืนยันว่าอยากได้มาเป็นหลาน โดยจะรับเลี้ยงเองด้วย
"ตอนนี้ทำได้เพียงขอให้โรงพยาบาลดูแลเด็กไปก่อน หากแข็งแรงจนถึงขั้นที่ทางทนายความพ่อชาวญี่ปุ่น จะนำตัวออกไปเลี้ยงดูเองนั้น ก็ต้องขอทราบเหตุผล ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะคุ้มครองเด็ก ผู้ว่าราชการจังหวัด และพม. ขอความเห็นของแพทย์ที่ดูแลว่าสมควรหรือไม่ เพราะเด็กอยู่ในความคุ้มครองตามกฎหมาย โดยจะปฏิบัติตามระเบียบเพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องกันภายหลัง"
นายปรีดากล่าวว่า ตอนนี้ทารกมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เข้าห้องอบ อาการถือว่ายัง 50:50 แพทย์ระบุว่าต้องให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2,000 กรัม เพราะปกติเด็กจะสมบูรณ์มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,500 กรัมขึ้นไป
