xs
xsm
sm
md
lg

หมายเรียก"ชิเกตะ" ดีเอ็นเอยันพ่อเด็ก9คน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ทีมคลี่คลายคดีอุ้มบุญ เผยผลตรวจดีเอ็นเอระบุชัด "ชิเกตะ" เป็นพ่อเด็กทั้ง 9 คนจริง เตรียมออกหมายเรียกมาให้ปากคำในฐานะพยาน ส่วนการนำเด็กออกนอกประเทศก่อนหน้านี้ ยังไม่พบเข้าข่ายค้ามนุษย์ สธ.บุกตรวจคลีนิกอุ้มบุญย่านปทุมวัน พบให้คำปรึกษาคนมีบุตรยาก และรับทำอุ้มบุญด้วย แต่ยังปิดไม่ได้ เหตุขออนุญาตถูกต้อง ส่วนผลสอบแพทย์อุ้มบุญ คาดสรุปเสนอคณะกรรมการแพทยสภา ก.ย.นี้

วานนี้ (20 ส.ค.) เวลา 12.00น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ได้เรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวนนครบาล 4 และนครบาล5 พร้อมด้วยตัวแทนจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีอุ้มบุญ

พล.ต.ท.ก่อเกียรติ กล่าวว่า ที่ประชุมสรุปว่าหากพบผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย จะดำเนินการร้องทุกข์ เพื่อดำเนินคดีทุกข้อหาและทุกเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กและแม่ที่รับอุ้มบุญ โดยได้เตรียมออกหมายเรียกนายชิเกตะ มิตซึโตะกิ ชาวญี่ปุ่น อายุ 24 ปี ในฐานะพยาน เพราะยังไม่พบความผิด ส่วนนพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟ ที่เกี่ยวข้องกับการทำอุ้มบุญ ที่ถูกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพแจ้งความผิดสถานพยาบาล มีกำหนดพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ โดยเชื่อว่า จะเข้าพบตามกำหนด สำหรับสำนวนการสอบสวนของสน.ลาดพร้าวได้ส่งให้สน.ลุมพินีดำเนินการต่อ คาดว่าสำนวนการสอบสวนและแล้วเสร็จภายใน 30 วัน

ส่วนผลการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างดีเอ็นเอของนายชิเกตะ มิตซึโตะกิ กับเด็กทารก 9 คน ที่เกิดจากแม่อุ้มบุญ เบื้องต้นพบว่าเป็นดีเอ็นเอที่ตรงกัน ยืนยันเบื้องต้นได้ว่านายชิเตกะเป็นพ่อเด็กทั้ง9 คน ซึ่งสามารถเชื่อถือและยอมรับได้ ส่วนที่นายชิเกตะจะมาตรวจด้วยตัวเองหรือไม่ ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญ คือ มีการนำเด็กทั้งหมดไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบเด็กที่เดินทางออกนอกประเทศไปก่อนนี้ ไม่พบว่าเอาเด็กไปในทางเสียหายหรือทำไม่ดี ยังไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์

พล.ต.ท.ก่อเกียรติกล่าวว่า ตอนนี้ทางกองการต่างประเทศได้ประสานประเทศที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ เพื่อขอข้อมูล ซึ่งแต่ละประเทศได้ตอบรับในหลักการแล้ว และจากการตรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง ยังไม่พบการปลอมแปลงแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้ หากนายชิเกตะต้องการนำเด็กอุ้มบุญออกไปยังต่างประเทศ จะต้องได้รับความยินยอมจากมารดาของเด็กหรือร้องต่อศาล ส่วนเด็กทั้งหมดขณะนี้อยู่ในการดูแลของ พม. แล้ว

***ตรวจคลินิกรับทำอุ้มบุญย่านปทุมวัน

น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนการบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย นพ.ภัทรพล จึงสงเจตไพศาล ผู้ช่วยอธิบดี สบส. พร้อมคณะ เดินทางเข้าตรวจสอบคลินิก Safe Fertility Center สถานพยาบาลเฉพาะด้านสูตินารีแพทย์ ตั้งอยู่ ชั้น 17 อาคาร อัมรินทร์ทาวเวอร์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพ

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า จากกการตรวจสอบพบว่าสถานพยาบาลแห่งนี้ เปิดรักษาสำหรับผู้ที่มีบุตรยาก บริการมาแล้วกว่า4-5ปี แพทย์ที่ให้การรักษาก็มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการรักษาจะมีทั้งการทำกิ๊ฟ หรือให้ตัวยาสำหรับผู้ที่มีบุตรยาก ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แต่ก็มีการรับทำอุ้มบุญด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ที่เข้าการรักษาจะมีประมาณ 1 พันรายต่อปี แต่ผู้ที่ทำอุ้มบุญมีประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็น 30 คน

การทำอุ้มบุญ ส่วนใหญ่จะเป็นการอุ้มบุญของชาวต่างชาติที่ใช้หญิงไทยเป็นผู้รับการตั้งครรภ์ โดยเมื่อตรวจสอบแล้ว มีการจดทะเบียนในการเปิดคลินิกอย่างถูกกฎหมาย ภายในมีแพทย์ประจำอยู่ 1 คน มีใบอนุญาตถูกต้อง และถือว่ามีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มากที่สุดตั้งแต่ที่ตรวจพบมา แต่จะยังไม่มีการปิดคลินิกแห่งนี้ เนื่องจากมีการเปิดอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความผิดใน พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 ตามมาตรา 34 (2) ไม่ควบคุมและดูแลให้แพทย์ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในสถานพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ต้องโทษระวางจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งภายหลังจากนี้จะมีการแจ้งความร้องทุกข์กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบเว็บไซต์ Safe Fertility Center http://www.safefertilitycenter.com พบว่าสถานบริการดังกล่าวมี 3 สาขา คือ สาขาอัมรินทร์ สาขารามอินทรา และสาขาภูเก็ต โดยสาขาอัมรินทร์ เมื่อตรวจสอบเวลาออกตรวจในเว็บไวต์พบว่ามีแพทย์ผู้ดำเนินการ 3 ราย และพบว่า อาคารอัมรินทร์ทาวเวอร์ ยังมีบริษัทที่มีการโฆษณาในเว็บไซต์ว่ารับปรึกษาสำหรับผู้มีบุตรยากด้วย และอาจเข้าข่ายลักษณะของเอเยนซีที่จัดหาแม่อุ้มบุญ ซึ่งในการสอบสวนจะต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ทำการออกหมายตรวจค้นและสอบสวนต่อไป

***คาดสอบแพทย์อุ้มบุญเสร็จก.ย.นี้

พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ แพทยสภา กล่าวว่า ขณะนี้ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อกำหนดกรอบแนวทางการทำงาน คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในการรวบรวมหลักฐานและสอบปากคำแพทย์ตามรายชื่อที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ตรวจพบว่าดำเนินการผิดมาตรฐานที่แพทยสภากำหนด ซึ่งขณะนี้ทั้งกรณีน้องแกรมมี่ และ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออล ไอวีเอฟ ได้ถูกส่งเรื่องเข้ามายังคณะอนุกรรมฯ เรียบร้อยแล้ว จากนี้จะทำการเรียกแพทย์ตามรายชื่อมาสอบปากคำให้เร็วที่สุด คาดว่าการประชุมคณะกรรมแพทยสภาในเดือนก.ย. จะสามารถส่งเรื่องต่อไปยังคณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ พิจารณาลงโทษต่อไป

นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวถึงกรณีการตั้งข้อสังเกตการอุ้มบุญเด็ก 21 ราย ที่พบในคอนโดย่านลาดพร้าว อาจเป็นการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงรับจ้างตั้งครรภ์โดยตรงว่า ตามประกาศแพทยสภา ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจะประสบปัญหาความวุ่นวายตามมา โดยเฉพาะสิทธิในตัวเด็กหลังการคลอด ทั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงข้อสังเกต แต่หากตรวจสอบพบว่าเป็นความจริงก็จะถือว่าผิดซ้ำซ้อน เพราะการฉีดเชื้ออสุจิของผู้ชายเข้าสู่มดลูกหญิงอื่น ถือเป็นการผสมเทียม ไม่ใช้การใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น