หน.คณะทำงานคดีอุ้มบุญ เร่งดำเนินงานด้านเอกสาร ก่อนประสานทางการญี่ปุ่นเพื่อนำเจ้าของน้ำเชื้อทารกอุ้มบุญ มาสอบปากคำ รอหลักฐานก่อนแจ้งข้อหาค้ามนุษย์หรือไม่ ตัวแทนกระทรวงสธ.แจ้งจับหมอเจ้าของคลินิกออล ไอ วี เอฟ เปิดให้บริการอุ้มบุญขัดกม. พร้อมเรื่องให้แพทยสภาดำเนินการสอบฐานผิดจรรยาบรรณ คาด 1 สัปดาห์รู้ผล
วานนี้(14 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีอุ้มบุญ กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนว่า ได้ให้ทางสน.ลุมพินีสอบถามให้ชัดเจนเรื่องของผู้จ้างวานใช้จะมีความผิดพ.ร.บ.สถานพยาบาล หรือพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือเปล่า ส่วนโรงพักอื่นๆให้รวบรวมพยานหลักฐาน สอบพยานบุคคลว่าจะเข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง เรื่องการแจ้งความเท็จ การปลอมแปลงเอกสาร การพรากผู้เยาว์ ค้ามนุษย์ สำหรับบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อก็ต้องดูว่าเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ถ้าเข้าก็ดำเนินการไปด้วยทั้งหมดอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานแต่ที่ชัดเจน แล้วคือเรื่องของสถานพยาบาล
พล.ต.ท.ก่อเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนจะเชื่อมโยงไปเรื่องค้ามนุษย์หรือไม่ต้องอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อดูว่าเขาเอาเด็กไปทำอะไร ผิดตามองค์ประกอบการค้ามนุษย์หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเรื่องการนำเด็กไปว่าเอาไปทำอะไร ซึ่งถ้านายมิตสุโตกิ ชิเกตะ มาให้ปากคำเราก็จะได้ความจริงส่วนหนึ่งแต่ถ้าไม่มาตำรวจก็มีวิธีการทำให้ความจริงปรากฎ สำหรับตอนนี้ยังไม่มีการประสานงานกับทางการญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการดำเนินการด้านเอกสาร
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รองผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีอุ้มบุญ ย่านลาดพร้าวว่า นายมิตซึโตกิ ชิเกตะ อายุ 24 ปี ชาวญี่ปุ่น อ้างตนว่าเป็นผู้ปกครองเด็กอุ้มบุญ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานบุคคลและบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแม่เด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คนบางส่วนแล้ว อาจจะต้องมีการสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งหากการสอบปากคำพยานที่รู้เห็นทุกคน แล้วทราบว่ามีผู้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็น ทางเจ้าหน้าที่จะสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง ส่วนวันเวลาที่นัดพยานมาให้ปากคำนั้น ยังไม่ทราบว่าจะได้รับความร่วมมือหรือไม่
พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ เนื่องจากมีการผลิตเด็กขึ้นมาจำนวนมาก หากบุคคลที่ยืนยันว่าเป็นผู้ปกครองเด็กอุ้มบุญจริง จะต้องมาแสดงหลักฐาน หรือยินยอมให้ตรวจดีเอ็นเอ และหากมีหลักฐานยืนยันว่ากรณีอุ้มบุญมีความผิด ก็สามารถดำเนินการเอาผิดได้ หรือหากเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ก็สามารถให้กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์(บก.ปคม.)รับเรื่องไปตรวจสอบได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์ในกรณีดังกล่าว และยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการอุ้มบุญเกิดมาจากสาเหตุใด รวมทั้งในวันที่15ส.ค. เวลา 13.30น. จะมีการประชุมติดตามความคืบหน้ากรณีอุ้มบุญ ที่บช.น.อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ออกหมายเรียกชาวญี่ปุ่นที่อ้างตัวเป็นผู้ปกครองเด็กอุ้มบุญหรือไม่ พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า ขณะนี้อยูระหว่างการสืบสวน เพราะการออกหมายเรียกจะต้องตรวจสอบว่าผู้ถูกเรียกสามารถมาได้หรือไม่ ได้รับหมายเรียกหรือไม่ หรือรับทราบหรือไม่ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังผู้ปกครองของเด็กอุ้มบุญให้เข้าพบเท่านั้น
*** แจ้งจับหมอเจ้าของออลไอวีเอฟ
วานนี้ (14 ส.ค.) ที่สน.ลุมพินี พ.ต.อ.ชาตรี พินใย นิติกร ชำนาญการพิเศษ การสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.อ.เดชา พรมณสุวรรณ์ พงส.ผทค. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออล ไอ วี เอฟ ตั้งอยู่เลขที่53 อาคารศิวยาธรทาวเวอร์ แขวงลุมพินี เขตปทุวัน กทม. เนื่องจากพบว่าสถานพยาบาลดังกล่าวมีความไม่ถูกต้องตามประกาศ พ.ร.บ.ประกอบการสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ตามมาตรา 34 (2) เรื่องของผู้ประกอบการและมีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลยินยอมหรือมอบให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน เพราะให้การบริการการตั้งครรภ์จากหญิงอื่น ไม่เป็นไปตามที่แพทย์สภาได้กำหนด ว่าผู้ที่จะต้องมาตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นเครือญาติ โดยสายเลือด และจะต้องไม่มีการรับค่าจ้างใดๆ เเต่ที่นี่กลับยินยอมทำอุ้มบุญให้กับหญิงอื่นซึ่งไม่ใช่เครือญาติ
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เราได้เข้ามาตรวจสอบคลินิกดังกล่าวในชั้น 12เอ เเล้วครั้งหนึ่ง พบว่ามีใบอนุญาตในการประกอบสถานพยาบาลถูกต้อง เเต่ได้ตักเตือนไปเเล้วเกี่ยวกับความผิดที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย เพราะการดำเนินการเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์จะต้องขึ้นทะเบียนก่อน
เบื้องต้นก็จะดำเนินการสั่งปิดสถานพยาบาลดังกล่าว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสามารถดำเนินการเหล่านี้ตามกฎหมายมาตรา 50 เพราะถือว่าเป็นการทำให้เกิดอันตรายและเกิดความร้ายแรงต่อชีวิต ทั้งนี้จะฟ้องร้องแจ้งกับสถานพยาบาลดังกล่าวต่อไป โดยจะต้องมีโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ส่วนแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้มาตรฐานก็จะส่งให้แพทย์สภาตรวจสอบในส่วนของการผิดจริยธรรม เพื่อเข้าสู่กระบวนการเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของชั้น 15 นั้น พบว่าเป็นคลินิคเถื่อนไม่ได้จดทะเบียนตามพ.ร.บ.ประกอบสถานพยาบาล พ.ศ.2541 เเละไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับราชวิทยาลัยสูตินารีเเพทย์เเห่งประเทศไทยเลย ถือว่าผิดเต็มๆ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาทตนขอยืนยันว่า หลักฐานที่ได้นำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่สามารถเอาผิดกับสถานประกอบการดังกล่าวได้อย่างแน่นอน เพราะจากการตรวจสอบพบว่า นพ.พิสิฐ มีวุฒิบัตรซึ่งสามาราถใช้เปิดคลินิกสูตินารีแพทย์ทั่วไปได้ เพื่อรักษาหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป แต่ไม่มีวุฒิบัตรและใบรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทยในการทำเด็กหลอดแก้ว และไม่มีรายชื่อนพ.พิสิฐในการยื่นวุฒิบัตรนี้ด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรฐานของแพทสภา โดยคลินิกดังกล่าวได้เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 แล้ว ทั้งนี้ หลักฐานที่สามารถยืนยันเอาผิดกับสถานบริการได้ ขณะมีเพียง 1 แห่งเท่านั้น ส่วนสถานบริการเหลือกว่า 10 แห่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากแพทยสภาว่าเข้าข่ายการกระทำผิดหรือไม่
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 กล่าวว่า เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว โดยภายหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะดำเนินการเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบสวนเพิ่ม และยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดอีกครั้ง คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์จะสามารถออกหมายเรียก นพ.พิสิฐ และผู้เกี่ยวข้อง แต่หากตรวจสอบพบว่ามีความผิดจริงก็จะออกหมายจับทันที ส่วนในกรณีที่เกิดคำถามว่าในคลินิกนี้ได้ทำเด็กหลอดแก้วมากี่คนแล้วนั้นพล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่มีข้อมูล ต้องทำการสืบสวนเพิ่มเติมในต่อไป
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่าในกรณีนี้ต้องทำการสอบสวนก่อนถึงจะสามารถสรุปได้ว่ามีความผิดหรือไม มีความผิดในฐานใดบ้าง เมื่อถามว่าในกรณีการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้จ้างวานให้คลินิกกระทำการดังกล่าว มีความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่า ในกรณีนี้ต้องทำการสอบสวนก่อนถึงจะสามารถสรุปได้ว่ามีความผิดหรือไม่ มีความผิดในฐานใดบ้าง
พ.ต.อ.เดชา กล่าวว่า ในด้านการสอบสวนนั้น เบื้องต้น นำข้อมูลที่ได้จาก สน.ลาดพร้าว ทั้งหมดมาสรุปรวบรวมอีกครั้ง และจะเรียกแม่อุ้มบุญทั้งหมดและผู้ที่เกี่ยวข้องมาทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีกด้วย คาดว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์จะได้ข้อมูลเพิ่มเติม
*** ตั้งอนุฯกก.2ชุมสอบสวนกรณี”น้องแกรมมี่”
ขณะที่เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (14 ส.ค.) นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เรื่องปัญหาอุ้มบุญ ว่า การพิจารณาความผิดแพทย์ที่ทำอุ้มบุญ "น้องแกรมมี่" นั้น เนื่องจากมีข้อมูลปรากฏจากสื่อต่างๆ ชัดเจนที่มีแพทย์ 2 รายเข้าข่ายกระทำผิด คณะกรรมการแพทยสภามีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ 2 ชุด คือ 1.คณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ มี พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร เป็นประธาน และ 2.คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ มีตนเป็นประธาน เพื่อให้สามารถสอบสวนแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
ส่วนกรณีอื่นที่ปรากฏตามข่าว ยังมีความไม่ชัดเจน เช่น กรณีอุ้มบุญพ่อชาวญี่ปุ่น อาจต้องรอให้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สรุปเรื่องและส่งรายชื่อมายังแพทยสภาอีกครั้งว่า แพทย์คนใดเป็นผู้กระทำ โดยเบื้องต้นทราบว่า แพทย์ที่กระทำไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์ที่สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะขึ้นทะเบียนหรือไม่ แต่หากทำผิดเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา ก็ถือว่าได้กระทำผิด ต้องได้รับการสอบสวน
นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า สำหรับการปรับปรุงข้อบังคับแพทยสภา เรื่อง มาตรฐานการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น ห้ามโฆษณาว่า มีไข่บริจาคหรือมีหญิงที่ประสงค์จะเป็นผู้รับตั้งครรภ์แทน หรือ มีบุคคลที่ประสงค์จะให้หญิงอื่นเป็นผู้รับตั้งครรภ์แทน ห้ามทำในคู่สมรสเพศเดียวกันหรือไม่มีคู่สมรส ของแพทยสภา และห้ามไม่ให้แพทย์ร่วมมือกับนายหน้า หรือ เอเยนซีในการจัดทำการอุ้มบุญ โดยในที่ประชุมมีมติรับหลักการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถลงนามและประกาศใช้ได้หลังจากการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งต่อไปเดือนหน้า
“แพทยสภาเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ที่ผ่านการพิจารณาของ คสช.แล้ว แต่ยังต้องมีการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นที่สังคมกังวลคือ การเจ็บป่วยของเด็กอุ้มบุญ หรือ หญิงที่ตั้งครรภ์แทนต้องได้รับการดูแลอย่างไร เป็นต้น ซึ่งหากกฎหมายผ่านการพิจารณา ก็จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อออกเกณฑ์รายละเอียดต่อไป เนื่องจากร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุให้แพทยสภา กำหนดเกณฑ์รายละเอียดด้านการแพทย์ประมาณ 11 มาตรา” นพ.สัมพันธ์ กล่าว
วานนี้(14 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีอุ้มบุญ กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนว่า ได้ให้ทางสน.ลุมพินีสอบถามให้ชัดเจนเรื่องของผู้จ้างวานใช้จะมีความผิดพ.ร.บ.สถานพยาบาล หรือพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือเปล่า ส่วนโรงพักอื่นๆให้รวบรวมพยานหลักฐาน สอบพยานบุคคลว่าจะเข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง เรื่องการแจ้งความเท็จ การปลอมแปลงเอกสาร การพรากผู้เยาว์ ค้ามนุษย์ สำหรับบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อก็ต้องดูว่าเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ถ้าเข้าก็ดำเนินการไปด้วยทั้งหมดอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานแต่ที่ชัดเจน แล้วคือเรื่องของสถานพยาบาล
พล.ต.ท.ก่อเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนจะเชื่อมโยงไปเรื่องค้ามนุษย์หรือไม่ต้องอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อดูว่าเขาเอาเด็กไปทำอะไร ผิดตามองค์ประกอบการค้ามนุษย์หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเรื่องการนำเด็กไปว่าเอาไปทำอะไร ซึ่งถ้านายมิตสุโตกิ ชิเกตะ มาให้ปากคำเราก็จะได้ความจริงส่วนหนึ่งแต่ถ้าไม่มาตำรวจก็มีวิธีการทำให้ความจริงปรากฎ สำหรับตอนนี้ยังไม่มีการประสานงานกับทางการญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการดำเนินการด้านเอกสาร
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รองผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีอุ้มบุญ ย่านลาดพร้าวว่า นายมิตซึโตกิ ชิเกตะ อายุ 24 ปี ชาวญี่ปุ่น อ้างตนว่าเป็นผู้ปกครองเด็กอุ้มบุญ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานบุคคลและบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแม่เด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คนบางส่วนแล้ว อาจจะต้องมีการสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งหากการสอบปากคำพยานที่รู้เห็นทุกคน แล้วทราบว่ามีผู้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็น ทางเจ้าหน้าที่จะสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง ส่วนวันเวลาที่นัดพยานมาให้ปากคำนั้น ยังไม่ทราบว่าจะได้รับความร่วมมือหรือไม่
พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ เนื่องจากมีการผลิตเด็กขึ้นมาจำนวนมาก หากบุคคลที่ยืนยันว่าเป็นผู้ปกครองเด็กอุ้มบุญจริง จะต้องมาแสดงหลักฐาน หรือยินยอมให้ตรวจดีเอ็นเอ และหากมีหลักฐานยืนยันว่ากรณีอุ้มบุญมีความผิด ก็สามารถดำเนินการเอาผิดได้ หรือหากเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ก็สามารถให้กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์(บก.ปคม.)รับเรื่องไปตรวจสอบได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์ในกรณีดังกล่าว และยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการอุ้มบุญเกิดมาจากสาเหตุใด รวมทั้งในวันที่15ส.ค. เวลา 13.30น. จะมีการประชุมติดตามความคืบหน้ากรณีอุ้มบุญ ที่บช.น.อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ออกหมายเรียกชาวญี่ปุ่นที่อ้างตัวเป็นผู้ปกครองเด็กอุ้มบุญหรือไม่ พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า ขณะนี้อยูระหว่างการสืบสวน เพราะการออกหมายเรียกจะต้องตรวจสอบว่าผู้ถูกเรียกสามารถมาได้หรือไม่ ได้รับหมายเรียกหรือไม่ หรือรับทราบหรือไม่ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังผู้ปกครองของเด็กอุ้มบุญให้เข้าพบเท่านั้น
*** แจ้งจับหมอเจ้าของออลไอวีเอฟ
วานนี้ (14 ส.ค.) ที่สน.ลุมพินี พ.ต.อ.ชาตรี พินใย นิติกร ชำนาญการพิเศษ การสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.อ.เดชา พรมณสุวรรณ์ พงส.ผทค. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออล ไอ วี เอฟ ตั้งอยู่เลขที่53 อาคารศิวยาธรทาวเวอร์ แขวงลุมพินี เขตปทุวัน กทม. เนื่องจากพบว่าสถานพยาบาลดังกล่าวมีความไม่ถูกต้องตามประกาศ พ.ร.บ.ประกอบการสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ตามมาตรา 34 (2) เรื่องของผู้ประกอบการและมีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลยินยอมหรือมอบให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน เพราะให้การบริการการตั้งครรภ์จากหญิงอื่น ไม่เป็นไปตามที่แพทย์สภาได้กำหนด ว่าผู้ที่จะต้องมาตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นเครือญาติ โดยสายเลือด และจะต้องไม่มีการรับค่าจ้างใดๆ เเต่ที่นี่กลับยินยอมทำอุ้มบุญให้กับหญิงอื่นซึ่งไม่ใช่เครือญาติ
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เราได้เข้ามาตรวจสอบคลินิกดังกล่าวในชั้น 12เอ เเล้วครั้งหนึ่ง พบว่ามีใบอนุญาตในการประกอบสถานพยาบาลถูกต้อง เเต่ได้ตักเตือนไปเเล้วเกี่ยวกับความผิดที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย เพราะการดำเนินการเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์จะต้องขึ้นทะเบียนก่อน
เบื้องต้นก็จะดำเนินการสั่งปิดสถานพยาบาลดังกล่าว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสามารถดำเนินการเหล่านี้ตามกฎหมายมาตรา 50 เพราะถือว่าเป็นการทำให้เกิดอันตรายและเกิดความร้ายแรงต่อชีวิต ทั้งนี้จะฟ้องร้องแจ้งกับสถานพยาบาลดังกล่าวต่อไป โดยจะต้องมีโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ส่วนแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้มาตรฐานก็จะส่งให้แพทย์สภาตรวจสอบในส่วนของการผิดจริยธรรม เพื่อเข้าสู่กระบวนการเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของชั้น 15 นั้น พบว่าเป็นคลินิคเถื่อนไม่ได้จดทะเบียนตามพ.ร.บ.ประกอบสถานพยาบาล พ.ศ.2541 เเละไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับราชวิทยาลัยสูตินารีเเพทย์เเห่งประเทศไทยเลย ถือว่าผิดเต็มๆ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาทตนขอยืนยันว่า หลักฐานที่ได้นำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่สามารถเอาผิดกับสถานประกอบการดังกล่าวได้อย่างแน่นอน เพราะจากการตรวจสอบพบว่า นพ.พิสิฐ มีวุฒิบัตรซึ่งสามาราถใช้เปิดคลินิกสูตินารีแพทย์ทั่วไปได้ เพื่อรักษาหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป แต่ไม่มีวุฒิบัตรและใบรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทยในการทำเด็กหลอดแก้ว และไม่มีรายชื่อนพ.พิสิฐในการยื่นวุฒิบัตรนี้ด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรฐานของแพทสภา โดยคลินิกดังกล่าวได้เปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 แล้ว ทั้งนี้ หลักฐานที่สามารถยืนยันเอาผิดกับสถานบริการได้ ขณะมีเพียง 1 แห่งเท่านั้น ส่วนสถานบริการเหลือกว่า 10 แห่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากแพทยสภาว่าเข้าข่ายการกระทำผิดหรือไม่
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 กล่าวว่า เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว โดยภายหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะดำเนินการเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบสวนเพิ่ม และยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดอีกครั้ง คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์จะสามารถออกหมายเรียก นพ.พิสิฐ และผู้เกี่ยวข้อง แต่หากตรวจสอบพบว่ามีความผิดจริงก็จะออกหมายจับทันที ส่วนในกรณีที่เกิดคำถามว่าในคลินิกนี้ได้ทำเด็กหลอดแก้วมากี่คนแล้วนั้นพล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่มีข้อมูล ต้องทำการสืบสวนเพิ่มเติมในต่อไป
พล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่าในกรณีนี้ต้องทำการสอบสวนก่อนถึงจะสามารถสรุปได้ว่ามีความผิดหรือไม มีความผิดในฐานใดบ้าง เมื่อถามว่าในกรณีการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้จ้างวานให้คลินิกกระทำการดังกล่าว มีความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.สืบศักดิ์ กล่าวว่า ในกรณีนี้ต้องทำการสอบสวนก่อนถึงจะสามารถสรุปได้ว่ามีความผิดหรือไม่ มีความผิดในฐานใดบ้าง
พ.ต.อ.เดชา กล่าวว่า ในด้านการสอบสวนนั้น เบื้องต้น นำข้อมูลที่ได้จาก สน.ลาดพร้าว ทั้งหมดมาสรุปรวบรวมอีกครั้ง และจะเรียกแม่อุ้มบุญทั้งหมดและผู้ที่เกี่ยวข้องมาทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีกด้วย คาดว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์จะได้ข้อมูลเพิ่มเติม
*** ตั้งอนุฯกก.2ชุมสอบสวนกรณี”น้องแกรมมี่”
ขณะที่เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (14 ส.ค.) นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เรื่องปัญหาอุ้มบุญ ว่า การพิจารณาความผิดแพทย์ที่ทำอุ้มบุญ "น้องแกรมมี่" นั้น เนื่องจากมีข้อมูลปรากฏจากสื่อต่างๆ ชัดเจนที่มีแพทย์ 2 รายเข้าข่ายกระทำผิด คณะกรรมการแพทยสภามีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ 2 ชุด คือ 1.คณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ มี พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร เป็นประธาน และ 2.คณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ มีตนเป็นประธาน เพื่อให้สามารถสอบสวนแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
ส่วนกรณีอื่นที่ปรากฏตามข่าว ยังมีความไม่ชัดเจน เช่น กรณีอุ้มบุญพ่อชาวญี่ปุ่น อาจต้องรอให้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สรุปเรื่องและส่งรายชื่อมายังแพทยสภาอีกครั้งว่า แพทย์คนใดเป็นผู้กระทำ โดยเบื้องต้นทราบว่า แพทย์ที่กระทำไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์ที่สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะขึ้นทะเบียนหรือไม่ แต่หากทำผิดเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา ก็ถือว่าได้กระทำผิด ต้องได้รับการสอบสวน
นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า สำหรับการปรับปรุงข้อบังคับแพทยสภา เรื่อง มาตรฐานการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น ห้ามโฆษณาว่า มีไข่บริจาคหรือมีหญิงที่ประสงค์จะเป็นผู้รับตั้งครรภ์แทน หรือ มีบุคคลที่ประสงค์จะให้หญิงอื่นเป็นผู้รับตั้งครรภ์แทน ห้ามทำในคู่สมรสเพศเดียวกันหรือไม่มีคู่สมรส ของแพทยสภา และห้ามไม่ให้แพทย์ร่วมมือกับนายหน้า หรือ เอเยนซีในการจัดทำการอุ้มบุญ โดยในที่ประชุมมีมติรับหลักการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถลงนามและประกาศใช้ได้หลังจากการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งต่อไปเดือนหน้า
“แพทยสภาเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ที่ผ่านการพิจารณาของ คสช.แล้ว แต่ยังต้องมีการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นที่สังคมกังวลคือ การเจ็บป่วยของเด็กอุ้มบุญ หรือ หญิงที่ตั้งครรภ์แทนต้องได้รับการดูแลอย่างไร เป็นต้น ซึ่งหากกฎหมายผ่านการพิจารณา ก็จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อออกเกณฑ์รายละเอียดต่อไป เนื่องจากร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุให้แพทยสภา กำหนดเกณฑ์รายละเอียดด้านการแพทย์ประมาณ 11 มาตรา” นพ.สัมพันธ์ กล่าว