xs
xsm
sm
md
lg

บุกค้นคลินิกเถื่อนรับทำอุ้มบุญ คาด 3 ปีมีหญิงรับอุ้มบุญ 100 ราย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

จนท.เข้าตรวจค้น ออลไอวีเอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินารีเวช ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารศิวาเทล ชั้น 12เอ และอัลไพน์ สตาร์ชั้น 15
กก.สวัสดิภาพเด็กและสตรี นำหมายศาลเข้าตรวจค้นคลินิกสูตินรีเวชย่านเพลินจิต สถานที่รับทำทารกอุ้มบุญ สั่งปิดสถานบริการฐานไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ประกอบสถานพยาบาล พร้อมย้อนสอบประวัตินายชิเกตะชาวญี่ปุ่น เจ้าของน้ำเชื้อทารกอุ้มบุญ คาด 3 ปีมีหญิงรับบริการทำอุ้มบุญไปแล้วกว่า 100 ราย ถือว่าผิด กม.เพราะไม่ใช่สายเลือด และรับค่าจ้างในการตั้งครรภ์



วันนี้ (8 ส.ค.) พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส. พร้อมด้วย พ.ต.ท.แมน เม่นแย้ม รอง ผกก.กก.ดส. พ.ต.ท.สาโรจน์ จอกโคกสูง สว.งานสืบสวนตรวจตรา กก.ดส. พร้อมด้วย น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สน.ลาดพร้าว และเจ้าหน้าที่ กก.ดส. เดินทางมาพร้อมหมายค้นศาลอาญา เลขที่ 105/2557 เพื่อขอตรวจค้นออลไอวีเอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวชที่ตั้งอยู่ภายในอาคารศิวาเทล ชั้น 12 เอ และอัลไพน์ สตาร์ชั้น 15 ตามคำให้การของหญิงซึ่งตั้งครรภ์ที่พบพร้อมกับเด็กทารกทั้ง 9 คน โดยระบุว่าคลินิกดังกล่าวเป็นสถานที่ทำเด็กทารกอุ้มบุญให้กับนายชิเกตะ มิตชูโตกิ อายุ 24 ปี

จากการตรวจค้นพบว่า ได้มีการขนย้ายสิ่งของที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยและเอกสารเวชทะเบียนประวัติการรักษาของผู้ป่วยทั้งหมดไปได้ 2-3 วันเเล้ว โดยที่ยังไม่สามารถติดต่อเจ้าของที่ดำเนินการจดทะเบียน ซึ่งรายงานข่าวว่าทราบชื่อคือ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล แพทย์ประจำโรรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนใบอนุญาตประกอบการสถานพยาบาล

หลังจากใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการตรวจค้น ก่อนที่ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้นำหมายค้นของศาลเพื่อเข้าดำเนินการตรวจยึดพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มบุญตามที่เป็นข่าว ส่วนสาเหตุที่มาตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวนั้น เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าสถานพยาบาลดังกล่าวเป็นสถานที่ให้บริการกรณีอุ้มบุญที่เป็นข่าวเด็กทารกทั้ง 9 คน ซึ่งจากการตรวจค้นได้พบพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวจริง อย่างไรก็ตามยังมีเอกสารบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนนายแพทย์ที่รับใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาลนั้น ยังไม่สามารถติดต่อได้ อยู่ระหว่างการติดต่อ ทั้งนี้ได้ประสานกับนิติกรฝ่ายอาคารซึ่งเป็นผู้ให้เช่าทั้ง 2 ชั้น เเล้วในการตรวจค้นพบว่าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

พ.ต.อ.นภันต์วุฒิกล่าวอีกว่า ขณะนี้เด็กทารกที่ตรวจพบทั้ง 9 คน ขณะนี้อยู่ในการดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารสูติบัตร ทะเบียนบ้าน ตามที่เป็นข่าวว่าชายชาวญี่ปุ่นเป็นบิดา ซึ่งได้ข้อมูลเบื้องต้นทางทะเบียนแล้วว่า ชายชาวญี่ปุ่นดังกล่าวได้แจ้งเอาไว้ว่าเป็นพ่อของเด็กหลายคนซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบเอกสารของเด็ก 9 คนกับทางทะเบียนที่รับแจ้งไว้นั้นเป็นเด็กกลุ่มเดียวกันหรือไม่ เเต่จากการสอบสวนเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีเด็กทั้งหมด 13 คน เเละคาดว่าเด็กทารกทั้ง 9 คนที่พบ รวมถึงอีก 1 คนในท้องนั้นน่าจะมาทำอุ้มบุญที่นี่

โดยการทำงานในตอนนี้ผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้รวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าเด็กทั้ง 9 คน หรือผู้หญิงที่มารับบริการทำที่นี่จริงหรือไม่ ใบเกิด หรือหนังสือเดินทาง รวมทั้งชายชาวญี่ปุ่นได้เดินทางออกไปนอกประเทศจริงหรือไม่ ทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ คาดว่าไม่นานก็คงจะทราบเรื่อง ส่วนทนายนั้น รอง ผบช.น.มีการเชิญตัวมาสอบถามแล้ว ข้อมูลจะอยู่ที่ฝ่ายสำนวน รวมทั้งประเด็นที่มีการระบุว่าเด็ก 3 คนได้เดินทางออกไปนอกประเทศนั้น คาดว่าภายในวันนี้น่าจะสามารถระบุได้ว่าเป็นใคร ส่วนจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือไม่นั้น คงต้องรอการรวบรวมพยานหลักฐานอีกสักระยะ เพราะคดีบางส่วนเกิดขึ้นที่ประเทศไทย เเละหากเด็กเดินทางออกไปนอกประเทศเเล้วคงจะต้องไล่ตามสืบสวนสอบสวนต่อ องค์ประกอบในการค้ามนุษย์ก็จะมีอีกหลายส่วน ถ้าพยานหลักฐานหรือความผิดทางกฎหมายที่จากการตรวจสอบไปถึง ทางผู้บังคับบัญชาก็จะดำเนินการอย่างแน่นอน ทั้งนี้ได้มีการตรวจสอบข้อมูลประวัติชายชาวญี่ปุ่นคนนั้นเเล้ว โดย พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว ได้ประสานสถานทูตญี่ปุ่น เบื้องต้นยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหากับชายชาวญี่ปุ่นแต่อย่างใด และยังไม่พบการประกอบธุรกิจในเมืองไทยแต่อย่างใด คาดว่าการเดินทางมาประเทศไทยน่าจะเข้ามาติดต่อเกี่ยวกับเด็กทารกทั้งหมด ซึ่งจะมีการประชุมความคืบหน้าที่ สน.ลาดพร้าว เวลา 16.00 น.ต่อไป

ด้าน น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวว่า ได้มาร่วมตรวจค้นสถานพยาบาลดังกล่าวร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้พบว่าสถานพยาบาลดังกล่าวมีความไม่ถูกต้องตามประกาศ พ.ร.บ.ประกอบการสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ตามมาตรา 34 (2) เรื่องของผู้ประกอบการและมีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลยินยอมหรือมอบให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน เพราะให้การบริการการตั้งครรภ์จากหญิงอื่น ไม่เป็นไปตามที่แพทย์สภาได้กำหนดว่าผู้ที่จะต้องมาตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นเครือญาติ โดยสายเลือด และจะต้องไม่มีการรับค่าจ้างใดๆ เเต่ที่นี่กลับยินยอมทำอุ้มบุญให้กับหญิงอื่นซึ่งไม่ใช่เครือญาติ ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เราได้เข้ามาตรวจสอบในชั้น 12 เอ เเล้วครั้งหนึ่ง พบว่ามีใบอนุญาตในการประกอบสถานพยาบาลถูกต้อง เเต่ได้ตักเตือนไปเเล้วเกี่ยวกับความผิดที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เพราะการดำเนินการเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์จะต้องขึ้นทะเบียนก่อน เบื้องต้นก็จะดำเนินการสั่งปิดสถานพยาบาลดังกล่าว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสามารถดำเนินการเหล่านี้ตามกฎหมายมาตรา 50 เพราะถือว่าเป็นการทำให้เกิดอันตรายและเกิดความร้ายแรงต่อชีวิต ทั้งนี้จะฟ้องร้องแจ้งกับสถานพยาบาลดังกล่าวต่อไป โดยจะต้องมีโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ส่วนแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้มาตรฐานก็จะส่งให้แพทย์สภาตรวจสอบในส่วนของการผิดจริยธรรม เพื่อเข้าสู่กระบวนการเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของชั้น 15 นั้น พบว่าเป็นคลินิกเถื่อนไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ประกอบสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 เเละไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับราชวิทยาลัยสูตินรีเเพทย์เเห่งประเทศไทยเลย ถือว่าผิดเต็มๆ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงข้อมูลว่ามีเด็กรายอื่นๆ ที่มาร่วมทำอุ้มบุญยังสถานพยาบาลดังกล่าวหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลตรงนั้นเพราะเวชระเบียนทางเจ้าหน้าที่ผู้ประกอบการทำการเคลื่อนย้ายไปทั้งหมดแล้ว ยังอยู่ระหว่างติดตามข้อมูลดังกล่าว โดยยอมรับว่าครั้งที่แล้วที่มาตรวจนั้นเพราะได้รับแจ้งว่ามีการให้บริการให้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ แต่ยังไม่ทราบว่ามีการขออนุญาตหรือไม่ จึงได้มาตรวจสอบและได้ตักเตือนไปตามที่ชี้เเจงไปเเล้ว โดยปกติสถานพยาบาลตามกฎหมายนั้นจะพบว่า คลินิกที่ขึ้นทะเบียนว่ารับทำเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทั้งหมดมี 45 แห่ง ทั่วประเทศ สำหรับสถานพยาบาลเเห่งนี้นั้นเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 จนถึงปีนี้ก็ให้บริการมาครบ 3 ปีเเล้ว

เมื่อถามเรื่องการแยกส่วนทำเด็กหลอดแก้ว หรือเก็บน้ำเชื้อต่างๆ ที่แล้วมาร่วมกันทีหลังจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวว่า กระบวนการที่จะทำให้เด็กเกิดขึ้นมามีหลายกระบวนการด้วยกัน ถึงจะแยกส่วนมาแต่สุดท้ายทำให้เด็กเกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นวิธีการเดียวกัน ถือว่ามีความผิดทุกจุดจากแพทย์ที่ดำเนินการดังกล่าวขณะนี้ทราบเพียงว่ามีแพทย์จดทะเบียนแค่ 1 คน โดยจะมีแพทย์คนใดร่วมทำอุ้มบุญครั้งนี้บ้าง ต้องตรวจสอบจากพยานหลักฐานต่างๆ อีกครั้ง คาดว่าระหว่าง 3 ปีที่ดำเนินการดังกล่าว โดยไม่ได้ทำการส่งให้หน่วยงานรับผิดชอบทราบ นั้นน่าจะมีเด็กทารกจากการอุ้มบุญกว่า 100 คน อย่างไรก็ตาม อยากขอเรียนว่าคำว่าอุ้มบุญเรามักจะบอกว่าผิดหมด ซึ่งอุ้มบุญเป็นการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนภรรยาหรือคู่สมรสไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งสิ่งที่ถูกตามที่เเพทย์สภาระบุคือคนที่จะมาตั้งครรภ์ให้จะต้องเป็นญาติทางสายเลือดและไม่มีการรับค่าจ้างในการตั้งครรภ์ อุ้มบุญที่ผิดกฎหมายคือหญิงที่ไม่ได้เป็นเครือญาติหรือรับค่าจ้าง กรณีนี้ถือว่าเป็นการอุ้มบาปมากกว่า

น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสอบคลินิกกรณีน้องแกรมมี่นั้น เบื้องต้นได้ตรวจสอบแล้วที่คลินิค S.A.R.T. ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ อาคารวานิช 2 มีความผิดชัดเจน เพราะแพทย์ที่ดำเนินการไม่ได้ทำตามประกาศแพทยสภา เนื่องจากการอุ้มบุญดังกล่าวไม่ใช่เครือญาติและรับจ้างมาอีกที แพทย์ที่เป็นเจ้าของกรณีดังกล่าวนั้นมีความผิดชัดเจน
คลินิกเถื่อนไม่ได้จดทะเบียนตามพ.ร.บ.ประกอบสถานพยาบาล
สั่งปิดสถานพยาบาลเพื่อตรวจสอบ
หลักฐานที่ตรวจยึดได้
กำลังโหลดความคิดเห็น