สบส. ฟันคลินิก “เอส เอ อาร์ ที” รับทำอุ้มบุญเคส “น้องแกรมมี่” ระบุชัดผิดจริง เหตุมีการจ้างท้องแทน ส่งรายชื่อหมอให้แพทยสภาพิจารณาแล้ว เล็งตรวจสอบแพทย์รายอื่นในคลินิกอีก 20 ราย และคลินิกอุ้มบุญ 45 แห่งทั่วประเทศด้วย ส่วนเด็กอุ้มบุญ 9 รายจากคอนโดย่านลาดพร้าว รอตำรวจสอบคลินิกไหนรับทำ
วันนี้ (7 ส.ค.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงข่าวสถานการณ์อุ้มบุญ ภายหลังเข้าตรวจสอบคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสาขาสูตินรีเวชกรรม “เอส เอ อาร์ ที” บริเวณ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา หลังได้รับข้อมูลเป็นสถานที่ทำอุ้มบุญให้แก่แม่ของ “น้องแกรมมี่” ว่า จากการตรวจสอบพบเป็นสถานพยาบาลที่ทำการอุ้มบุญให้แม่น้องแกรมมี่จริง แต่ที่ตรวจเวชระเบียนไม่พบเนื่องจากหญิงรายดังกล่าวมีการเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง โดยตอนมารับบริการใช้ชื่อหนึ่ง ตอนเข้ารักษาที่ รพ.สมิติเวชศรีราชา ใช้อีกชื่อหนึ่ง และตอนเปิดเผยตัวเรื่องน้องแกรมมี่ก็มีการใช้อีกชื่อหนึ่ง แต่พบว่าทั้ง 3 รายชื่อมีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตาม คลินิกแห่งนี้ชัดเจนว่าให้บริการอุ้มบุญแก่คนที่ไม่ใช่ญาติ และมีการจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะการจ้างวาน ซึ่งผิดข้อบ่งชี้ตามประกาศของแพทยสภา
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวอีกว่า คลินิกแห่งนี้จึงถือว่ามีความผิดตามมาตรา 34 (2) พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 แม้จะจดทะเบียนถูกต้องตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์จากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งผู้จดแจ้งคลินิกแห่งนี้จะมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนแพทย์ที่ดำเนินการก็มีความผิดฐานไม่ทำตามข้อบ่งชี้ของแพทยสภา ซึ่งขณะนี้ได้ส่งรายชื่อทั้งแพทย์ผู้ดำเนินการอุ้มบุญ และผู้จดแจ้งสถานพยาบาล ซึ่งเป็นแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ด้วยเช่นกัน ให้แพทยสภาพิจารณาแล้ว ซึ่งโทษสูงสุดคือถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม
“แพทย์ที่อุ้มบุญเคสน้องแกรมมี่มีประวัติทำการอุ้มบุญให้แก่รายอื่นพอสมควร จึงต้องมีการตรวจสอบด้วยว่ามีการดำเนินการผิดข้อบ่งชี้อีกหรือไม่ นอกจากนี้ จะตรวจสอบแพทย์รายอื่นๆ ในคลินิกแห่งนี้อีกประมาณ 20 รายด้วย ซึ่งเป็นทั้งแพทย์ประจำและแพทย์หมุนเวียน โดยมีการดำเนินการอุ้มบุญมากกว่า 100 เคสว่า มีทำผิดข้อบ่งชี้ของแพทยสภาด้วยหรือไม่ รวมถึงจะตรวจสอบสถานพยาบาล ซึ่งมีทั้ง รพ.รัฐ และ รพ.เอกชน 45 แห่ง โดยอยู่ใน กทม. 12 แห่ง ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการอุ้มบุญ และแพทย์ที่ได้รับการรับรองให้ทำการอุ้มบุญได้อีก 240 คนด้วย” อธิบดี สบส. กล่าวและว่า สำหรับค่าใช้จ่ายในการอุ้มบุญแต่ละครั้ง หากเป็น รพ.รัฐ ราคาเบื้องต้นประมาณ 1 แสนกว่าบาท ซึ่งราคาจะสูงขึ้นหากเป็นเคสที่ดำเนินการได้ยาก ส่วน รพ.เอกชนจะอยู่ที่ 2.5 - 3 แสนบาท หากเป็นเคสที่ดำเนินการได้ยากขึ้นราคาจะอยู่ประมาณ 4-5 แสนบาทขึ้นไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการทำอุ้มบุญผิดข้อบ่งชี้ หลายเคสโทษจะหนักขึ้น หรือจนถึงขั้นปิดสถานพยาบาลหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ก็จะเอาผิดโทษตามรายเคส ส่วนการจะปิดสถานพยาบาลหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการทำอุ้มบุญนั้นได้ก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต บาดเจ็บ พิการ หรือเกิดผลแทรกซ้อนร่วมด้วย ส่วนข้อกังวลที่ว่าคลินิกมีการสมคบกับเอเยนซีทำเป็นขบวนการอุ้มบุญนั้นต้องใช้กฎหมายอื่นในการพิจารณาความผิด เช่น กฎหมายค้ามนุษย์ ซึ่งโทษจะรุนแรงกว่าคือ จำคุก 15 ปี เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีช่วยเหลือเด็ก 9 ราย ที่อาจเป็นเด็กอุ้มบุญจากคอนโดย่านลาดพร้าวนั้น ได้รับข้อมูลหรือยังว่าคลินิกแห่งใดเป็นสถานที่ดำเนินการอุ้มบุญให้ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ได้ส่งทีมงานกองกฎหมายไป สน.ลาดพร้าว เพื่อสอบถามความคืบหน้าแล้ว โดยตำรวจแจ้งว่าอยู่ในขั้นสอบสวน โดยจะเร่งสอบหญิงตั้งครรภ์ว่ามีไปใช้บริการที่สถานพยาบาลใด เมื่อทราบแล้วก็จะลงไปดำเนินการตรวจสอบ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (7 ส.ค.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงข่าวสถานการณ์อุ้มบุญ ภายหลังเข้าตรวจสอบคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสาขาสูตินรีเวชกรรม “เอส เอ อาร์ ที” บริเวณ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา หลังได้รับข้อมูลเป็นสถานที่ทำอุ้มบุญให้แก่แม่ของ “น้องแกรมมี่” ว่า จากการตรวจสอบพบเป็นสถานพยาบาลที่ทำการอุ้มบุญให้แม่น้องแกรมมี่จริง แต่ที่ตรวจเวชระเบียนไม่พบเนื่องจากหญิงรายดังกล่าวมีการเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง โดยตอนมารับบริการใช้ชื่อหนึ่ง ตอนเข้ารักษาที่ รพ.สมิติเวชศรีราชา ใช้อีกชื่อหนึ่ง และตอนเปิดเผยตัวเรื่องน้องแกรมมี่ก็มีการใช้อีกชื่อหนึ่ง แต่พบว่าทั้ง 3 รายชื่อมีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตาม คลินิกแห่งนี้ชัดเจนว่าให้บริการอุ้มบุญแก่คนที่ไม่ใช่ญาติ และมีการจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะการจ้างวาน ซึ่งผิดข้อบ่งชี้ตามประกาศของแพทยสภา
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวอีกว่า คลินิกแห่งนี้จึงถือว่ามีความผิดตามมาตรา 34 (2) พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 แม้จะจดทะเบียนถูกต้องตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์จากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งผู้จดแจ้งคลินิกแห่งนี้จะมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนแพทย์ที่ดำเนินการก็มีความผิดฐานไม่ทำตามข้อบ่งชี้ของแพทยสภา ซึ่งขณะนี้ได้ส่งรายชื่อทั้งแพทย์ผู้ดำเนินการอุ้มบุญ และผู้จดแจ้งสถานพยาบาล ซึ่งเป็นแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ด้วยเช่นกัน ให้แพทยสภาพิจารณาแล้ว ซึ่งโทษสูงสุดคือถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม
“แพทย์ที่อุ้มบุญเคสน้องแกรมมี่มีประวัติทำการอุ้มบุญให้แก่รายอื่นพอสมควร จึงต้องมีการตรวจสอบด้วยว่ามีการดำเนินการผิดข้อบ่งชี้อีกหรือไม่ นอกจากนี้ จะตรวจสอบแพทย์รายอื่นๆ ในคลินิกแห่งนี้อีกประมาณ 20 รายด้วย ซึ่งเป็นทั้งแพทย์ประจำและแพทย์หมุนเวียน โดยมีการดำเนินการอุ้มบุญมากกว่า 100 เคสว่า มีทำผิดข้อบ่งชี้ของแพทยสภาด้วยหรือไม่ รวมถึงจะตรวจสอบสถานพยาบาล ซึ่งมีทั้ง รพ.รัฐ และ รพ.เอกชน 45 แห่ง โดยอยู่ใน กทม. 12 แห่ง ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการอุ้มบุญ และแพทย์ที่ได้รับการรับรองให้ทำการอุ้มบุญได้อีก 240 คนด้วย” อธิบดี สบส. กล่าวและว่า สำหรับค่าใช้จ่ายในการอุ้มบุญแต่ละครั้ง หากเป็น รพ.รัฐ ราคาเบื้องต้นประมาณ 1 แสนกว่าบาท ซึ่งราคาจะสูงขึ้นหากเป็นเคสที่ดำเนินการได้ยาก ส่วน รพ.เอกชนจะอยู่ที่ 2.5 - 3 แสนบาท หากเป็นเคสที่ดำเนินการได้ยากขึ้นราคาจะอยู่ประมาณ 4-5 แสนบาทขึ้นไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการทำอุ้มบุญผิดข้อบ่งชี้ หลายเคสโทษจะหนักขึ้น หรือจนถึงขั้นปิดสถานพยาบาลหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ก็จะเอาผิดโทษตามรายเคส ส่วนการจะปิดสถานพยาบาลหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการทำอุ้มบุญนั้นได้ก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต บาดเจ็บ พิการ หรือเกิดผลแทรกซ้อนร่วมด้วย ส่วนข้อกังวลที่ว่าคลินิกมีการสมคบกับเอเยนซีทำเป็นขบวนการอุ้มบุญนั้นต้องใช้กฎหมายอื่นในการพิจารณาความผิด เช่น กฎหมายค้ามนุษย์ ซึ่งโทษจะรุนแรงกว่าคือ จำคุก 15 ปี เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีช่วยเหลือเด็ก 9 ราย ที่อาจเป็นเด็กอุ้มบุญจากคอนโดย่านลาดพร้าวนั้น ได้รับข้อมูลหรือยังว่าคลินิกแห่งใดเป็นสถานที่ดำเนินการอุ้มบุญให้ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ได้ส่งทีมงานกองกฎหมายไป สน.ลาดพร้าว เพื่อสอบถามความคืบหน้าแล้ว โดยตำรวจแจ้งว่าอยู่ในขั้นสอบสวน โดยจะเร่งสอบหญิงตั้งครรภ์ว่ามีไปใช้บริการที่สถานพยาบาลใด เมื่อทราบแล้วก็จะลงไปดำเนินการตรวจสอบ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่