นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. แถลงภายหลับประชุมกับเลขานุการคณะกรรมการสรรหา สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้ง 11 ด้านว่า คณะกรรมการสรรหาทั้ง 11ด้าน จะประชุมเพื่อสรรหาผู้เหมาะสมเป็น สปช. ในวันที่ 12 ก.ย.เวลา16.00 น.ที่ ร.1พัน 4รอ. ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติจำนวน7,370 คนที่ได้ส่งให้18 หน่วยงานตรวจสอบ ซึ่งมีความคืบหน้าแล้ว 70-80 % คนที่ขาดคุณสมบัติยังมีเพียง 30 คน เช่น เพิกถอนสิทธิ 2 ราย ล้มละลาย 1 ราย นอกจากนี้ยังมีคดีเล็กน้อยประมาณ 80 ราย แต่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติต้องห้ามที่จะเป็น สปช. เช่น มีคดีหมิ่นประมาท คดีเช็ค และยังมีเรื่องสัญชาติไทยอีก 20 ราย ซึ่งยังไม่ชัดเจน แต่ยอมรับว่าการตรวจสอบเรื่องนี้ทำได้ยาก ทั้งนี้มี 2 ด้านที่ตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จ และส่งรายชื่อพร้อมผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการสรรหาด้านนั้นๆ แล้ว เหลืออีก 9 ด้าน ซึ่งจะทยอยส่งให้คณะกรรมการสรรหาภายในวันนี้ (11 ก.ย.)
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 12 ก.ย. จะทราบว่า คณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน จะประชุมครั้งต่อไปในวันใด คาดว่าจะประชุม 3-4 ครั้ง จึงจะสามารถเคาะรายชื่อเหลือด้านละ 50 คนได้ ส่วนการบล็อกโหวต คงไม่มี เชื่อว่ากรรมการสรรหาทุกคน คงไม่เอาเกียรติยศมาทิ้งกับเรื่องนี้ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นทั้งจังหวัด และส่วนกลางต้องรับผิดชอบ ส่วนคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด พร้อมจะสรรหาแล้ว แต่ขอไว้ให้ประชุมไปพร้อมกับคณะกรรมการ 11 ด้าน ในวันที่ 12 ก.ย. เพื่อไม่ให้รายชื่อผู้ได้รับการสรรหา 5 คนหลุดออกมาก่อน
** คสช.แจงโรดแมป 3 ระยะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ ที่ห้องบอลรูม โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ ชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามโรดแมป ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แก่บุคคลากร กรมประชาสัมพันธ์ โดยมี นายอภินันท์ จันทรังษี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วย พ.อ.สุทัศน์ นาคพันธ์ รองผู้อำนวยการยุทธการ กองทัพภาคที่ 1 และรองหัวหน้าฝ่ายยุทธการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ในฐานะ ผู้แทนเลขาธิการ คสช. นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง และ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. เข้าร่วม
พ.อ.สุทัศน์ กล่าวชี้แจงถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานของ คสช. ว่า คสช.กำหนดกรอบเวลาในการดำเนินงานไว้ 3 ระยะ คือ ตั้งแต่เดือนพ.ค.-มิ.ย. 57 จะเป็นช่วงการเตรียมการ เช่น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อยุติความแตกแยก การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนชาวนา การคลี่คลายเหตุด่วนเหตุร้ายต่างๆ รวมถึงการเตรียมการเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ต้องเร่งแก้ไขในช่วงแรก โดยอาศัยอำนาจ คสช.
ส่วนระยะที่ 2 คือ ช่วงเดือน ก.ค.57 เป็นต้นไป ถือเป็นระยะปัจจุบัน ที่จะต้องจัดให้มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อให้กระบวนการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยสมบูรณ์ มีการเลือกนายกรัฐมนตรี มีคณะรัฐมนตรี จนมาถึงการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยการเปิดรับการเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็น สปช. เพื่อเข้าไปดำเนินการสรุปปัญหาทั้ง 11 ด้าน และขับเคลื่อนกลไกลการปฏิรูป ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลตามปกติต่อไป
สำหรับระยะที่ 3 ซึ่งถือเป็นระยะสุดท้าย ตั้งแต่เดือนส.ค.58 เป็นต้นไป หลังจากมีการดำเนินการตาม ระยะที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการเลือกตั้ง และรัฐบาลตามปกติ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเดือน ต.ค.58
ส่วนปัญหาการใช้สื่อปลุกระดมทางการเมืองทำให้ประชาชนแตกแยก แม้จะมีกฎหมาย แต่การดำเนินการพวกนี้ค่อนข้างจะจับยาก เจ้าหน้าที่คงต้องพัฒนากรรมวิธีดำเนินการต่อไป การปลุกระดมทางการเมือง โดยใช้สื่อนั้น อย่าไปหลงเชื่อ ให้ใช้วิจารณญาณแยกแยะ นอกจากนี้การจัดการคลื่นใต้น้ำให้สงบนิ่ง หรือหายไปได้นั้น เรื่องนี้คงแก้ไขกันอย่างต่อเนื่อง มีการพูดคุยสร้างความเข้า ใครทำผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย
**มท.ตั้งศูนย์ช่วยเหลือปชช.เบ็ดเสร็จ
ด้านนายกฤษฎา กล่าวว่า กลไกลกระทรวงมหาดไทย มีทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ซึ่งคนของกระทรวงมหาดไทย นอกจากจะทำหน้าที่ในงานของกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่นำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และแก้ไขปัญหาของประชาชน ซึ่ง คสช.ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 96 กำหนดให้จังหวัดต่างๆ ตั้งศูนย์ดำรงธรรม โดยหลักการของ คสช. ในช่วงที่ 2 ที่ให้ข้าราชการทุกหน่วยร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จ การที่ คสช.ให้ทุกหน่วยร่วมกันทำนั้น ไม่ใช่งานของกระทรวงมหาดไทยอย่างเดียว เช่น การปล่อยน้ำเสียลงคลอง หน้าที่รับผิดชอบโดยตรงแล้ว น่าจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีศูนย์ดำรงธรรมแล้ว เราก็สามารถเข้าไปสนับสนุนได้ เพื่อไปเติมเต็มส่วนราชการที่ไม่อยู่จังหวัด และอำเภอในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน
ขณะที่ นายภุชงค์ กล่าวว่า โรดแมปส่วนที่ 2 สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ได้พูดถึงแนวทางดูแล ปฏิรูปบ้านเมือง มี 48 มาตรา แต่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องแก้ไขพัฒนา สถาบันที่เป็นหลักคือ คณะรัฐมนตรี(ครม.) และ คสช. มีสถาบันควบคู่ 2 สถาบัน คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยสปช. มีหน้าที่วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ที่สะสมมานาน ที่สำคัญที่สุด จะเป็นช่องทางรับปัญหาต่างๆจากข้อเสนอประชาชน ทั้งนี้เมื่อ สปช. มีสมาชิกครบทั้ง 250 คนแล้ว จะต้องมีการจัดตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อีก 36 คน โดยรับข้อมูลจาก ทุกด้าน เพื่อนำไปยกร่างรัฐธรรมนูญ และนำมาเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข และสุดท้าย สปช. จะเป็นผู้ยอมให้รับ หรือไม่รับรัฐธรรมนูญ
สำหรับการสรรหา สปช. ที่คณะกรรมการสรรหาทั้ง 11 ด้าน จะเริ่มประชุมเร็วขึ้นหนึ่งวัน ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ แต่ทั้งนี้ในส่วนคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด เมื่อคณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน ได้เริ่มประชุม คณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด สามารถประชุมคู่ขนานและอาจคัดเลือกบุคคลจังหวัดละ 5 คน ได้แล้วเสร็จภายในการประชุม 1-2 ครั้ง ซึ่งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกจากทั้ง 2 ส่วน จะต้องเป็นความลับ จนกว่าจะมีการประกาศจาก คสช.ในวันที่ 2 ต.ค.นี้
"ขอยืนยันว่า คณะกรรมการสรรหาทั้งส่วนกลาง และระดับจังหวัด ไม่มีการบล็อกโหวต แน่นอน เพราะดำเนินการตามนโยบายของคสช. ต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องโปร่ใส ใช้ดุลพินิจที่โปร่งใส เชื่อว่าภายในวันที่ 2 ต.ค.นี้ จะต้องได้ สปช. ทั้ง 250 คน แบ่งเป็นส่วนกลาง 173 คน ระดับจังหวัด 77 คน เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปของประเทศต่อไป" นายภุชงค์ กล่าว
** คุมเข้มสื่อ ห้ามโจมตีคสช.
ด้านนายอภินันท์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการข่าวสาร ยังต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะมีรัฐบาล มีคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่สถานการณ์ยังไม่จบ มีการเคลื่อนไหวของบางกลุ่มมีแนวโน้มทำให้บ้านเมืองแตกแยก ดังนั้นจึงต้องยึดคำสั่งและประกาศ คสช.โดยเฉพาะ 3 ฉบับ คือ 79 , 97 และ 103 ต้องยึดหลักปฏิบัติตาม 3 ประการ คือ
1. ห้ามนำบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองมาออกรายการ 2. เนื้อหาการดำเนินการรายการ ต้องไม่โจมตี คสช.รัฐบาล วันนี้ขอไว้ก่อน เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ หรือผู้นำต่างๆ และ 3. รายการที่จัดต้องเป็นการบันทึกเทป เพื่อจะได้ตรวจสอบเนื้อหาได้ ว่าล่อแหลมหรือไม่ ขอให้ระวังทำตามประกาศเคร่งครัด ห้ามโฟนอิน แม้กระทั่งรายการเพลง เพราะอาจจะมีการแสดงความคิดเห็น เรามีคลื่นวิทยุ 147 คลื่น มีคณะกรรมการติดตามข่าวการทำงานตลอดเวลา ติดตามหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ว่าสร้างความขัดแย้งหรือไม่ แม้กระทั่งไลน์ เฟชบุ๊ก มีการติดตามตลอด ช่องไหน คลื่นไหน ต้องมีการตักเตือน เราต้องรักษางานเราให้ได้ ใจเย็นๆ นิดนึง เราจะมีความสุขเหมือนเดิม เหมือนบ้านเมืองติดโรคร้าย ต้องมีการผ่าตัด เมื่อโรคหาย ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง ขอเน้นย้ำถึงการทำงานของพวกเรา ต้องสามารถตอบโจทย์ความต้องการประชาชนหลายคลื่นได้ทำงานอย่างดี
ทั้งนี้ การกำกับดูแลสื่อ เรายังต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ถ้าปล่อยสู่สถานะเดิม สิ่งที่ทำมาแต่ต้นก็ไม่เกิดประโยชน์ บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ตามโรดแมป โดยให้เปิดวิทยุชุมชน ดาวเทียม แต่ยังห่วงใยอยู่ ไม่อยากให้ดำเนินการเหมือนเดิม เพราะจะไปสู่ความหายนะ แม้กระทั่งวิทยุชุมชน ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบ กสทช. ขณะนี้มีวิทยุไม่เข้าระบบตามหลักเกณฑ์ มีบางแห่งขายยาผีบอก ขัดต่อกฎหมายอาหารและยา สิ่งเหล่านี้มันต้องควบคุมไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 12 ก.ย. จะทราบว่า คณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน จะประชุมครั้งต่อไปในวันใด คาดว่าจะประชุม 3-4 ครั้ง จึงจะสามารถเคาะรายชื่อเหลือด้านละ 50 คนได้ ส่วนการบล็อกโหวต คงไม่มี เชื่อว่ากรรมการสรรหาทุกคน คงไม่เอาเกียรติยศมาทิ้งกับเรื่องนี้ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นทั้งจังหวัด และส่วนกลางต้องรับผิดชอบ ส่วนคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด พร้อมจะสรรหาแล้ว แต่ขอไว้ให้ประชุมไปพร้อมกับคณะกรรมการ 11 ด้าน ในวันที่ 12 ก.ย. เพื่อไม่ให้รายชื่อผู้ได้รับการสรรหา 5 คนหลุดออกมาก่อน
** คสช.แจงโรดแมป 3 ระยะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ ที่ห้องบอลรูม โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ ชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามโรดแมป ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แก่บุคคลากร กรมประชาสัมพันธ์ โดยมี นายอภินันท์ จันทรังษี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วย พ.อ.สุทัศน์ นาคพันธ์ รองผู้อำนวยการยุทธการ กองทัพภาคที่ 1 และรองหัวหน้าฝ่ายยุทธการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ในฐานะ ผู้แทนเลขาธิการ คสช. นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง และ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. เข้าร่วม
พ.อ.สุทัศน์ กล่าวชี้แจงถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานของ คสช. ว่า คสช.กำหนดกรอบเวลาในการดำเนินงานไว้ 3 ระยะ คือ ตั้งแต่เดือนพ.ค.-มิ.ย. 57 จะเป็นช่วงการเตรียมการ เช่น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพื่อยุติความแตกแยก การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนชาวนา การคลี่คลายเหตุด่วนเหตุร้ายต่างๆ รวมถึงการเตรียมการเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ต้องเร่งแก้ไขในช่วงแรก โดยอาศัยอำนาจ คสช.
ส่วนระยะที่ 2 คือ ช่วงเดือน ก.ค.57 เป็นต้นไป ถือเป็นระยะปัจจุบัน ที่จะต้องจัดให้มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อให้กระบวนการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยสมบูรณ์ มีการเลือกนายกรัฐมนตรี มีคณะรัฐมนตรี จนมาถึงการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยการเปิดรับการเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็น สปช. เพื่อเข้าไปดำเนินการสรุปปัญหาทั้ง 11 ด้าน และขับเคลื่อนกลไกลการปฏิรูป ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลตามปกติต่อไป
สำหรับระยะที่ 3 ซึ่งถือเป็นระยะสุดท้าย ตั้งแต่เดือนส.ค.58 เป็นต้นไป หลังจากมีการดำเนินการตาม ระยะที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการเลือกตั้ง และรัฐบาลตามปกติ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเดือน ต.ค.58
ส่วนปัญหาการใช้สื่อปลุกระดมทางการเมืองทำให้ประชาชนแตกแยก แม้จะมีกฎหมาย แต่การดำเนินการพวกนี้ค่อนข้างจะจับยาก เจ้าหน้าที่คงต้องพัฒนากรรมวิธีดำเนินการต่อไป การปลุกระดมทางการเมือง โดยใช้สื่อนั้น อย่าไปหลงเชื่อ ให้ใช้วิจารณญาณแยกแยะ นอกจากนี้การจัดการคลื่นใต้น้ำให้สงบนิ่ง หรือหายไปได้นั้น เรื่องนี้คงแก้ไขกันอย่างต่อเนื่อง มีการพูดคุยสร้างความเข้า ใครทำผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย
**มท.ตั้งศูนย์ช่วยเหลือปชช.เบ็ดเสร็จ
ด้านนายกฤษฎา กล่าวว่า กลไกลกระทรวงมหาดไทย มีทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ซึ่งคนของกระทรวงมหาดไทย นอกจากจะทำหน้าที่ในงานของกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่นำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และแก้ไขปัญหาของประชาชน ซึ่ง คสช.ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 96 กำหนดให้จังหวัดต่างๆ ตั้งศูนย์ดำรงธรรม โดยหลักการของ คสช. ในช่วงที่ 2 ที่ให้ข้าราชการทุกหน่วยร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จ การที่ คสช.ให้ทุกหน่วยร่วมกันทำนั้น ไม่ใช่งานของกระทรวงมหาดไทยอย่างเดียว เช่น การปล่อยน้ำเสียลงคลอง หน้าที่รับผิดชอบโดยตรงแล้ว น่าจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีศูนย์ดำรงธรรมแล้ว เราก็สามารถเข้าไปสนับสนุนได้ เพื่อไปเติมเต็มส่วนราชการที่ไม่อยู่จังหวัด และอำเภอในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน
ขณะที่ นายภุชงค์ กล่าวว่า โรดแมปส่วนที่ 2 สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ได้พูดถึงแนวทางดูแล ปฏิรูปบ้านเมือง มี 48 มาตรา แต่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องแก้ไขพัฒนา สถาบันที่เป็นหลักคือ คณะรัฐมนตรี(ครม.) และ คสช. มีสถาบันควบคู่ 2 สถาบัน คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยสปช. มีหน้าที่วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ที่สะสมมานาน ที่สำคัญที่สุด จะเป็นช่องทางรับปัญหาต่างๆจากข้อเสนอประชาชน ทั้งนี้เมื่อ สปช. มีสมาชิกครบทั้ง 250 คนแล้ว จะต้องมีการจัดตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อีก 36 คน โดยรับข้อมูลจาก ทุกด้าน เพื่อนำไปยกร่างรัฐธรรมนูญ และนำมาเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข และสุดท้าย สปช. จะเป็นผู้ยอมให้รับ หรือไม่รับรัฐธรรมนูญ
สำหรับการสรรหา สปช. ที่คณะกรรมการสรรหาทั้ง 11 ด้าน จะเริ่มประชุมเร็วขึ้นหนึ่งวัน ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ แต่ทั้งนี้ในส่วนคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด เมื่อคณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน ได้เริ่มประชุม คณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด สามารถประชุมคู่ขนานและอาจคัดเลือกบุคคลจังหวัดละ 5 คน ได้แล้วเสร็จภายในการประชุม 1-2 ครั้ง ซึ่งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกจากทั้ง 2 ส่วน จะต้องเป็นความลับ จนกว่าจะมีการประกาศจาก คสช.ในวันที่ 2 ต.ค.นี้
"ขอยืนยันว่า คณะกรรมการสรรหาทั้งส่วนกลาง และระดับจังหวัด ไม่มีการบล็อกโหวต แน่นอน เพราะดำเนินการตามนโยบายของคสช. ต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องโปร่ใส ใช้ดุลพินิจที่โปร่งใส เชื่อว่าภายในวันที่ 2 ต.ค.นี้ จะต้องได้ สปช. ทั้ง 250 คน แบ่งเป็นส่วนกลาง 173 คน ระดับจังหวัด 77 คน เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปของประเทศต่อไป" นายภุชงค์ กล่าว
** คุมเข้มสื่อ ห้ามโจมตีคสช.
ด้านนายอภินันท์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการข่าวสาร ยังต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะมีรัฐบาล มีคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่สถานการณ์ยังไม่จบ มีการเคลื่อนไหวของบางกลุ่มมีแนวโน้มทำให้บ้านเมืองแตกแยก ดังนั้นจึงต้องยึดคำสั่งและประกาศ คสช.โดยเฉพาะ 3 ฉบับ คือ 79 , 97 และ 103 ต้องยึดหลักปฏิบัติตาม 3 ประการ คือ
1. ห้ามนำบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองมาออกรายการ 2. เนื้อหาการดำเนินการรายการ ต้องไม่โจมตี คสช.รัฐบาล วันนี้ขอไว้ก่อน เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ หรือผู้นำต่างๆ และ 3. รายการที่จัดต้องเป็นการบันทึกเทป เพื่อจะได้ตรวจสอบเนื้อหาได้ ว่าล่อแหลมหรือไม่ ขอให้ระวังทำตามประกาศเคร่งครัด ห้ามโฟนอิน แม้กระทั่งรายการเพลง เพราะอาจจะมีการแสดงความคิดเห็น เรามีคลื่นวิทยุ 147 คลื่น มีคณะกรรมการติดตามข่าวการทำงานตลอดเวลา ติดตามหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ว่าสร้างความขัดแย้งหรือไม่ แม้กระทั่งไลน์ เฟชบุ๊ก มีการติดตามตลอด ช่องไหน คลื่นไหน ต้องมีการตักเตือน เราต้องรักษางานเราให้ได้ ใจเย็นๆ นิดนึง เราจะมีความสุขเหมือนเดิม เหมือนบ้านเมืองติดโรคร้าย ต้องมีการผ่าตัด เมื่อโรคหาย ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง ขอเน้นย้ำถึงการทำงานของพวกเรา ต้องสามารถตอบโจทย์ความต้องการประชาชนหลายคลื่นได้ทำงานอย่างดี
ทั้งนี้ การกำกับดูแลสื่อ เรายังต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ถ้าปล่อยสู่สถานะเดิม สิ่งที่ทำมาแต่ต้นก็ไม่เกิดประโยชน์ บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ตามโรดแมป โดยให้เปิดวิทยุชุมชน ดาวเทียม แต่ยังห่วงใยอยู่ ไม่อยากให้ดำเนินการเหมือนเดิม เพราะจะไปสู่ความหายนะ แม้กระทั่งวิทยุชุมชน ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบ กสทช. ขณะนี้มีวิทยุไม่เข้าระบบตามหลักเกณฑ์ มีบางแห่งขายยาผีบอก ขัดต่อกฎหมายอาหารและยา สิ่งเหล่านี้มันต้องควบคุมไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ