xs
xsm
sm
md
lg

แผ่นดินของไทยปัญหาของคนไทย (6): เรื่องมีอะไรบ้างที่ควรทำ What Should be Done ตอน ทำไมต้องพัฒนาหน่วยงานข่าวของรัฐ

เผยแพร่:   โดย: วีระศักดิ์ นาทะสิริ

I. กล่าวนำ

ได้มีหลายท่านถามมาว่า ผู้เขียนรับจ้างเขียนบทความให้ ASTVผู้จัดการออนไลน์หรือเปล่าซึ่งขอตอบว่าไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ เลย และก็ไม่ได้รู้จักกับใคร (ใน ASTVผู้จัดการ) เป็นการส่วนตัว แต่ที่ส่งบทความมาลงก็เพราะเห็นว่า ASTVผู้จัดการออนไลน์เป็นสื่อที่มั่นคงไม่โอนเอนไปตามอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจใดๆ และยังให้เกียรติผู้เขียนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ในส่วนผู้เขียนเองก็มุ่งหวังที่จะให้บทความต่างๆ ได้ช่วยกระตุ้นให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน

อย่างไรก็ดี ต่อไปนี้ ผู้เขียนจะขอใช้ชื่อบทความหลักว่า แผ่นดินของไทย ปัญหาของคนไทย และขอจัดแบ่งกลุ่มของบทความย่อยๆ ตามหัวข้อเรื่องดังนี้ (1) ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจโดยทั่วไป (2) ว่าด้วยเรื่องการเมืองไทยและการปฏิรูปการเมือง (3) ว่าด้วยเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน (4) ว่าด้วยเรื่องความเป็นไปในสังคมไทย (5) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆ ในโลก (6) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งจะใช้ชื่อเดิมของบทความว่า มีอะไรบ้างที่ควรทำ What Should be Done (7) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาการก่อการร้ายและการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (8) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาและ (9) เป็นเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา

ในบทความเรื่องมีอะไรบ้างที่ควรทำ What Should be Done-I (ตอนแรก) ผู้เขียนได้เสนอให้ย้ายกองบัญชาการกองทัพบก ไปแทนสนามม้านางเลิ้ง ย้ายกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ออกไปจากวังปารุสก์ (วังปารุสกวัน) และย้ายสนามม้านางเลิ้งออกจากที่ตั้งเดิมไปอยู่ชานเมืองหรือจังหวัดอื่นที่ใกล้กับกรุงเทพฯ

สำหรับในบทความนี้จะเป็นตอนที่ต่อจากบทความเรื่อง มีอะไรบ้างที่ควรทำ What Should be Done-I และ II (ตอนแรก และตอนที่สอง) โดยจะนำเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้และยังอยู่ในความสนใจของคนไทยจำนวนมากมาเป็นตัวอย่างประกอบการนำเสนอข้อคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งได้แก่ กรณีการแสดงละครหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของนักศึกษา(ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 ส.ค. 2557), กรณีการโปรยใบปลิวโจมตี คสช.(ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 ส.ค. 2557) และกรณีการขโมยมือถือผู้โดยสารบนขบวนรถไฟสายใต้ (ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 ส.ค. 2557) เป็นต้น

II. มีอะไรบ้างที่ควรทำตอนที่ 3 (What Should be Done-III.)

ประการที่สอง กองทัพบก และรัฐบาล (ในอนาคต) จะต้องพัฒนาหน่วยงานข่าวของกองทัพบก (หน่วยข่าวกรองทางทหารหรือ ขกท.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) ให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหน่วยงานข่าวของต่างประเทศ
โดยจะต้องพัฒนาบุคลากรการข่าวให้มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น และจะต้องปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานการข่าวทั้งหมดทุกหน่วยซึ่งรวมทั้งตำรวจสันติบาลด้วย โดยจะต้องยึดถือหลักนิยมใหม่ (Always keep it in your mind) ที่ว่าการข่าวต้องมาก่อนการเมืองและการทหารเสมอ (Intelligence must comes first.) ถ้าใช้ภาษาพูดก็คือเราจะต้องรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจะทำอะไรต่อไปในอนาคตไม่ใช่มาบอกว่ารู้ตัวคนที่ทำหลังจากที่เกิดเหตุแล้ว และรูปภาพที่ 1-2 ก็คือ คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมต้องพัฒนาหน่วยงานข่าวของรัฐให้มีประสิทธิภาพ

กรณีตัวอย่างที่ 1 จากรายงานข่าวของเดลินิวส์ออนไลน์ระบุว่าเมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 15 ส.ค. มีผู้ที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง ขับขี่รถยนต์ไม่ทราบยี่ห้อ และหมายเลขทะเบียน นำใบปลิวพิมพ์ข้อความโจมตีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาโยนทิ้งไว้บนถ.ราชดำเนินนอก ตั้งแต่แยก จปร.ถึงแยกสะพานมัฆวานรังสรรค์
ภาพที่ 1ใบปลิวโจมตี คสช.จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ (17 ส.ค. 2557)
ภาพที่ 2 ใบปลิวหน้า บก.ทบ.จากเดลินิวส์ออนไลน์ (15 ส.ค. 2557)
ความคิดเห็นจากกรณีตัวอย่างในรูปภาพที่ 1-2 ภาพที่ปรากฏได้ชี้ให้เห็นว่าสมรรถภาพของหน่วยงานข่าวของไทยอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงจริงๆ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในเมืองหลวงในช่วงเช้าตรู่ หน้า บก.ทบ. และถ้ายังปล่อยให้กลุ่มใดๆ ก็ตามมีเสรีที่จะทำอะไรก็ได้แล้ว เรื่องเล็กๆ ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ในอนาคตถ้ามีใครโปรยใบปลิวเมื่อใดก็ได้และที่ไหนก็ได้ เขาก็สามารถจะวางระเบิดเมื่อใดก็ได้ที่ไหนก็ได้เช่นกัน ดูตัวอย่างที่เกิดในภาคใต้

กรณีตัวอย่างที่ 2 นสพ. ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันที่16 ส.ค. 2557ได้รายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.ธนังค์ บุรานนท์ ผบก.รฟ., พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รอง ผบก.ป.พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผกก.6.บก.ป. แถลงข่าวจับกุม นายอุสมาน หรือ สมนึก อาดัม อายุ 19 ปี ลูกครึ่งไทย-ปากีสถาน พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง...............พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า หลังจากที่เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมาเกิดเหตุลักทรัพย์ บนตู้ที่ 10 ขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณ ที่ 17 กรุงเทพ-สุไหงโก-ลก ได้โทรศัพท์มือถือไป 10 เครื่อง เงินสดอีกจำนวนหนึ่ง
ภาพที่ 3 ตำรวจแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาที่ <font color=red><u>ขโมยมือถือผู้โดยสารบนขบวนรถไฟสายใต้</u></font>
ความคิดเห็นจากกรณีตัวอย่างในรูปที่ 3 ผู้ต้องหาเป็นลูกครึ่งไทย-ปากีสถาน แสดงว่า อาจจะมีบิดาเป็นชาวปากีสถาน และมีมารดาเป็นคนไทย เมื่อเกิดในไทยจึงได้สัญชาติไทย และที่สำคัญอาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในภาคใต้ กรณีนี้แสดงว่า ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด ทุกชนชาติสามารถเข้ามาอยู่ เข้ามาทำมาหากินได้ และตั้งรกรากในไทยได้อย่างเสรี แต่ตรงกันข้ามถ้าคนไทยต้องการจะเข้าไปทำมาหากินหรือเข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป หรือในญี่ปุ่นบ้าง ประเทศเหล่านี้คงไม่ปล่อยให้คนไทยเข้าไปตั้งรกรากได้ง่ายๆ แต่จะต้องยื่นเอกสารส่วนตัวรวมทั้งบัญชีธนาคารและเอกสารอื่นๆ อีกเพื่อให้ได้วีซ่าเข้าประเทศเหล่านี้ในฐานะนักท่องเที่ยว และถ้าต้องการอยู่อย่างถาวรก็อาจจะต้องหาบริษัทในประเทศนั้นให้การรับรอง สำหรับวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็คือ หาทางแต่งงานกับชาวอเมริกัน ชาวยุโป หรือชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประชาชนเจ้าของประเทศให้ได้

ขอให้รัฐบาลในอดีตและในอนาคต กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับทราบว่า นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้นยังมีชาวอังกฤษและชาวยุโรปที่เข้ามาแต่งงานกับผู้หญิงไทยแล้วครอบครองบ้านที่ดินทำกิจการต่างๆ เช่น จัดทำโฮมสเตย์ (ดูภาพที่ 4 และภาพที่ 5) ในสัตหีบ เปิดร้านอาหาร หรือบาร์เบียร์ ทั้งในพัทยา ภูเก็ต และในกรุงเทพฯ เป็นต้น
ภาพที่ 4 โฮมสเตย์ที่สัตหีบ
ภาพที่ 5 โฮมสเตย์ที่ชาวอังกฤษเป็นเจ้าของ
นอกจากที่กล่าวมา เราอาจพบกรณีตัวอย่างเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก เช่น ชาวเยอรมันที่มาแต่งงานกับคนไทยในพัทยา ชาวรัสเซียแต่งงานกับคนไทยในภูเก็ต ชาวอาหรับจากตะวันออกกลางมาแต่งงานกับหญิงไทย บริเวณซอยนานา ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ และชาวอเมริกันที่มาแต่งงานกับคนไทยในจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือและภาคอีสาน บัดนี้ถึงเวลาหรือยังที่เราคนไทยและรัฐจะต้องเข้มงวดกับผู้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และเข้ามาประกอบอาชีพสารพัดที่ไม่มีความจำเป็นหรือไม่มีส่วนสำคัญที่จะสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยแต่อย่างใด ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เข้ามาขอทานก็มี และบางส่วนก็เข้ามาแต่งงานกับคนไทยเพื่อจะได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ในประเทศไทย ดังตัวอย่างที่กล่าวข้างต้น

ในเรื่องนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตเกือบสองร้อยปีมาแล้วจากหนังสือเรื่อง ปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ : ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ (Armed Conflict) การก่อการร้าย (Terrorism) และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ระบุว่า

“ในปี ค.ศ. 1855 เซอร์ John Bowring ได้เข้ามาสำรวจดินแดนทางภาคใต้ของไทยแล้วบันทึกไว้ว่า ปัตตานีในขณะนั้นมีประชากรประมาณ 100,000 คน เป็นคนไทยพื้นเมืองมากกว่าร้อยละ 50 (คาดว่าเป็นคนไทยที่นับถือพุทธ) ที่เหลือประมาณร้อยละ 40 เป็นคนไทยมุสลิมเชื้อสายสุมาตรา และคนชาติอื่นๆ (คาดว่าน่าจะเป็นชาวอินเดีย อาหรับ และชาวจีน) ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 (2011) คนไทยมุสลิม (ที่สืบเชื้อสายสุมาตรา อาหรับ และจีน) มีจำนวนประมาณ 1,840,000 คนหรือเท่ากับร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมดในปัตตานี....”1

และที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 20 เป็นคนไทยที่นับถือพุทธโดยสรุปก็คือ การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของประชากรในปัตตานี (ที่ใช้เวลาประมาณ 156 ปีหลังจากปีที่ เซอร์John Bowring ได้ทำการสำรวจและได้บันทึกไว้) ได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ มักนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการต่อสู้และขอปกครองตนเอง ซึ่งถ้ากระทรวงมหาดไทย หน่วยงานตำรวจ และกระทรวงต่างประเทศ (ในอดีตและปัจจุบัน) จะมีความขยันมากกว่านี้สักหน่อย มีวิสัยทัศน์บ้างสักเล็กน้อย และยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติอยู่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วการอพยพเข้ามาตั้งรกรากของคนต่างชาติในพื้นที่ภาคใต้ก็คงทำได้ยาก และเหตุการณ์การก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นเช่นทุกวันนี้อย่างแน่นอน

ผู้เขียนเชื่อว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาสำคัญของลูกหลานของเราในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยและลูกหลานคนไทย ถ้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเหล่านี้มีลูกกับคนไทย และลูกของคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือยิว อาจไม่ยอมรับขนบธรรมเนียมประเพณีไทย หรือไม่มีความภาคภูมิใจที่จะเป็นคนไทยเพราะไม่เข้าใจในความเป็นมาของชาติไทย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ อาจไม่เข้าใจและไม่มีความรู้สึกผูกพันกับสถาบันกษัตริย์ของเราแต่อย่างใด (ผู้เขียนเคยถามชาวบังกลาเทศที่เข้ามาขายโรตี ซึ่งเล่าว่า เขาได้อยู่กินกับหญิงไทยและมีลูกด้วยกัน 2 คน โดยลูกทั้งสองคนนับถือศาสนาอิสลาม กรณีนี้อาจเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมคนต่างชาติชอบอยู่กินกับหญิงไทย หรือจ้างหญิงไทยให้อุ้มบุญอย่างที่เป็นข่าว เหตุผลก็คือ หญิงไทยใจดี ไม่เรื่องมาก ส่วนเรื่องเงินก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญด้วยเหมือนกัน) ซึ่งถ้าลูกของคนเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยของเราในอนาคตก็คงแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นสนามรบที่มีการรบราฆ่าฟันกันไม่มีวันสิ้นสุดเช่นที่ได้เกิดขึ้นในอิรัก ลิเบีย ปาเลสไตน์ และในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา อย่างที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ด้วยเหตุนี้จึงต้องขอให้ ท่านนายกฯ กระทรวงกลาโหม หน่วยงานข่าวทุกหน่วย กระทรวงการต่างประทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หน่วยงานปกครองต่างๆ ของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยได้คำนึงถึงการดำรงอยู่ของชาติไทยและปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต (50 ปีขึ้นไป) โดยขอให้ท่านดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้เกิดขึ้นซ้ำรอยกับที่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา

ผู้เขียนเชื่อว่า กรณีที่กล่าวข้างต้นจะกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเพราะการที่คนต่างชาติเข้ามาตั้งรกรากหรือมาอยู่กินในประเทศไทยอย่างเสรี (โดยไม่มีการติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมอย่างจริงจัง) จะมีผลทำให้เกิดความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นจนทำให้สัดส่วนของคนไทยมีจำนวนลดน้อยลงและอยู่ในขั้นที่ไม่เพียงจะบ่อนทำลายความเป็นไทยให้จางหายไปเท่านั้น แต่ยังอาจทำลายสถาบันต่างๆ ทางสังคมของไทยและทำลายการดำรงอยู่ของชาติไทยในที่สุด

กรณีตัวอย่างที่ 3 ASTVผู้จัดการออนไลน์วันที่ 16 ส.ค. 2557 ได้รายงานว่า

“ตำรวจชนะสงครามคุมตัว “กอล์ฟ ประกายไฟ”(หรือ น.ส.ภรณ์ทิพย์ มั่นคง รูปภาพที่) แสดงละครหมิ่นเบื้องสูงฝากขังครั้งแรก หลังจับกุมได้คาสนามบินหาดใหญ่ ด้านพนักงานสอบสวนคัดค้านประกัน เกรงจะหลบหนี ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขัง

โดยคำร้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อเดือน ต.ค.2556ผู้ต้องหาร่วมแสดงละครเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” ในงานรำลึก40ปี 14ตุลาฯ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันมีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ ต่อมาวันที่ 15ส.ค. 2557เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่สนามบินหาดใหญ่ จ.สงขลา พนักงานสอบสวนได้สอบสวนผู้ต้องหามาโดยตลอด แต่การสอบสวนพยานยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา จึงของอนุญาตฝากขัง ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากได้รับการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาจะหลบหนี ศาลสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขัง”2

ภาพที่ 6 คือ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม อายุ 23 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ภูมิลำเนา ต.เหล่าโพนค้อ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง (ภาพและข่าวจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2557) <u>ขณะถูกจับกุมยังมีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น</u>
ภาพที่ 7 คือ น.ส.ภรณ์ทิพย์ มั่นคง หรือ “กอล์ฟ ประกายไฟ” อายุ 23 ปี อดีตผู้ประสานงานกลุ่มประกายไฟการละคร ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง (ภาพและข่าวจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 16 สิงหาคม 2557)
กรณีตัวอย่างที่ 3 เป็นเหตุการณ์ที่มีกลุ่มบุคคลที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือแนวความคิดของคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในจิตใจของตน และเชื่ออย่างสนิทใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของต่างชาติไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือระบอบการปกครองดีหมดถูกหมด จนทำให้เกิดความคิดและกล้าที่จะเล่นละครเพื่อมุ่งทำลายสถาบันกษัตริย์ของคนไทยทุกคนโดยไม่สนใจต่อความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่แต่อย่างใด สรุปก็คือ ความสำนึกของกลุ่มคนเหล่านี้ในความเป็นคนไทยได้ลดลงหรือเจือจางลงไปจนอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ของสังคมไทยและชาติไทย จึงสมควรได้รับโทษโดยไม่มีการลดหย่อนแต่อย่างใด แต่มีบางท่านไปไกลถึงขั้นเสนอให้ตรวจ DNA, ประวัติครอบครัว, ความเป็นมาทางพันธุกรรม และสภาพจิตใจแล้วให้คะแนนเพื่อดูว่า กลุ่มคนเหล่านี้ยังมีความเป็นไทยเหลืออยู่มากน้อยเพียงใดและถ้ามีคะแนนรวมต่ำกว่า 50 % บุคคลเหล่านี้ก็ไม่สมควรจะเป็นคนไทยอีกต่อไปก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจเช่นกัน

III. บทสรุป

ผู้เขียนอยากจะถามกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้ต้องหาที่เล่นละครหมิ่นสถาบันเบื้องสูงทุกคน ว่า มีเรื่องและบทละครที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนไทยในสังคมมากมายให้เล่น ทำไมต้องไปจาบจ้วงหรือหมิ่นพระองค์ท่านด้วย ถ้าพิจารณาดูจากภาพก็คาดเดาได้ว่า กลุ่มนักศึกษาที่เล่นละครเรื่องนี้คงมีอายุประมาณ 18 – 28 ปี คงไม่ได้เรียนรู้หรือไม่เข้าใจในความทุกข์ทรมานขององค์พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 5 ที่ถูกอังกฤษกับฝรั่งเศสกลั่นแกล้งและบีบบังคับเพื่อเอาแผ่นดินของไทยไปจนแทบจะสิ้นพระชนม์ (ดูภาพที่ 8-9) และคงไม่ได้เห็นภาพการทรงงานด้วยความวิริยะอุตสาหะในถิ่นทุรกันดารต่างๆ ของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันในรูปภาพที่10-11จึงไม่มีความรู้สึกหรือไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมีมาอย่างช้านานระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับประชาชนคนไทย แต่กลับไปเชื่ออาจารย์บางคนที่ตกเป็นทาสทางความคิดของต่างชาติและไม่กล้าแสดงตัวอย่างเปิดเผยโดยมุ่งหมายที่จะทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ภาพที่ 8 หมาป่าฝรั่งเศสกับลูกแกะสยาม
ภาพที่ 9 ทหารฝรั่งเศสแทงทหารสยาม
คำอธิบาย : ภาพที่ 8 มาจากหนังสือแมกกาซีนการ์ตูนอังกฤษชื่อ Punch ที่เปรียบฝรั่งเศสเป็นหมาป่าที่มุ่งจะเขมือบลูกแกะสยาม (ต้องการแย่งชิงเอาแผ่นดินของสยาม) ที่มีแม่น้ำโขงคั่นอยู่เท่านั้น

ส่วนภาพที่ 9 มาจากหนังสือพิมพ์อังกฤษชื่อ Sketch ที่เปรียบเทียบพลังอำนาจทางทหารระหว่างฝรั่งเศสกับสยามว่า ทหารสยามเปรียบเสมือนทหารหุ่นไม้ที่ไม่มีทางสู้ทหารฝรั่งเศสได้ ดังนั้นทหารฝรั่งเศสจะทำอย่างไรก็ได้ (จาก Wikipedia)

ภาพที่ 10 – 11 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงงานในพื้นที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบวันเวลาที่แน่นอนของรูปภาพ แต่ทุกท่านคงได้เห็นถึงความวิริยะอุตสาหะของพระองค์
ในเรื่องนี้ ถ้าได้ศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์แล้ว ทุกท่านก็จะพบว่า สถาบันกษัตริย์ของไทยเป็นพลังที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้และรักษาแผ่นดินไทยตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และยังทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนความเป็นชาติไทยให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงและมีเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงควรได้รับการปกป้องอย่างสุดความสามารถจากภาครัฐและคนไทยทุกคน

มาถึงตรงนี้ก็มีคำถามว่า กลุ่มคนเหล่านี้ทำไปเพื่ออะไร คงอยากดัง หรือคงไม่มีความรู้ที่จะทำเรื่องที่ยากกว่านี้ แต่มีบางคนให้ความเห็นว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีเจตนาและจงใจที่จะกระทำการหมิ่นสถาบันอย่างแน่นอน เพราะได้มีการวางแผน เขียนบท กำหนดตัวผู้เล่น และซักซ้อมกันมาเป็นเวลานาน และคงมีเป้าหมายที่จะทำลายสถาบันกษัตริย์เพื่อต้องการจะล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาปนาระบอบการปกครองที่ลอกเลียนมาจากต่างชาติ (เพราะคิดเองไม่เป็น) ที่กลุ่มของตนต้องการและเชื่อถือว่าดี

ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลและกองทัพบกที่ไม่เพียงจะต้องพัฒนาหน่วยงานข่าวทั้งหมดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังจะต้องศึกษาหารูปแบบในการพัฒนาจิตใจคนไทยทุกคนให้ยึดมั่นในความรักชาติและมีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยอีกด้วย

หมายเหตุ : ขอเชิญแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถ้ามีคำถามกรุณาส่งที่ udomdee@gmail.com

1วีระศักดิ์ นาทะสิริ, ปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ : ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ (Armed Conflict) การก่อการร้าย (Terrorism) และแนวทางการแก้ไขปัญหา

2ASTVผู้จัดการออนไลน์, ตำรวจฝากขัง “กอล์ฟ ประกายไฟ” แสดงละครหมิ่นเบื้องสูง,วันที่16 ส.ค. 2557
“ใครแพ้-ใครชนะ” ใน “ศึกกาซา” คราวนี้
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ออกมาแถลงยืนยันอย่างแข็งขันว่า อิสราเอลคือผู้ “ชนะ” ในการรุกถล่มดินแดนกาซาอย่างโหดเหี้ยมเป็นเวลา 51 วันในคราวนี้ ทว่าน้ำหนักคำพูดของเขากลับถูกบ่อนทำลายจากการที่ฐานะทางการเมืองของเขากำลังโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ และประเทศก็ยิ่งเกิดการแตกแยกกันหนักขึ้นทุกทีจากการศึกหนนี้ ในส่วนของฝ่ายฮามาสนั้น การที่พวกเขา “เฉลิมฉลอง” ภายหลังการหยุดยิง บางทีอาจจะทำให้ผู้ที่อยู่นอกกาซาบังเกิดความเข้าใจผิดได้เช่นกัน สำหรับดินแดนแห่งนี้แล้ว การสิ้นสุดของสงครามครั้งนี้มิได้เป็นเหตุผลอันสมควรแก่การเฉลิมฉลองเลย ทว่านี่คือโอกาสแห่งการจดจารถึงชัยชนะที่พวกเขามีเหนืออำนาจทางการทหารของอิสราเอล ซึ่งเคยข่มกดครอบงำพวกเขาจนเงยหัวไม่ขึ้นตลอดมาต่างหาก มันจึงเป็นชัยชนะอันสำคัญแม้จะน่าหดหู่เศร้าใจก็ตามที
กำลังโหลดความคิดเห็น