xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นับวันยิ่งตอกย้ำ กสทช.ไร้น้ำยา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -วิ่งเข้าโรงพยาบาลกันแทบไม่ทัน !! ตามคิวที่ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม และหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาตอกหน้าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) จนหมอไม่รับเย็บ

หลังกสท. จะส่งเรื่องให้คสช. เพื่อขอแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ของประกาศ คสช. ฉบับที่ 27 กรณีปัญหาสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ระบบอนาล็อกพ้นจากฟรีทีวี ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา จะสามารถออกอากาศผ่านดาวเทียม และเคเบิลทีวี ได้หรือไม่

“บิ๊กต๊อก”ย้ำชัดๆ ว่า ประกาศของ คสช. ทุกฉบับตั้งแต่ฉบับแรก วันที่ 22,23,27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ไม่มีฉบับใด หรือข้อไหนที่บอกเรื่องการจัดการความถี่สักตัวอักษรเดียว พร้อมทั้งเฉ่ง กสท. แรงๆ เลยว่า เรื่องนี้เป็นกระบวนการของ กสท.ที่จะต้องพิจารณาบนพื้นฐานกฎหมาย

“คำสั่ง คสช. 3 บรรทัดแรก อ่านแล้วก็จะเข้าใจทันทีว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ กสทช.เลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เข้าใจเจตนารมณ์”

ถอดคำพูด “บิ๊กต๊อก”ออกมาไม่ใช่แค่เตือนสติ ยังเป็นเหมือน “สั่งสอน”กสทช.กันกลายๆ ถ้าเปิดโวลุ่ม เร่งเสียงซักหน่อย ก็ไม่ต่างกับด่ากันโต้งๆ ว่า “ปัญญาอ่อน”กันเลยทีเดียว

ว่ากันตามเนื้อผ้ามันก็เป็นไปอย่างที่ “บิ๊กต๊อก”พูดทุกคำ เพราะมันเป็นเรื่องของ“กสทช. - ช่อง 3”ที่จะต้องไปเคลียร์กันเองตามตัวบทกฎหมาย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ คสช. เลยแม้แต่น้อย

เพราะเด็ก ป.3 ก็รู้ว่า ประกาศ คสช.ฉบับที่ 27 ในวันนั้น มันเป็นเรื่องการรักษาความสงบ ไม่ได้เกี่ยวกับกิจการคลื่นความถี่อะไรเลย ขณะเดียวกันคำพูด “บิ๊กต๊อก”ยังเป็นการถลกหนังช่อง 3 ออกมาประจานกันกลางแดดด้วยว่า ข้ออ้างเรื่องประกาศ คสช. ที่ยกมา “โคตรแถ - โคตรมั่ว”และยังพยายามทำตัวเป็น “ศรีธนญชัย”

โดยปัญหาในครั้งนี้คือ ฟรีทีวีเดิมช่องอื่นๆ อย่างช่อง 5, 7, 9, 11 และช่องไทยพีบีเอส ได้ออกอากาศคู่ขนานกันไประหว่างระบบอนาล็อก กับระบบดิจิตอล แต่ช่อง 3 ระบบอนาล็อกกลับไม่นำเอารายการออกอากาศคู่ขนานเหมือนกับช่องอื่นๆ ทั้งที่บริษัทลูกของช่อง 3 ประมูลทีวีดิจิตอลได้ถึง 3 ช่องรายการ

เรื่องของเรื่อง มีการตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุหลักที่ช่อง 3 พยายามแถสีข้างถลอกในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องเม็ดเงินโฆษณา 7 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งฟรีทีวีในระบบอนาล็อก มีเพียง 4 ช่องหลัก ที่แย่งเม็ดเงินโฆษณากันคือ ช่อง 3, 5, 7 และ 9

โดยเฉพาะช่อง 3 และช่อง 7 ครองส่วนแบ่งเม็ดเงินโฆษณาไป 70 %

แต่หากจะขึ้นไปบนทีวีดิจิตอล ที่มีผู้ประกอบการอีก 24 ราย เงิน 7 หมื่นล้าน ก็ต้องหาร 24 เท่ากับรายได้ของช่อง 3 ย่อมต้องลดลง และ หากช่อง 3 จะออกอากาศแบบคู่ขนาน ก็ต้องลดโฆษณาจาก 10 นาที ของระบบอนาล็อก เหลือเพียง 6 นาที ตามกฎของระบบดิจิตอล

นั่นทำให้รายได้ที่เคยโกยเป็นกอบเป็นกำ หดหายทันควัน !!

อีกจุดหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า ช่อง 3 พยายามทำตัวเป็น “จอมแถ”คือ การอ้างว่า กสท. พยายามหยุดยั้งการแพร่ภาพช่อง 3 ในระบบอนาล็อก ผ่านผู้ให้บริการทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวี แต่ขัดกับประกาศของ คสช. ฉบับที่ 27 ที่ต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ชมในระบบดาวเทียมและเคเบิลทีวี ซึ่งมีอยู่ 70% ของประเทศ หรือ ประมาณ 15 ล้านครัวเรือน ยังสามารถรับชมช่อง 3 ได้ตามปกติ

เป็นการให้เหตุผลที่ไม่มีตรรกะทางกฎหมาย และยังพยายามใช้ความ“ป๊อปปูล่า”ของตัวเองมาอยู่เหนือกฎหมายทางอ้อมอีกด้วย โดยการเอาจำนวนยอด“ผู้ชม”เป็นเครื่องต่อรอง เอาชาวบ้านเป็นตัวประกันในครั้งนี้

นับว่าโชคดีที่ คสช.ไม่ได้บ้าจี้ตามข้ออ้างข้างต้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายจุดยืนของตัวเองที่พยายามโปรโมตว่า จะใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ดี ที่ดูหนักหนาสาหัสพอกันกับช่อง 3 ระบบอนาล็อก คือ“กสทช.”ในหมวก “กสท.”ที่ไร้ซึ่งความน่าเกรงขาม และศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่เป็นผู้ใช้และผู้ถือกฎหมาย แล้วกฎหมายก็เขียนทุกอย่างไว้ชัดเสียด้วย

เห็นๆ กันอยู่ว่า ประกาศ คสช. เป็นเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นงานด้านความมั่นคง แต่สิ่งที่ช่อง 3 อ้าง มันเป็นคนละเรื่อง ที่พยายามจะแถเข้าเรื่อง จึงน่าจะพินิจพิเคราะห์เองได้ แต่กลับกล้าๆ กลัวๆ จะส่งหนังสือให้ คสช. พิจารณา ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่อะไรด้วยเลย

เรียกว่า เป็นอำนาจของตัวเองแทบจะเบ็ดเสร็จแท้ๆ ถูกว่าไปตามถูก ผิดว่าไปตามผิด หากยึดบรรทัดฐานนี้ ป่านนี้ช่อง 3 ต้องจดดำไปตามข้อตกลงแล้ว

กสทช.ที่เป็นแหล่งรวมของ “ผู้ทรงคุณวุฒิ”ยังมีหน้าจะไปถามคนอื่น ตัวเองนั่นแหละที่รู้ดีที่สุดกว่าใคร ซึ่งเรื่องนี้หาก กสท. ดำเนินการกับช่อง 3 ด้วยบรรทัดฐานเดียวกันกับ ช่อง 7 ช่อง 9 และ ไทยพีบีเอส ที่ออกอากาศคู่ขนานตั้งแต่แรก จะไม่บานปลายอย่างนี้

การทำแบบนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ช่อง 3 กำลังมีอภิสิทธิ์เหนือช่องอื่นๆ เพียงเพราะเป็น “ป๊อปปูล่า”มียอดผู้ชมมากที่สุดอย่างนั้นหรือ ? หากยึดระบบนี้ เท่ากับประเทศกำลังเดินล้าหลัง

จึงเป็นที่สงสัยว่า ที่ กสทช. ทำตัวเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก เป็นเพราะ“ใจไม่ถึง”หรือ “เกรงใจ”ใครกันแน่

การทำหน้าที่ของ กสทช.วันนี้ ดูผิดเพี้ยนผิดรูปไปหมด หลายคนผิดหวังกับองค์กรแห่งนี้หลายเรื่อง เพราะไม่ว่าจะแตะ จะจับอะไร แทบจะนับนิ้วได้ว่า สำเร็จกี่เรื่อง แต่นับนิ้วไม่ได้ว่า ล้มเหลวกี่เรื่อง

การต่อสู้เพื่อสิทธิประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถ่ายทอดฟุตบอลยูโร ที่แพ้คดีในชั้นศาลปกครองให้กับ บริษัทแกรมมี่ หรือการแพ้คดีการถ่ายทอดสอดฟุตบอลโลก ในชั้นศาลปกครอง ให้กับบริษัทอาร์เอส เป็นผลงานชิ้นโบว์ดำ ที่คนยังไม่ลืม

และโดยเฉพาะเรื่องคดีฮั้วประมูล 3 จี ที่เพิ่งจะรอดบ่วงกันมาได้ หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยกคำร้องไปสดๆ ร้อนๆ แม้จะบริสุทธิ์ผุดผ่องตามกฎหมาย แต่มลทินติดตากับภาพที่ประชาชนมอง เรื่องนี้ยังไงก็ยัง “สีเทา”อยู่

แต่ที่ไม่โดนประชาชนออกมาฟาดฟัน และถือสามากนัก ก็เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย หนำซ้ำ กฎหมายยังเอาผิดไม่ได้ จึงปล่อยไป

ทว่า การพลาดซ้ำๆ ล้มเหลวบ่อยๆ และมาหนล่าสุด คราวนี้ถือเป็นการแหวกอก “กสทช.”ว่า ไร้น้ำยา และยังใจไม่กล้า ในการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่มีอำนาจมหาศาล และค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว จนหลายคนบ่นเสียดาย

ที่ผ่านมา“กสทช.”ถูกสังคมตั้งคำถามมาตลอดว่า สุดท้ายแล้ว ควรจะต้องให้คงอยู่เพื่อทำหน้าที่ต่อไป หรือควรจะยุบทิ้งดี หรือจะต้องปรับปรุงกฎหมาย ให้สามารถทำงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ เพราะตั้งแต่เป็นรูปเป็นร่างเข้ามาวันแรกจนวันนี้ มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย และผลงานที่ไม่เอาอ่าวเอาเสียเลย

จากกรณีนี้ จึงคงทำให้ได้คำตอบกันแล้วว่า ถึงเวลาที่จะต้องทบทวนกันอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่จะ“เละ”กันไปกว่านี้




กำลังโหลดความคิดเห็น