เมื่อวานนี้ (4ก.ย.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช. )ได้มีการพิจารณา ร่าง ความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน + 3 (ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ) หรือ AMRO ที่เสนอโดยหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามมาตรา 23 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ซึ่ง AMRO จะเป็นองค์กรระหว่างประเทศ ที่ทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาคนี้ ในการแก้ไขปัญหาดุลการชำระเงิน และการขาดสภาพคล่องระยะสั้น ของภูมิภาคที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม สมาชิกได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วง กรณีการให้ข้อมูลซึ่งถือเป็นความลับอาจจะกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งงบประมาณที่ประเทศไทยต้องสนับสนุนในฐานะเป็นสมาชิก นอกจากนี้ยังต้องออกกฏหมาย เพื่อรองรับความตกลงดังกล่าวหรือไม่
นายตวง อันทะไชย สนช. กล่าวว่า หากเห็นชอบตามนี้ ประเทศไทยต้องออกกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับความตกลงดังกล่าว และ ต้องสละสิทธิ์อำนาจอธิปไตยให้แก่องค์กรที่ประกอบด้วยประเทศ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนถึงร้อยละ 80 ถือว่ามากกว่าประเทศกลุ่มอาเซียน ที่มีสัดส่วนรวมกันเพียงร้อยละ 20 และไทยอาจจะไม่ได้ประโยชน์จากร่างสัญญาดังกล่าวนี้ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่า หากลงนามไปแล้วจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในด้านใดบ้างหรือไม่ ดังนั้นจึงเสนอให้มีการตั้งกมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านก่อน และนำกลับเข้ามาที่ประชุม สนช.อนุมัติอีกครั้ง
ด้านตัวแทนกระทรวงการคลัง ชี้แจงงบประมาณว่า แต่ละประเทศจะมีกฎหมายที่ป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล กิจการบริษัท และข้อมูลที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากสนช.อภิปรายกันประปราย สุดท้ายมีมติให้ความเห็นชอบเอกฉันท์ ต่อร่างข้อตกลงดังกล่าว 176 เสียง โดยไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณา
ทั้งนี้ จากเอกสารของร่างความตกลงดังกล่าว ได้มีข้อสังเกตว่า องค์กร AMRO มีอำนาจติดตาม ประเมิน และรายงาน ผลต่อสมาชิก เกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจมหภาค และความมั่นคงทางการเงินของสมาชิก ระบุความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาคและการเงินของภูมิภาคให้สมาชิกทราบ และให้ความช่วยเหลือสมาชิก ในการสางแนวนโยบายเพื่อบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าวได้ทันเวลา หากมีการร้องขอจากสมาชิก สนับสนุนสมาชิกในการดำเนินงานตามความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาค และดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ AMRO ตามที่คณะ กรรมการบริหารกำหนด
นอกจากนี้ สมาชิกจะต้องให้ข้อมูล และให้ความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องแก่ AMRO ตามความจำเป็นสำหรับการเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ ตามที่ระบุไว้ โดยอยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของสมาชิก แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลในรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการของบุคคล หรือบริษัท และสมาชิกต้องให้ความร่วมมือกับ AMRO โดยสุจริตในการเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆของ AMRO ตามที่ระบุไว้ในข้อตกลง ส่วนสำนักงานใหญ่ จะตั้งอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม สมาชิกได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วง กรณีการให้ข้อมูลซึ่งถือเป็นความลับอาจจะกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งงบประมาณที่ประเทศไทยต้องสนับสนุนในฐานะเป็นสมาชิก นอกจากนี้ยังต้องออกกฏหมาย เพื่อรองรับความตกลงดังกล่าวหรือไม่
นายตวง อันทะไชย สนช. กล่าวว่า หากเห็นชอบตามนี้ ประเทศไทยต้องออกกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับความตกลงดังกล่าว และ ต้องสละสิทธิ์อำนาจอธิปไตยให้แก่องค์กรที่ประกอบด้วยประเทศ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนถึงร้อยละ 80 ถือว่ามากกว่าประเทศกลุ่มอาเซียน ที่มีสัดส่วนรวมกันเพียงร้อยละ 20 และไทยอาจจะไม่ได้ประโยชน์จากร่างสัญญาดังกล่าวนี้ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่า หากลงนามไปแล้วจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในด้านใดบ้างหรือไม่ ดังนั้นจึงเสนอให้มีการตั้งกมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านก่อน และนำกลับเข้ามาที่ประชุม สนช.อนุมัติอีกครั้ง
ด้านตัวแทนกระทรวงการคลัง ชี้แจงงบประมาณว่า แต่ละประเทศจะมีกฎหมายที่ป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล กิจการบริษัท และข้อมูลที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากสนช.อภิปรายกันประปราย สุดท้ายมีมติให้ความเห็นชอบเอกฉันท์ ต่อร่างข้อตกลงดังกล่าว 176 เสียง โดยไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณา
ทั้งนี้ จากเอกสารของร่างความตกลงดังกล่าว ได้มีข้อสังเกตว่า องค์กร AMRO มีอำนาจติดตาม ประเมิน และรายงาน ผลต่อสมาชิก เกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจมหภาค และความมั่นคงทางการเงินของสมาชิก ระบุความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาคและการเงินของภูมิภาคให้สมาชิกทราบ และให้ความช่วยเหลือสมาชิก ในการสางแนวนโยบายเพื่อบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าวได้ทันเวลา หากมีการร้องขอจากสมาชิก สนับสนุนสมาชิกในการดำเนินงานตามความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาค และดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ AMRO ตามที่คณะ กรรมการบริหารกำหนด
นอกจากนี้ สมาชิกจะต้องให้ข้อมูล และให้ความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องแก่ AMRO ตามความจำเป็นสำหรับการเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ ตามที่ระบุไว้ โดยอยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของสมาชิก แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลในรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการของบุคคล หรือบริษัท และสมาชิกต้องให้ความร่วมมือกับ AMRO โดยสุจริตในการเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆของ AMRO ตามที่ระบุไว้ในข้อตกลง ส่วนสำนักงานใหญ่ จะตั้งอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์