xs
xsm
sm
md
lg

IMF-ADB-AMRO แนะประเทศ ASEAN+3 เร่งปฏิรูปโครงสร้าง ศก.รับมือความผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปลัด “คลัง” เผย “IMF-ADB-AMRO” แนะประเทศสมาชิกอาเซียน+3 เร่งปฏิรูปโครงสร้าง ศก.เพื่อรองรับความผันผวน ระบุ 2 ปัจจัยเสี่ยงในระยะต่อไปกรณีเฟดขึ้น ดบ.ในเดือน ธ.ค.นี้ จะทำให้ตลาดเงินในภูมิภาคผันผวน และกรณีการชะลอตัวของ ศก.จีน จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ ศก.ของประเทศในภูมิภาค

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies ’ Meeting: AFCDM+3) เมื่อวันที่ 2-3 ธันวาคม 2558 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งที่ประชุม AFCDM+3 ได้หารือประเด็นด้านเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อเสถียรภาพของภูมิภาคอาเซียน+3 ดังนี้

1.ภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมเห็นพ้องว่า เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ในระดับปานกลาง เนื่องจากมีประสิทธิภาพการผลิตต่ำ การค้าระหว่างประเทศชะลอตัว และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับในระยะต่อไป มีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุน และการอ่อนค่าของสกุลเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 ขณะเดียวกัน การชะลอตัวของเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาค

อย่างไรก็ดี สาธารณรัฐประชาชนจีน อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อมุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ดังนั้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) จึงได้มีข้อเสนอแนะให้ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 เตรียมความพร้อมรองรับความเสี่ยงดังกล่าว และเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานให้มากขึ้น

2.การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ซึ่งเป็นกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 มีขนาดวงเงินช่วยเหลือรวม 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อป้องกัน และบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยในการประชุมครั้งนี้ ประเทศสมาชิกได้พิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของ CMIM เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินอย่างเพียงพอ และทันท่วงที โดยเฉพาะการพิจารณาเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับการเพิ่มสัดส่วนความช่วยเหลือที่ไม่เชื่อมโยงต่อการให้ความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund De-linked Portion) จากปัจจุบันที่ร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 ของจำนวนเงินช่วยเหลือสูงสุดที่แต่ละประเทศจะได้รับภายใต้กลไก CMIM

3.การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ AMRO เพื่อให้สามารถทำหน้าที่วิเคราะห์ ติดตาม และเฝ้าระวังเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปัจจุบันการดำเนินการเพื่อยกระดับ AMRO ให้มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศมีความคืบหน้าอย่างมาก และคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในต้นปี 2559 ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันความตกลงจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 พ.ศ.2558 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 และถือเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 8 ที่ได้ให้สัตบายันความตกลงดังกล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงกระบวนการคัดเลือกผู้บริหารระดับสูงของ AMRO ซึ่งประกอบด้วย ผู้อำนวยการ AMRO ที่จะหมดวาระลงในเดือนพฤษภาคม 2559 และการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ ได้แก่ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ 2 ตำแหน่ง และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ 1 ตำแหน่ง

4.มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative : ABMI) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 ให้เป็นแหล่งระดมเงินทุน และเป็นทางเลือกในการออม โดยมีความคืบหน้าหลัก ได้แก่ การดำเนินงานของกลไกการค้ำประกันเครดิต และการลงทุน (Credit Guarantee and Investment Facility : CGIF) ของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งได้ค้ำประกันตราสารหนี้ให้แก่ภาคเอกชนเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ และความสำเร็จโครงการประสานกฎเกณฑ์การออกตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Multi-Currency Bond Issuance Framework : AMBIF) ที่ได้เริ่มใช้ใบคำขออนุญาตเสนอขายตราสารหนี้แบบเดียว (Single Submission Form) ในการยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งได้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทในประเทศไทยของธนาคารมิซูโฮ เป็นจำนวนเงิน 3,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558

อนึ่ง ในช่วงระหว่างการประชุม ปลัดกระทรวงการคลังได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือทวิภาคีกับนาย Shi Yaobin ปลัดกระทรวงการคลังสาธารณรัฐประชาชนจีน และนาย Masatsugu Asakawa ปลัดกระทรวงการคลังด้านต่างประเทศของญี่ปุ่น เพื่อหารือ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการเงินระหว่างทั้งสองฝ่าย
กำลังโหลดความคิดเห็น