xs
xsm
sm
md
lg

รมว.คลัง ยืนยันต่อที่ประชุมสภาผู้ว่าการ ADB มุ่งยกระดับ ศก.ไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รมว.คลัง ยืนยันต่อที่ประชุมสภาผู้ว่าการ ADB มุ่งยกระดับ ศก.ไทย ที่เน้นนวัตกรรม พร้อมเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (AFMGM+3) ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 4-7 พฤษภาคม 2560 ณ นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB ครั้งที่ 50 ภายใต้หัวข้อ “Building Together the Prosperity of Asia” โดย รมว.คลัง ในฐานะผู้ว่าการ ADB ของไทย ได้กล่าวสุนทรพจน์ถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสำคัญๆ ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศให้สูงขึ้นด้วยเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้แนวคิดประเทศไทย 4.0 ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการลงทุนผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎระเบียบที่เอื้อต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบสวัสดิการด้านสังคมของประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับ ADB เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงสังคม และสิ่งแวดล้อม และบทบาทความร่วมมือระหว่างกันภายในภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่เศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม และยั่งยืนเพื่อบรรลุเป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ค.ศ.2030

2.ในการหารือโต๊ะกลมของผู้ว่าการ ADB ภายใต้หัวข้อ “Responding to Rising Inequality” รมว.คลัง ได้กล่าวถึงปัจจัยต่างๆ ที่จะนำไปสู่การลดความยากจน และขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในการเข้าถึงปัจจัยขั้นพื้นฐาน และสวัสดิการแห่งรัฐ และการส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกัน เป็นต้น สำหรับการประชุมระหว่างนาย Takehiko Nakao ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย กับผู้ว่าการของประเทศสมาชิก (Governors’ Plenary) ในหัวข้อ “New ADB Strategy 2030” รมว.คลังของไทย ได้ขอให้ ADB ดำเนินงานให้เป็นไปตามพันธกิจในการลดความยากจน และสนับสนุนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคให้ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาความเชื่อมโยงภายในภูมิภาค ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สร้างสรรค์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3.ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ รมว.คลัง ได้ร่วมหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินชั้นนำของต่างประเทศ เช่น ADB ธนาคารโลก ธนาคาร Mizuho ธนาคาร HSBC ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) และบริษัทหลักทรัพย์ Daiwa เพื่อหารือถึงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจการเงินโลก ภาวะเศรษฐกิจของไทยและนโยบายของรัฐบาลในระยะต่อไป โดยสถาบันการเงินเหล่านี้มีความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศไทยในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

4.นอกจากนี้ รมว.คลังยังได้เข้าร่วมการประชุม AFMGM+3 โดยมีประเด็นการหารือที่สำคัญ ดังนี้

4.1 ภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมเห็นว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 จะยังแข็งแกร่ง และเติบโตได้ดีในปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2561 โดยภูมิภาคเอเชียจะคงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่มีความเหมาะสม โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงมีการดำเนินมาตรการเพื่อปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง และการดำเนินนโยบายมหภาคเพื่อความมั่นคง (macroprudential policy) ที่มีประสิทธิภาพ และมีความระมัดระวัง แม้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีจากภาคการผลิต และการค้าที่กำลังฟื้นตัว แต่เศรษฐกิจโลกก็ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการดำเนินนโยบายปกป้องทางการค้า และการดำเนินนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดมากขึ้น

โดยที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า แต่ละประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายแบบผสมผสาน (Policy Mix) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ขณะเดียวกัน ก็ต้องดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างสมดุล และทั่วถึง นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังตระหนักถึงประโยชน์ของการพัฒนาตลาดทุนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายของเงินทุนระหว่างประเทศ รวมถึงต้องมีการพัฒนาระบบการติดตาม และป้องกันความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนควบคู่ไปด้วย

4.2 กรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 ที่ประชุมรับทราบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ (1) การหารือความเป็นไปได้ในการเพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ในกรณีที่สมาชิกประสบปัญหาสภาพคล่อง และยังไม่ได้เข้าโครงการความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund De-linked Portion : IMF De-linked Portion) (2) การจัดทำยุทธศาสตร์ และแผนการดำเนินงานในระยะปานกลางของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกลไก CMIM และ (3) ความคืบหน้าการดำเนินงานภายใต้มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative : ABMI)

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ประกาศวิสัยทัศน์โยโกฮามา (Yokohama Vision) ในการกำหนดทิศทางความร่วมมือของอาเซียน+3 โดยครอบคลุม 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการรองรับผลกระทบของภูมิภาคอาเซียน+3 และการส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการรวมกลุ่มของอาเซียน+3

สำหรับการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB ครั้งที่ 51 ที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ จะเป็นเจ้าภาพ และการประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ 21 ที่ประเทศสิงคโปร์ และสาธารณรัฐเกาหลี จะเป็นประธานร่วม จะจัดขึ้น ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในต้นเดือนพฤษภาคม 2560
กำลังโหลดความคิดเห็น