ผมได้รับเชิญจาก “โครงการสร้างสุขสู่เมืองลุงน่าอยู่” ของ “เครือข่ายความร่วมมือเพื่อร่วมสร้างเมืองลุงน่าอยู่” ให้ไปบรรยายในสมัชชาสร้างสุขคนเมืองลุง จังหวัดพัทลุงในหัวเรื่อง “เมืองลุงจะน่าอยู่…ท่ามกลางกระแสพัฒนา” ประกอบกับในช่วงนี้ผมมีภารกิจในลักษณะเช่นนี้หลายอย่างติดๆ กัน จึงขอถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเขียนลงใน “โลกที่ซับซ้อน” ในเอเอสทีวีผู้จัดการเสียเลย เรียกว่า “ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว” คงไม่ว่ากันนะครับ
ผมมีประเด็นนำเสนอ4 ประเด็นดังต่อไปนี้ครับ
หนึ่ง มายาคติเรื่องการพัฒนา เปรียบเทียบ “รายได้” คนระยองกับคนเมืองลุง
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า “การพัฒนา หมายถึงการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งดีขึ้น หรือเจริญขึ้น” แต่ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ได้เขียนด้วยลายมือของท่านเองว่า “คำว่า “พัฒนา” นั้นตามตัวหนังสือแล้วหมายถึง “โตขึ้น” เท่านั้นดีก็ได้ บ้าก็ได้ ที่โตขึ้น”
ผมได้นำเอาแนวคิดที่แตกต่างกันมาเสนอในที่นี้ก็เพื่อกระตุกต่อมความคิด ใครจะเห็นด้วยกับความหมายไหนก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของแต่ละท่านนะครับ
ประเทศไทยเราก็เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่ชี้วัดผลการพัฒนากันด้วยรายได้เป็นหลักสำคัญ และที่เรารู้จักกันดีก็คือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) หรือจีดีพีซึ่งหมายถึงมูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งๆ
ในทำนองเดียวกัน หากเราจะวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดใด รายได้นี้เขาเรียกว่า จีพีพี (Gross Province Product) และเมื่อหารด้วยจำนวนประชากรในจังหวัดเขาก็เรียกว่า จีพีพีต่อหัว
ในปี 2555 จังหวัดที่มีจีพีพีต่อหัวสูงที่สุดก็คือจังหวัดระยอง 9.7 แสนบาท (นำแบบม้วนเดียวจบมาตลอดตั้งแต่อย่างน้อยปี 2547) กรุงเทพมหานครเป็นอันดับสาม (4.36 แสนบาท) สำหรับจีพีพีต่อหัวของคนเมืองลุงอยู่ที่อันดับ 58 (7.1 หมื่นบาท) ในขณะที่จังหวัดหนองบัวลำภูมาอันดับสุดท้าย (4.1 หมื่นบาท) สำหรับอีก 6 จังหวัดสามารถดูคร่าวๆ ได้จากกราฟที่ผมพลอตขึ้นเองครับ
จากกราฟดังกล่าวมีสิ่งที่น่าสนใจมากๆ 2 ข้อคือ
(1) ในช่วงปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีปัญหาปรากฏว่าจีพีพีต่อหัวของคนระยองซึ่งเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมาก รวมถึงจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย ในขณะที่จังหวัดที่เป็นเกษตรกรรม เช่น นครศรีธรรมราชและพัทลุง ไม่มีปัญหา
(2) ในปี 2555 ราคายางพาราและปาล์มน้ำมันตกต่ำ เราจะเห็นว่าจีพีพีต่อหัวของจังหวัดพัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรังและสงขลาลดลงเล็กน้อย แต่จังหวัดที่เป็นอุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบ
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/557000010291601.JPEG)
อนึ่ง จากข้อมูลนี้พบว่าในปี 2555 จีพีพีต่อหัวของคนระยองมากเป็น 14 เท่าของคนเมืองลุง และเป็น 23 เท่าของจังหวัดหนองบัวลำภูที่จีพีพีต่อหัวต่ำที่สุด
สิ่งที่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงมักจะอ้างอยู่เสมอว่า อุตสาหกรรมจะทำให้คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้นและทำให้ประเทศพัฒนา (ซึ่งไม่ทราบว่าดีขึ้นอย่างเดียว หรืออาจจะดีก็ได้ บ้าก็ได้) แต่จากการสำรวจ “รายได้เฉลี่ยต่อปีต่อครัวเรือน” (หนึ่งครัวเรือนมีประมาณ 4-5 คน) และ “จำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน” ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ทั้งรายได้และหนี้สินของคนใน 10 จังหวัดที่กล่าวมาแล้วไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก(ยกเว้น กทม.) ดังกราฟ
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/557000010291602.JPEG)
ที่กล่าวมาแล้ว เป็นการพิจารณาในเรื่องของรายได้ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก แต่ไม่ได้กล่าวถึงปัจจัยอื่นๆ เลย
เราได้ยินข่าวอยู่เสมอว่าชาวระยองเป็นโรคมะเร็งและทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้มีข่าวน้ำมันรั่ว ก๊าซรั่ว และการลักลอบทิ้งขยะพิษจากอุตสาหกรรมบ่อยมาก สิ่งเหล่านี้กระจายตัวในวงกว้างเพราะมลพิษสามารถไปตามลม ตามลำน้ำ และขยะพิษก็ไปทางรถบรรทุกได้
ในขณะที่ตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อหัวของจังหวัดที่เป็นอุตสาหกรรมซึ่งสูงเกือบหนึ่งล้านบาทต่อปีกลับไม่ได้กระจายตัวไปลงสู่ครัวเรือนในจังหวัดเลย ดังหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้ว
ขณะนี้แผนพัฒนาภาคใต้ซึ่งได้ริเริ่มมาหลายรัฐบาลแล้ว แต่ได้ถูกประชาชนต่อต้าน เพราะสิ่งที่หน่วยงานรัฐนำเสนอคือนิคมอุตสาหกรรม (รวมถึงปิโตรเคมีด้วย) โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ท่าเรือน้ำลึก ซึ่งในประวัติที่ผ่านมาเราพบแล้วว่าไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ในขณะที่ประชาคมคนเมืองลุงได้กำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า “เมืองเกษตรยั่งยืน ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
สอง กระแสการพัฒนา : สี่ขบวนรถบรรทุกแห่งการทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง ภายใต้โลกาภิวัตน์
ก่อนอื่นขอเรียนว่าข้อดีของโลกาภิวัตน์ก็มีมากมายแต่จะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ ที่ยกด้านไม่ดีมาพูดกันก็เพราะจะได้ช่วยกันระวังไม่ให้ “ความบ้า” มันโตขึ้นมา และเพื่อให้กระชับผมขอนำเสนอด้วยภาพการ์ตูนซึ่งเขียนโดย Chris Madden
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/557000010291603.JPEG)
ขบวนรถบรรทุก 4 คันนี้คือ ขยะพิษอันตราย (Toxic Waste) ทรัพยากรธรรมชาติ(ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ ปิโตรเลียม) อาวุธสงคราม (หมายถึงถังแดงซึ่งเป็นประวัติอันเจ็บปวดของชาวพัทลุงด้วย) และสุดท้าย ขบวนวัฒนธรรม (อาหารต่างชาติ) ซึ่งหมายรวมถึงการศึกษาด้วย
ที่น่าสังเกตนะครับ ขบวนทั้ง 4 นี้มาทางด่วนพิเศษซึ่งสร้างด้วยภาษีของประชาชน ไม่ติดไฟแดงและที่น่าเป็นห่วงมากในสถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเราก็คือทาง คสช.จะใช้ “ทางด่วนพิเศษ” เพื่อขนส่งอะไร
ถ้าถามว่าในบรรดา 4 ขบวนนี้ ขบวนไหนน่ากลัวที่สุด ในทัศนะของผมแล้วเห็นว่าขบวนวัฒนธรรมและการศึกษามีความน่ากลัวที่สุดครับ เพราะมันจะสร้างคนของโลกให้มีลักษณะ 4 ประการ คือ (1) ไม่รู้เรื่องรู้ราว (2) ไม่สนใจซึ่งกันและกัน (3) โง่เขลา และ (4) ไม่สนใจค้นหาความจริง (หมายเหตุ มาจากบทสรุปของ Wendell Berry, นักเขียนชาวอเมริกันผู้ต่อต้านสงคราม คัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สนใจเรื่องชุมชน และติดแผงโซลาร์เซลล์ในไร่ของตนเอง)
นอกจากนี้ คุณอานันท์ ปันยารชุนได้วิจารณ์คนไทยซึ่งผมถือว่าเป็นดอกผลของโลกาภิวัตน์ด้วยว่า (5) เคารพความเห็นของกันและกันน้อยไปและ (6) นับถือปริญญาบัตรมากกว่าความรู้
ผมว่าถ้าเราต้องการจะ “ทำเมืองลุงให้น่าอยู่” ตามเจตนารมณ์ของผู้จัดสมัชชาฯ แล้ว เราจำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะของคนไทยอย่างน้อย 6 ประการนี้ให้มากๆ ด้วยนะครับ
สาม ความสุขมวลรวมแห่งชาติ ตัวชี้วัดที่ครอบคลุมความเป็นมนุษย์
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกได้โฟกัสไปที่เศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับการขยายตัวทางวัตถุ ประเทศภูฏานกลับใช้ปฏิบัติการของสาธารณะ (Public Action) เพื่อเพิ่มสุขภาวะและความสุขที่แท้จริงของประชาชนโดยมีเป้าหมายที่ความสุขมวลรวมแห่งชาติ (Gross National Happiness-GNH)
แนวคิดที่สำคัญของ GNH คือ “การพัฒนาด้วยคุณค่า (Development with Values)” ซึ่งประกอบด้วยคุณค่า 5 ประการคือ
(1) ความเป็นองค์รวม ที่ตระหนักถึงทุกบริบทของความจำเป็นของประชาชนไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิญญาณหรือวัตถุ ด้านกายภาพหรือด้านสังคม
(2) ความมีดุลยภาพ ที่เน้นความก้าวหน้าที่มีดุลยภาพที่นำไปสู่คุณลักษณะของ GNH
(3) มีลักษณะสะสม (Collective) การมองความสุขในลักษณะที่เป็นปรากฏการณ์สะสม
(4) มีความยั่งยืน แสวงหาสุขภาวะทั้งเพื่อคนในรุ่นปัจจุบันและคนในรุ่นอนาคตด้วย
(5) มีความเสมอภาค (Equitable) การบรรลุระดับสุขภาวะอย่างมีเหตุผลและกระจายอย่างเสมอภาค
ความสุขมวลรวมแห่งชาติวางอยู่บนเสา 4 หลัก คือ (1) ความยั่งยืนและความเสมอภาคในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (2) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (3) การอนุรักษ์และการส่งเสริมวัฒนธรรม และ (4) ความมีธรรมาภิบาล
การปฏิรูปพลังงานของไทยที่กำลังเป็นกระแสสังคมก็ควรจะอยู่บนเสาสี่หลักนี้ด้วย การนำข้อมูลด้านพลังงานมาถาม-ตอบกันในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่ได้พูดถึงหลักการก่อนไม่อาจนำสู่การปฏิรูปที่ถูกต้องได้ เราจะตอบคำถามของคนรุ่นหลังที่จะเกิดมาได้อย่างไรว่า “ทำไมไม่เหลือปิโตรเลียมไว้ให้พวกหนูมั่ง”
ข้อมูลเป็นแค่ความรู้เท่านั้นซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่หลักการคือหัวใจที่กำกับความเป็นมนุษย์ (ที่ประเสริฐ) ด้วยเหตุนี้แหละอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงได้กล่าววาจาที่เป็นอมตะว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” เราต้องจินตนาการไปถึงสภาพของสังคมที่น่าอยู่แม้จะยังมาไม่ถึงก็ไม่ไกลเกินกว่าจะวาดหวัง ซึ่งประเทศเล็กๆ อย่างภูฏานมีและกำลังทำให้โลกเห็น
ประเทศภูฏานได้พัฒนา ดัชนีความสุขมวลรวมแห่งชาติโดยพิจารณาถึง 9 องค์ประกอบภายใต้หลักการและเสา 4 หลักดังกล่าว พร้อมกับกำหนดน้ำหนัก (เป็นร้อยละ) เพื่อจัดลำดับความสำคัญของแต่ละองค์ประกอบ ดังรูป
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/557000010291604.JPEG)
สิ่งที่ผมคิดว่าคนไทยเราจะต้องแปลกใจเป็นอย่างมากก็คือปัจจัยด้านการใช้เวลา (Time use) ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุดคือ 13% ในขณะที่ปัจจัยด้านการศึกษาซึ่งคนไทยลงทุนขายไร่ขายนาให้ลูกเรียน แต่ภูฏานกลับให้ความสำคัญในระดับต่ำที่สุดคือ 7%เท่านั้น
ในด้านการศึกษามีตัวชี้วัด 4 ตัวคือ การอ่านออกเขียนได้ (30%) การเรียนการสอน (30%) ความรู้ (20%) และ คุณค่า (20%)
ในด้านความมีธรรมาภิบาล (มีส่วนร่วม 12%) มีตัวชี้วัด 4 ตัวคือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง (40%) การบริการ (40%) การปฏิบัติงานอย่างมีธรรมาภิบาล (10%) และสิทธิขั้นพื้นฐาน (10%) สำหรับรายได้ต่อหัวที่คนไทยเราเน้นกันมากนั้น มีความสำคัญแค่ 1 ใน 3 ของมาตรฐานการครองชีพเท่านั้น
ประเทศไทยเราก็มีการศึกษาเกี่ยวกับความสุขด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่มีการนำไปใช้ในระดับนโยบายของรัฐ ในขณะที่ประเทศภูฏานมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนว่า “รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนสามารถแสวงหาความสุขมวลรวมแห่งชาติ”
จากผลการศึกษาใน “คู่มือสร้างสุขระดับจังหวัด” (มิถุนายน 2554) พบว่าจังหวัดระยองซึ่งมีจีพีพีต่อหัวสูงที่สุดประเทศไทยแต่มี “คะแนนความสุข” ในปี 2553 อยู่ในอันดับที่ 58 (ด้วยคะแนน 32.18) ในขณะที่จังหวัดพัทลุงอยู่ในอันดับที่ 28 (คะแนน 33.87หมายเหตุ ไม่ได้ระบุคะแนนเต็ม) เรียกว่าแทบจะกลับหัวกลับหางกันเลยทีเดียวระหว่างจีพีพีกับความสุขสำหรับจังหวัดที่หนึ่งคือพังงา (36.57คะแนน)
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมได้ศึกษาในคู่มือดังกล่าว ผมเห็นว่าแนวคิดในเรื่อง “ความสุข” ค่อนข้างจะแตกต่างจากหลักการสำคัญของประเทศภูฏานอยู่มาก ทั้งเรื่องการไม่จัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ทั้งองค์ประกอบของความสุขที่เน้นภายในจิตใจของคนมากเกินไป ทั้งอำนาจการจำแนกที่ค่าสูงสุดกับค่าต่ำสุดต่างกันเพียง 4 คะแนนเท่านั้น ผมขออนุญาตไม่วิจารณ์มากกว่านี้ครับ
สี่ บทบาทของภาคประชาชน
การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนและหลากหลายในปัจจุบัน ที่ปรึกษาในองค์การสหประชาชาติท่านหนึ่งถึงกับกล่าวว่า “หากปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้ว การพัฒนาจะล้มเหลว” การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีและปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาการด้วย ไม่ใช่แค่พิธีกรรมที่สักแต่ว่าได้มีแล้วเท่านั้น
สิ่งที่ผมอยากจะกระตุกให้ภาคประชาสังคมช่วยกันคิดก็คือ ทำอย่างไรให้การลงแรงของภาคประชาชนจึงจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมได้มากๆ ชนิดที่ว่าลงแรงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะๆ (ดังภาพ) ซ้ายมือเป็นภาพไข่บนขอบโต๊ะ เราออกแรงนิดเดียวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะ ภาพขวามือเป็นภาพที่อธิบายเรื่องนี้ตามหลักวิชาคณิตศาสตร์ อ้อ! ถ้า คสช. จะเอาไปคิดด้วยก็จะดีมากนะครับ สถานการณ์ประเทศกำลังมาถึงจุดพลิกผันแล้ว คสช.กำลังยืนอยู่ที่จุดนั้น แต่ท่านต้องเลือกทิศทางให้ถูกต้องด้วยด้วย มิฉะนั้นไข่จะตกแตกแน่นอนเลย
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/557000010291605.JPEG)
ผมมีประเด็นนำเสนอ4 ประเด็นดังต่อไปนี้ครับ
หนึ่ง มายาคติเรื่องการพัฒนา เปรียบเทียบ “รายได้” คนระยองกับคนเมืองลุง
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า “การพัฒนา หมายถึงการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งดีขึ้น หรือเจริญขึ้น” แต่ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ได้เขียนด้วยลายมือของท่านเองว่า “คำว่า “พัฒนา” นั้นตามตัวหนังสือแล้วหมายถึง “โตขึ้น” เท่านั้นดีก็ได้ บ้าก็ได้ ที่โตขึ้น”
ผมได้นำเอาแนวคิดที่แตกต่างกันมาเสนอในที่นี้ก็เพื่อกระตุกต่อมความคิด ใครจะเห็นด้วยกับความหมายไหนก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของแต่ละท่านนะครับ
ประเทศไทยเราก็เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่ชี้วัดผลการพัฒนากันด้วยรายได้เป็นหลักสำคัญ และที่เรารู้จักกันดีก็คือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) หรือจีดีพีซึ่งหมายถึงมูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งๆ
ในทำนองเดียวกัน หากเราจะวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดใด รายได้นี้เขาเรียกว่า จีพีพี (Gross Province Product) และเมื่อหารด้วยจำนวนประชากรในจังหวัดเขาก็เรียกว่า จีพีพีต่อหัว
ในปี 2555 จังหวัดที่มีจีพีพีต่อหัวสูงที่สุดก็คือจังหวัดระยอง 9.7 แสนบาท (นำแบบม้วนเดียวจบมาตลอดตั้งแต่อย่างน้อยปี 2547) กรุงเทพมหานครเป็นอันดับสาม (4.36 แสนบาท) สำหรับจีพีพีต่อหัวของคนเมืองลุงอยู่ที่อันดับ 58 (7.1 หมื่นบาท) ในขณะที่จังหวัดหนองบัวลำภูมาอันดับสุดท้าย (4.1 หมื่นบาท) สำหรับอีก 6 จังหวัดสามารถดูคร่าวๆ ได้จากกราฟที่ผมพลอตขึ้นเองครับ
จากกราฟดังกล่าวมีสิ่งที่น่าสนใจมากๆ 2 ข้อคือ
(1) ในช่วงปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีปัญหาปรากฏว่าจีพีพีต่อหัวของคนระยองซึ่งเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมาก รวมถึงจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย ในขณะที่จังหวัดที่เป็นเกษตรกรรม เช่น นครศรีธรรมราชและพัทลุง ไม่มีปัญหา
(2) ในปี 2555 ราคายางพาราและปาล์มน้ำมันตกต่ำ เราจะเห็นว่าจีพีพีต่อหัวของจังหวัดพัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรังและสงขลาลดลงเล็กน้อย แต่จังหวัดที่เป็นอุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบ
อนึ่ง จากข้อมูลนี้พบว่าในปี 2555 จีพีพีต่อหัวของคนระยองมากเป็น 14 เท่าของคนเมืองลุง และเป็น 23 เท่าของจังหวัดหนองบัวลำภูที่จีพีพีต่อหัวต่ำที่สุด
สิ่งที่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงมักจะอ้างอยู่เสมอว่า อุตสาหกรรมจะทำให้คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้นและทำให้ประเทศพัฒนา (ซึ่งไม่ทราบว่าดีขึ้นอย่างเดียว หรืออาจจะดีก็ได้ บ้าก็ได้) แต่จากการสำรวจ “รายได้เฉลี่ยต่อปีต่อครัวเรือน” (หนึ่งครัวเรือนมีประมาณ 4-5 คน) และ “จำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน” ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ทั้งรายได้และหนี้สินของคนใน 10 จังหวัดที่กล่าวมาแล้วไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก(ยกเว้น กทม.) ดังกราฟ
ที่กล่าวมาแล้ว เป็นการพิจารณาในเรื่องของรายได้ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก แต่ไม่ได้กล่าวถึงปัจจัยอื่นๆ เลย
เราได้ยินข่าวอยู่เสมอว่าชาวระยองเป็นโรคมะเร็งและทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้มีข่าวน้ำมันรั่ว ก๊าซรั่ว และการลักลอบทิ้งขยะพิษจากอุตสาหกรรมบ่อยมาก สิ่งเหล่านี้กระจายตัวในวงกว้างเพราะมลพิษสามารถไปตามลม ตามลำน้ำ และขยะพิษก็ไปทางรถบรรทุกได้
ในขณะที่ตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อหัวของจังหวัดที่เป็นอุตสาหกรรมซึ่งสูงเกือบหนึ่งล้านบาทต่อปีกลับไม่ได้กระจายตัวไปลงสู่ครัวเรือนในจังหวัดเลย ดังหลักฐานที่ได้กล่าวมาแล้ว
ขณะนี้แผนพัฒนาภาคใต้ซึ่งได้ริเริ่มมาหลายรัฐบาลแล้ว แต่ได้ถูกประชาชนต่อต้าน เพราะสิ่งที่หน่วยงานรัฐนำเสนอคือนิคมอุตสาหกรรม (รวมถึงปิโตรเคมีด้วย) โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ท่าเรือน้ำลึก ซึ่งในประวัติที่ผ่านมาเราพบแล้วว่าไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ในขณะที่ประชาคมคนเมืองลุงได้กำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า “เมืองเกษตรยั่งยืน ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
สอง กระแสการพัฒนา : สี่ขบวนรถบรรทุกแห่งการทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง ภายใต้โลกาภิวัตน์
ก่อนอื่นขอเรียนว่าข้อดีของโลกาภิวัตน์ก็มีมากมายแต่จะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ ที่ยกด้านไม่ดีมาพูดกันก็เพราะจะได้ช่วยกันระวังไม่ให้ “ความบ้า” มันโตขึ้นมา และเพื่อให้กระชับผมขอนำเสนอด้วยภาพการ์ตูนซึ่งเขียนโดย Chris Madden
ขบวนรถบรรทุก 4 คันนี้คือ ขยะพิษอันตราย (Toxic Waste) ทรัพยากรธรรมชาติ(ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ ปิโตรเลียม) อาวุธสงคราม (หมายถึงถังแดงซึ่งเป็นประวัติอันเจ็บปวดของชาวพัทลุงด้วย) และสุดท้าย ขบวนวัฒนธรรม (อาหารต่างชาติ) ซึ่งหมายรวมถึงการศึกษาด้วย
ที่น่าสังเกตนะครับ ขบวนทั้ง 4 นี้มาทางด่วนพิเศษซึ่งสร้างด้วยภาษีของประชาชน ไม่ติดไฟแดงและที่น่าเป็นห่วงมากในสถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเราก็คือทาง คสช.จะใช้ “ทางด่วนพิเศษ” เพื่อขนส่งอะไร
ถ้าถามว่าในบรรดา 4 ขบวนนี้ ขบวนไหนน่ากลัวที่สุด ในทัศนะของผมแล้วเห็นว่าขบวนวัฒนธรรมและการศึกษามีความน่ากลัวที่สุดครับ เพราะมันจะสร้างคนของโลกให้มีลักษณะ 4 ประการ คือ (1) ไม่รู้เรื่องรู้ราว (2) ไม่สนใจซึ่งกันและกัน (3) โง่เขลา และ (4) ไม่สนใจค้นหาความจริง (หมายเหตุ มาจากบทสรุปของ Wendell Berry, นักเขียนชาวอเมริกันผู้ต่อต้านสงคราม คัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สนใจเรื่องชุมชน และติดแผงโซลาร์เซลล์ในไร่ของตนเอง)
นอกจากนี้ คุณอานันท์ ปันยารชุนได้วิจารณ์คนไทยซึ่งผมถือว่าเป็นดอกผลของโลกาภิวัตน์ด้วยว่า (5) เคารพความเห็นของกันและกันน้อยไปและ (6) นับถือปริญญาบัตรมากกว่าความรู้
ผมว่าถ้าเราต้องการจะ “ทำเมืองลุงให้น่าอยู่” ตามเจตนารมณ์ของผู้จัดสมัชชาฯ แล้ว เราจำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะของคนไทยอย่างน้อย 6 ประการนี้ให้มากๆ ด้วยนะครับ
สาม ความสุขมวลรวมแห่งชาติ ตัวชี้วัดที่ครอบคลุมความเป็นมนุษย์
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกได้โฟกัสไปที่เศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับการขยายตัวทางวัตถุ ประเทศภูฏานกลับใช้ปฏิบัติการของสาธารณะ (Public Action) เพื่อเพิ่มสุขภาวะและความสุขที่แท้จริงของประชาชนโดยมีเป้าหมายที่ความสุขมวลรวมแห่งชาติ (Gross National Happiness-GNH)
แนวคิดที่สำคัญของ GNH คือ “การพัฒนาด้วยคุณค่า (Development with Values)” ซึ่งประกอบด้วยคุณค่า 5 ประการคือ
(1) ความเป็นองค์รวม ที่ตระหนักถึงทุกบริบทของความจำเป็นของประชาชนไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิญญาณหรือวัตถุ ด้านกายภาพหรือด้านสังคม
(2) ความมีดุลยภาพ ที่เน้นความก้าวหน้าที่มีดุลยภาพที่นำไปสู่คุณลักษณะของ GNH
(3) มีลักษณะสะสม (Collective) การมองความสุขในลักษณะที่เป็นปรากฏการณ์สะสม
(4) มีความยั่งยืน แสวงหาสุขภาวะทั้งเพื่อคนในรุ่นปัจจุบันและคนในรุ่นอนาคตด้วย
(5) มีความเสมอภาค (Equitable) การบรรลุระดับสุขภาวะอย่างมีเหตุผลและกระจายอย่างเสมอภาค
ความสุขมวลรวมแห่งชาติวางอยู่บนเสา 4 หลัก คือ (1) ความยั่งยืนและความเสมอภาคในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (2) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (3) การอนุรักษ์และการส่งเสริมวัฒนธรรม และ (4) ความมีธรรมาภิบาล
การปฏิรูปพลังงานของไทยที่กำลังเป็นกระแสสังคมก็ควรจะอยู่บนเสาสี่หลักนี้ด้วย การนำข้อมูลด้านพลังงานมาถาม-ตอบกันในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่ได้พูดถึงหลักการก่อนไม่อาจนำสู่การปฏิรูปที่ถูกต้องได้ เราจะตอบคำถามของคนรุ่นหลังที่จะเกิดมาได้อย่างไรว่า “ทำไมไม่เหลือปิโตรเลียมไว้ให้พวกหนูมั่ง”
ข้อมูลเป็นแค่ความรู้เท่านั้นซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่หลักการคือหัวใจที่กำกับความเป็นมนุษย์ (ที่ประเสริฐ) ด้วยเหตุนี้แหละอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงได้กล่าววาจาที่เป็นอมตะว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” เราต้องจินตนาการไปถึงสภาพของสังคมที่น่าอยู่แม้จะยังมาไม่ถึงก็ไม่ไกลเกินกว่าจะวาดหวัง ซึ่งประเทศเล็กๆ อย่างภูฏานมีและกำลังทำให้โลกเห็น
ประเทศภูฏานได้พัฒนา ดัชนีความสุขมวลรวมแห่งชาติโดยพิจารณาถึง 9 องค์ประกอบภายใต้หลักการและเสา 4 หลักดังกล่าว พร้อมกับกำหนดน้ำหนัก (เป็นร้อยละ) เพื่อจัดลำดับความสำคัญของแต่ละองค์ประกอบ ดังรูป
สิ่งที่ผมคิดว่าคนไทยเราจะต้องแปลกใจเป็นอย่างมากก็คือปัจจัยด้านการใช้เวลา (Time use) ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุดคือ 13% ในขณะที่ปัจจัยด้านการศึกษาซึ่งคนไทยลงทุนขายไร่ขายนาให้ลูกเรียน แต่ภูฏานกลับให้ความสำคัญในระดับต่ำที่สุดคือ 7%เท่านั้น
ในด้านการศึกษามีตัวชี้วัด 4 ตัวคือ การอ่านออกเขียนได้ (30%) การเรียนการสอน (30%) ความรู้ (20%) และ คุณค่า (20%)
ในด้านความมีธรรมาภิบาล (มีส่วนร่วม 12%) มีตัวชี้วัด 4 ตัวคือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง (40%) การบริการ (40%) การปฏิบัติงานอย่างมีธรรมาภิบาล (10%) และสิทธิขั้นพื้นฐาน (10%) สำหรับรายได้ต่อหัวที่คนไทยเราเน้นกันมากนั้น มีความสำคัญแค่ 1 ใน 3 ของมาตรฐานการครองชีพเท่านั้น
ประเทศไทยเราก็มีการศึกษาเกี่ยวกับความสุขด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่มีการนำไปใช้ในระดับนโยบายของรัฐ ในขณะที่ประเทศภูฏานมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนว่า “รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนสามารถแสวงหาความสุขมวลรวมแห่งชาติ”
จากผลการศึกษาใน “คู่มือสร้างสุขระดับจังหวัด” (มิถุนายน 2554) พบว่าจังหวัดระยองซึ่งมีจีพีพีต่อหัวสูงที่สุดประเทศไทยแต่มี “คะแนนความสุข” ในปี 2553 อยู่ในอันดับที่ 58 (ด้วยคะแนน 32.18) ในขณะที่จังหวัดพัทลุงอยู่ในอันดับที่ 28 (คะแนน 33.87หมายเหตุ ไม่ได้ระบุคะแนนเต็ม) เรียกว่าแทบจะกลับหัวกลับหางกันเลยทีเดียวระหว่างจีพีพีกับความสุขสำหรับจังหวัดที่หนึ่งคือพังงา (36.57คะแนน)
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมได้ศึกษาในคู่มือดังกล่าว ผมเห็นว่าแนวคิดในเรื่อง “ความสุข” ค่อนข้างจะแตกต่างจากหลักการสำคัญของประเทศภูฏานอยู่มาก ทั้งเรื่องการไม่จัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ทั้งองค์ประกอบของความสุขที่เน้นภายในจิตใจของคนมากเกินไป ทั้งอำนาจการจำแนกที่ค่าสูงสุดกับค่าต่ำสุดต่างกันเพียง 4 คะแนนเท่านั้น ผมขออนุญาตไม่วิจารณ์มากกว่านี้ครับ
สี่ บทบาทของภาคประชาชน
การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนและหลากหลายในปัจจุบัน ที่ปรึกษาในองค์การสหประชาชาติท่านหนึ่งถึงกับกล่าวว่า “หากปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้ว การพัฒนาจะล้มเหลว” การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีและปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาการด้วย ไม่ใช่แค่พิธีกรรมที่สักแต่ว่าได้มีแล้วเท่านั้น
สิ่งที่ผมอยากจะกระตุกให้ภาคประชาสังคมช่วยกันคิดก็คือ ทำอย่างไรให้การลงแรงของภาคประชาชนจึงจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมได้มากๆ ชนิดที่ว่าลงแรงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะๆ (ดังภาพ) ซ้ายมือเป็นภาพไข่บนขอบโต๊ะ เราออกแรงนิดเดียวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะ ภาพขวามือเป็นภาพที่อธิบายเรื่องนี้ตามหลักวิชาคณิตศาสตร์ อ้อ! ถ้า คสช. จะเอาไปคิดด้วยก็จะดีมากนะครับ สถานการณ์ประเทศกำลังมาถึงจุดพลิกผันแล้ว คสช.กำลังยืนอยู่ที่จุดนั้น แต่ท่านต้องเลือกทิศทางให้ถูกต้องด้วยด้วย มิฉะนั้นไข่จะตกแตกแน่นอนเลย