ถามว่าดีใจไหมที่ประเทศมีนายกรัฐมนตรีได้เสียที คนไทยโดยทั่วไปคงรู้สึกเฉยๆ
เพราะพบหน้าพลเอกประยุทธ์ ทุกวันอยู่แล้วตลอดสามเดือนที่ผ่านมาบนหน้าจอโทรทัศน์ทุกวันที่ดูข่าว
หลังจากรัฐประหารกันมาสามเดือน ชอบไม่ชอบ นายกที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องอดทนก็ต้องเก็บความรู้สึกกันไว้ นี่เป็นภาวะที่ผมสัมผัสมาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หากท่านจะถามเขาว่ามีปัญหาอะไรไหม? ท่านอย่าได้หาความจริงนะครับเพราะว่า
ผู้ฉลาดก็ต้องตอบว่าไม่มีครับ! ดีครับ! สะดวกครับ! ไม่เป็นไรครับ! สุดยอดครับ!
สังคมไทยยามนี้ดูเหมือนต่างก็สงบปากสงบคำ ไม่ยอมแสดงความรู้สึกความคิดเห็น เสียงที่ได้ยินในสังคมจึงเป็นเสียงที่อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ครับท่าน ..รอให้ท่านเป็นนายกเสียก่อน บรรยากาศอาจจะเปลี่ยนไป
วันก่อนในการประชุมสภาครั้งแรกหลังจากท่านถามในที่ประชุมว่า มีปัญหาอะไรไหม ทุกคนในสภาที่ท่านแต่งตั้งก็ได้แต่หัวเราะหึหึ อมยิ้ม เสียงเล็ดลอดออกทางโทรทัศน์ให้ได้ยินทั้งประเทศว่า ไม่มีปัญหาครับท่าน!
ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้ามีปัญหากับท่านกระมัง จะพูดจะจา วันนี้เขาเกรงใจท่านกันทั้งนั้นครับท่านประยุทธ์
แต่ว่าเมื่อเป็นเรื่องของประเทศเรื่องของบ้านเมือง ก็ต้องขออนุญาตเขียนมาปรึกษาท่านเรื่องบ้านเมืองครับ
การอยู่ในสภาของหมู่ชน ยิ่งเป็นหมู่ชนที่มีเกียรติที่เราเรียกว่าการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เราเคยเจอสภาถ่อย พบเห็นสภาเถื่อน สัมผัสสภาทาสกันมาแล้วในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่ท่านจะทำรัฐประหาร
ท่าทีในสภาที่ท่านถามว่ามีใครมีปัญหาอะไรไหม?
คือสภาของหมู่ชนที่เราคิดว่าต้องให้เกียรติไหนๆก็ท่านแต่งตั้งเขาเองมากับมือ เพื่อทำงานให้บ้านเมือง หากท่านใช้ท่าที ที่คิดว่าเขาคือผู้มีเกียรติและได้รับการโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาคือเพื่อนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมผลักดันประเทศให้ไปข้างหน้า เมื่อท่านพูดเสร็จในสภานินิบัญญัติแห่งชาติ
ผมคิดว่าหากท่านใช้คำพูดที่อ่อนน้อมสักนิดต่อสภาซึ่งเป็นที่ทำงานของสถาบันนิติบัญญัติว่า
“ขอบคุณท่านผู้มีเกียรติที่รักชาติที่ฟังการชี้แจงของผม ท่านผู้อาวุโสผู้รักชาติ ท่านผู้มีเกียรติในสภานี้ มีใครมีข้อชี้แนะประการใดบ้างไหมครับ?”
หากท่าทีออกไปแบบนี้ บุญบารมี ความเกรงใจก็ย่อมเกิดขึ้นแก่ตัวท่านเองครับ เพราะทุกท่านในสภาก็เป็นทหารที่มีเกียรติ บางคนเป็นข้าราชการที่มีคุณค่าต่อการช่วยท่านทำงาน บางคนเป็นนักวิชาการ บางคนก็เป็นสมาชิกวุฒิสภามาก่อนที่ท่านจะมามีอำนาจ
ก่อนหน้าที่ท่านจะรัฐประหารเป็นผู้นำของคสช.! ท่านยังสุภาพอ่อนน้อมต่อรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชาอยู่เลยนี่ครับ!
ที่ผมแสดงความเห็นมานี้ ก็อยากให้ความปรารถนาดีของท่านต่อประเทศชาติ บรรลุผลด้วยทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ! “ อ่อนน้อมต่อคนดี แข็งกร้าวต่อคนเลว สุภาพในหมู่ชน”
ผมยังจำคำสอนนี้ เขียนติดอยู่ที่ข้างฝาโรงเรียน สมัยเรียนประถม ยังจำขึ้นใจมาจนถึงวันนี้ครับท่าน
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากนำมาเรียนปรึกษากับท่านนายกประยุทธ์ ความรู้สึกของผู้คนคนดีในสังคมเขาคิดอย่างไร ในช่วงที่ท่านมีอำนาจ
ผมคิดว่าสิ่งที่เขาสะท้อนหากท่านได้ รับรู้ ว่าคนดีๆที่เขารักชาติบ้านเมือง เขาเขียนสะท้อนความรู้สึกกันอย่างไรในสภาวะนี้คงเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย
อาจารย์เสรี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผมสมัยอยู่ธรรมศาสตร์ ท่านเป็นนักวิชาการที่กล้าหาญคนหนึ่งในยามที่บ้านเมืองต้องการคนกล้า อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ท่านเขียนสะท้อนเอาไว้ว่า
“ ..นั่งอยู่ในสวนดูคนที่อาสามาทำสวนให้ ก็บอกเขาไปว่าต้นไม้ต้นหนึ่งรากมันเน่ามีปลวกมีแมลงกิน ส่งผลให้ใบร่วงหล่นหายไปเกือบหมดต้น เขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยจัดการกับต้นนั้น ว่าแล้วเขาก็ไปจัดการต้นไม้ต้นอื่น บางต้นก็มีใบเน่า บางต้นก็มีด้วง มีหนอนกิน บางต้นกิ่งผุน่ากลัวจะพังมาเป็นอันตราย ดูเขาทำไปก็ถูกใจนะ เพราะว่าจะว่าไปต้นไม้ทุกต้นที่เขาจัดการก็เป็นต้นไม้เจ้าปัญหาในสวนของเราเหมือนกัน เพราะมันเน่ามันผุไม่น้อย
เพียงแต่เรามองว่ามันไม่ใช่เป็นต้นไม้ตัวการหลัก ที่กำลังทำลายความงามในสวนของเรา ก็บอกเขา..ขอบใจนะที่ดูแลแก้ไขใบไม้เน่ากิ่งไม้เน่าในต้นไม้เหล่านั้น ขอแสดงความชื่นชมด้วยใจจริง แล้วก็บอกเขาไปว่า เราเป็นห่วงต้นไม้ตัวการต้นนั้น กลัวว่าหนอนและแมลงที่ชอบไชต้นไม้ต้นนั้นอยู่ จะทำลายต้นไม้ต้นอื่นให้เน่าตามไปด้วย ช่วยให้เขารีบจัดการด้วย ปรากกฎว่าเขามีท่าทีรีรอและบอกกับเราว่า ในเมื่อมอบหมายให้เขามาดูแลสวนให้เราแล้ว เราไม่ควรพูดมาก ให้เราอดทนไปก่อนจนกว่าเขาจะจัดการกับต้นไม้ต้นอื่นๆให้เสร็จก่อน แล้วเขาจะจัดการต้นไม้เน่าต้นนั้นด้วยวิธีการของเขาเอง..
นี่ก็เป็นความคิดหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ของผมสะท้อนออกมาในบ้านเมืองยามนี้ครับท่านประยุทธ์
อีกท่านหนึ่งท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ สมัยผมเป็นนักศึกษาเช่นกัน ท่านน่าจะเขียนเรื่องกฎหมายนะ แต่ปรากฏว่าท่านเขียนเล่าเรื่อง หมากับงูเห่า ว่าจังหวัดอุทัยธานีในชนบท มีฝูงหมาสายเลือดนักสู้ ชอบกัดชอบไล่งูพิษที่จะมาบุกรุกหมู่บ้าน หมาฝูงนี้เก่งมากคอยขับไล่งูพิษไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน ฝูงหมาระดมพลอย่างไม่แบ่งเขาแบ่งเราสู้เหล่างูร้าย
หมาบางตัวสู้กับงูพิษจนตาบอดพิการไปหลายตัวเพื่อไม่ให้งูพิษเข้ามาในหมู่บ้าน
อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ก็ถามว่าถ้าคุณเป็นชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว
จะทำอย่างไรดีมีทางเลือก 2 ทาง
1 วางเฉยปล่อยให้หมากับงูสู้กันไปจนกว่าจะรู้เรื่องแล้วหมู่บ้านก็เงียบไปเอง
2 ปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะหนวกหูนอนไม่หลับทั้งหมู่บ้าน นี่คือที่นอนของคน สัตว์จะมาอาศัยทะเลาะกันตามสันดานไม่ได้ หมู่บ้านต้องการความสงบร่มเย็น เราต้องเอาหมาและงูมาจัดการปรองดอง รู้จักอยู่ร่วมกันให้ได้
รายละเอียดท่านประยุทธ์ครับ ลองหาอ่านกันดูนะครับ ผมคิดว่าเป็นเรื่องของบ้านเมืองแน่นอน!
มาดูอีกท่านหนึ่ง ระยะนี้ท่านเขียนได้อย่างเฉียบคม หากท่านประยุทธ์ได้อ่านก็คงเป็นประโยชน์ไม่น้อยครับ
ท่านประสงค์ สุ่นศิริ เขียนที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าติดต่อกันถึงสองสัปดาห์เรื่อง
บทเรียนจากเดือนพฤษภามหาวิปโยค ปี2535 ท่านพูดถึงเหตุการณ์ ดุลอำนาจของกลุ่มพลังทางการเมืองไว้อย่างชัดเจน ถึงการเกิดขึ้นของอำนาจพรรคทหาร หลังจากทำการรัฐประหารพลเอกชาติชาย
แปลกมากๆ ที่ท่านเขียนติดต่อกันถึงสองสัปดาห์ติดกันในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ให้อ่านกันในยุค คสช.!
ไม่รู้ว่าท่านประสงค์เห็นกาลข้างหน้าของบ้านเมืองอย่างไร ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างสูงยิ่ง รวมไปถึงบทความล่าสุดเรื่อง “ตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน” บทสร้างบ้านเมืองสำคัญยิ่ง
ท่านเขียนทิ้งท้ายด้วยความห่วงใยต่อบ้านเมืองยามนี้ว่า .. “ การนำผู้คนจากที่ต่างๆมาใช้โดยปราศจากการคัดสรร หรือกลั่นกรองให้ดี สักแต่ว่าเป็นพวกเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถประสบการณ์ โดยเฉพาะประวัติที่พอจะนำความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนมาประกอบแล้ว ก็ไม่ผิดอะไรกับวงดนตรี ที่มีนักดนตรีที่ผู้เล่นเข้าขากันไม่ได้ เพราะนอกจากไม่ไพเราะแล้วยังหนวกหูอีกด้วย
ท่านประสงค์เขียนไว้อย่างลึกซึ้งว่า บทสร้างที่ดีที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะสามารถสร้างบ้านสร้างเมืองให้ดีกว่าเก่า สมดังเจตนาของมวลมหาประชาชนที่ออกมาต่อสู้กันครั้งนี้ เพื่อต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ของบ้านเมือง
หากท่านนายกประยุทธ์ได้อ่านถึงความห่วงใยของนักปราชญ์ อย่างท่านประสงค์ ก็คงจะได้ประโยชน์ไม่น้อยที่ในการแก้ปัญหาบ้านเมืองในยามวิกฤติ
ท่านพลเอกประยุทธ์ครับ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พาดหัวในบทวิเคราะห์
“เกมยาวขุมอำนาจใหม่” หน้า 3 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อวันที่21 สิงหาคม โดยผู้จัดการออนไลน์เอามาเขียนเป็นข่าวเพื่อให้เห็นภาพ ชัดเจนขึ้นว่า “ วิเคราะห์การเมืองไทยรัฐเผย บิ๊กเน- เสี่ยหนู คีย์แมนพรรคทหาร” ( มีรายละเอียด ลองหาอ่านดูข่าวออนไลน์ของผู้จัดการ วันที่21สิงหาคมที่ผ่านมา)
ผมเองก็ทำหน้าที่สรุปข่าว สรุปสถานการณ์มาให้ท่านประยุทธ์ฟัง
ว่าสังคมภายนอกวงการข่าวสารสื่อมวลชน นำเสนอบทความบทวิเคราะห์ต่อการดำรงขอผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่ท่านประยุทธ์รับผิดชอบอยู่นั้น เขาว่ากันอย่างไรบ้าง!
ผมเองมีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟังก่อนจบครับว่า เมื่อสองวันที่แล้ว ผมไปตลาดซื้อผักแถวตลาดสันติอโศก พี่น้องประชาชนที่ขายผัก ขายผลไม้พูดฟังชัดเจน เลยนำมาฝากท่านด้วย เขาพูดถึงบ้านเมืองภายใต้การบริหารของท่านประยุทธ์ว่า
“ ในสายตาของ คสช. คนดีๆคงเป็นปัญหาของประเทศกระมัง! ที่ไม่รู้จักทำในสิ่งเลวๆ บ้าง”
ผมฟังแล้วสะอึก! เก็บมาคิดทั้งคืน ทำไมพี่สาวคนขายผัก ย่านสันติอโศกถึงได้สรุปแบบนั้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้คงเป็นประโยชน์ให้ท่านประยุทธ์ ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
นำเรียนปรึกษาท่านมาด้วยความจริงใจครับ
ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที
รายการสภากาแฟ-สภาประชาชน
เพราะพบหน้าพลเอกประยุทธ์ ทุกวันอยู่แล้วตลอดสามเดือนที่ผ่านมาบนหน้าจอโทรทัศน์ทุกวันที่ดูข่าว
หลังจากรัฐประหารกันมาสามเดือน ชอบไม่ชอบ นายกที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องอดทนก็ต้องเก็บความรู้สึกกันไว้ นี่เป็นภาวะที่ผมสัมผัสมาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หากท่านจะถามเขาว่ามีปัญหาอะไรไหม? ท่านอย่าได้หาความจริงนะครับเพราะว่า
ผู้ฉลาดก็ต้องตอบว่าไม่มีครับ! ดีครับ! สะดวกครับ! ไม่เป็นไรครับ! สุดยอดครับ!
สังคมไทยยามนี้ดูเหมือนต่างก็สงบปากสงบคำ ไม่ยอมแสดงความรู้สึกความคิดเห็น เสียงที่ได้ยินในสังคมจึงเป็นเสียงที่อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ครับท่าน ..รอให้ท่านเป็นนายกเสียก่อน บรรยากาศอาจจะเปลี่ยนไป
วันก่อนในการประชุมสภาครั้งแรกหลังจากท่านถามในที่ประชุมว่า มีปัญหาอะไรไหม ทุกคนในสภาที่ท่านแต่งตั้งก็ได้แต่หัวเราะหึหึ อมยิ้ม เสียงเล็ดลอดออกทางโทรทัศน์ให้ได้ยินทั้งประเทศว่า ไม่มีปัญหาครับท่าน!
ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้ามีปัญหากับท่านกระมัง จะพูดจะจา วันนี้เขาเกรงใจท่านกันทั้งนั้นครับท่านประยุทธ์
แต่ว่าเมื่อเป็นเรื่องของประเทศเรื่องของบ้านเมือง ก็ต้องขออนุญาตเขียนมาปรึกษาท่านเรื่องบ้านเมืองครับ
การอยู่ในสภาของหมู่ชน ยิ่งเป็นหมู่ชนที่มีเกียรติที่เราเรียกว่าการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เราเคยเจอสภาถ่อย พบเห็นสภาเถื่อน สัมผัสสภาทาสกันมาแล้วในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่ท่านจะทำรัฐประหาร
ท่าทีในสภาที่ท่านถามว่ามีใครมีปัญหาอะไรไหม?
คือสภาของหมู่ชนที่เราคิดว่าต้องให้เกียรติไหนๆก็ท่านแต่งตั้งเขาเองมากับมือ เพื่อทำงานให้บ้านเมือง หากท่านใช้ท่าที ที่คิดว่าเขาคือผู้มีเกียรติและได้รับการโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาคือเพื่อนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมผลักดันประเทศให้ไปข้างหน้า เมื่อท่านพูดเสร็จในสภานินิบัญญัติแห่งชาติ
ผมคิดว่าหากท่านใช้คำพูดที่อ่อนน้อมสักนิดต่อสภาซึ่งเป็นที่ทำงานของสถาบันนิติบัญญัติว่า
“ขอบคุณท่านผู้มีเกียรติที่รักชาติที่ฟังการชี้แจงของผม ท่านผู้อาวุโสผู้รักชาติ ท่านผู้มีเกียรติในสภานี้ มีใครมีข้อชี้แนะประการใดบ้างไหมครับ?”
หากท่าทีออกไปแบบนี้ บุญบารมี ความเกรงใจก็ย่อมเกิดขึ้นแก่ตัวท่านเองครับ เพราะทุกท่านในสภาก็เป็นทหารที่มีเกียรติ บางคนเป็นข้าราชการที่มีคุณค่าต่อการช่วยท่านทำงาน บางคนเป็นนักวิชาการ บางคนก็เป็นสมาชิกวุฒิสภามาก่อนที่ท่านจะมามีอำนาจ
ก่อนหน้าที่ท่านจะรัฐประหารเป็นผู้นำของคสช.! ท่านยังสุภาพอ่อนน้อมต่อรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชาอยู่เลยนี่ครับ!
ที่ผมแสดงความเห็นมานี้ ก็อยากให้ความปรารถนาดีของท่านต่อประเทศชาติ บรรลุผลด้วยทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ! “ อ่อนน้อมต่อคนดี แข็งกร้าวต่อคนเลว สุภาพในหมู่ชน”
ผมยังจำคำสอนนี้ เขียนติดอยู่ที่ข้างฝาโรงเรียน สมัยเรียนประถม ยังจำขึ้นใจมาจนถึงวันนี้ครับท่าน
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากนำมาเรียนปรึกษากับท่านนายกประยุทธ์ ความรู้สึกของผู้คนคนดีในสังคมเขาคิดอย่างไร ในช่วงที่ท่านมีอำนาจ
ผมคิดว่าสิ่งที่เขาสะท้อนหากท่านได้ รับรู้ ว่าคนดีๆที่เขารักชาติบ้านเมือง เขาเขียนสะท้อนความรู้สึกกันอย่างไรในสภาวะนี้คงเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย
อาจารย์เสรี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผมสมัยอยู่ธรรมศาสตร์ ท่านเป็นนักวิชาการที่กล้าหาญคนหนึ่งในยามที่บ้านเมืองต้องการคนกล้า อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ท่านเขียนสะท้อนเอาไว้ว่า
“ ..นั่งอยู่ในสวนดูคนที่อาสามาทำสวนให้ ก็บอกเขาไปว่าต้นไม้ต้นหนึ่งรากมันเน่ามีปลวกมีแมลงกิน ส่งผลให้ใบร่วงหล่นหายไปเกือบหมดต้น เขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยจัดการกับต้นนั้น ว่าแล้วเขาก็ไปจัดการต้นไม้ต้นอื่น บางต้นก็มีใบเน่า บางต้นก็มีด้วง มีหนอนกิน บางต้นกิ่งผุน่ากลัวจะพังมาเป็นอันตราย ดูเขาทำไปก็ถูกใจนะ เพราะว่าจะว่าไปต้นไม้ทุกต้นที่เขาจัดการก็เป็นต้นไม้เจ้าปัญหาในสวนของเราเหมือนกัน เพราะมันเน่ามันผุไม่น้อย
เพียงแต่เรามองว่ามันไม่ใช่เป็นต้นไม้ตัวการหลัก ที่กำลังทำลายความงามในสวนของเรา ก็บอกเขา..ขอบใจนะที่ดูแลแก้ไขใบไม้เน่ากิ่งไม้เน่าในต้นไม้เหล่านั้น ขอแสดงความชื่นชมด้วยใจจริง แล้วก็บอกเขาไปว่า เราเป็นห่วงต้นไม้ตัวการต้นนั้น กลัวว่าหนอนและแมลงที่ชอบไชต้นไม้ต้นนั้นอยู่ จะทำลายต้นไม้ต้นอื่นให้เน่าตามไปด้วย ช่วยให้เขารีบจัดการด้วย ปรากกฎว่าเขามีท่าทีรีรอและบอกกับเราว่า ในเมื่อมอบหมายให้เขามาดูแลสวนให้เราแล้ว เราไม่ควรพูดมาก ให้เราอดทนไปก่อนจนกว่าเขาจะจัดการกับต้นไม้ต้นอื่นๆให้เสร็จก่อน แล้วเขาจะจัดการต้นไม้เน่าต้นนั้นด้วยวิธีการของเขาเอง..
นี่ก็เป็นความคิดหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ของผมสะท้อนออกมาในบ้านเมืองยามนี้ครับท่านประยุทธ์
อีกท่านหนึ่งท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ สมัยผมเป็นนักศึกษาเช่นกัน ท่านน่าจะเขียนเรื่องกฎหมายนะ แต่ปรากฏว่าท่านเขียนเล่าเรื่อง หมากับงูเห่า ว่าจังหวัดอุทัยธานีในชนบท มีฝูงหมาสายเลือดนักสู้ ชอบกัดชอบไล่งูพิษที่จะมาบุกรุกหมู่บ้าน หมาฝูงนี้เก่งมากคอยขับไล่งูพิษไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน ฝูงหมาระดมพลอย่างไม่แบ่งเขาแบ่งเราสู้เหล่างูร้าย
หมาบางตัวสู้กับงูพิษจนตาบอดพิการไปหลายตัวเพื่อไม่ให้งูพิษเข้ามาในหมู่บ้าน
อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ก็ถามว่าถ้าคุณเป็นชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว
จะทำอย่างไรดีมีทางเลือก 2 ทาง
1 วางเฉยปล่อยให้หมากับงูสู้กันไปจนกว่าจะรู้เรื่องแล้วหมู่บ้านก็เงียบไปเอง
2 ปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะหนวกหูนอนไม่หลับทั้งหมู่บ้าน นี่คือที่นอนของคน สัตว์จะมาอาศัยทะเลาะกันตามสันดานไม่ได้ หมู่บ้านต้องการความสงบร่มเย็น เราต้องเอาหมาและงูมาจัดการปรองดอง รู้จักอยู่ร่วมกันให้ได้
รายละเอียดท่านประยุทธ์ครับ ลองหาอ่านกันดูนะครับ ผมคิดว่าเป็นเรื่องของบ้านเมืองแน่นอน!
มาดูอีกท่านหนึ่ง ระยะนี้ท่านเขียนได้อย่างเฉียบคม หากท่านประยุทธ์ได้อ่านก็คงเป็นประโยชน์ไม่น้อยครับ
ท่านประสงค์ สุ่นศิริ เขียนที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าติดต่อกันถึงสองสัปดาห์เรื่อง
บทเรียนจากเดือนพฤษภามหาวิปโยค ปี2535 ท่านพูดถึงเหตุการณ์ ดุลอำนาจของกลุ่มพลังทางการเมืองไว้อย่างชัดเจน ถึงการเกิดขึ้นของอำนาจพรรคทหาร หลังจากทำการรัฐประหารพลเอกชาติชาย
แปลกมากๆ ที่ท่านเขียนติดต่อกันถึงสองสัปดาห์ติดกันในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ให้อ่านกันในยุค คสช.!
ไม่รู้ว่าท่านประสงค์เห็นกาลข้างหน้าของบ้านเมืองอย่างไร ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างสูงยิ่ง รวมไปถึงบทความล่าสุดเรื่อง “ตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน” บทสร้างบ้านเมืองสำคัญยิ่ง
ท่านเขียนทิ้งท้ายด้วยความห่วงใยต่อบ้านเมืองยามนี้ว่า .. “ การนำผู้คนจากที่ต่างๆมาใช้โดยปราศจากการคัดสรร หรือกลั่นกรองให้ดี สักแต่ว่าเป็นพวกเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถประสบการณ์ โดยเฉพาะประวัติที่พอจะนำความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนมาประกอบแล้ว ก็ไม่ผิดอะไรกับวงดนตรี ที่มีนักดนตรีที่ผู้เล่นเข้าขากันไม่ได้ เพราะนอกจากไม่ไพเราะแล้วยังหนวกหูอีกด้วย
ท่านประสงค์เขียนไว้อย่างลึกซึ้งว่า บทสร้างที่ดีที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะสามารถสร้างบ้านสร้างเมืองให้ดีกว่าเก่า สมดังเจตนาของมวลมหาประชาชนที่ออกมาต่อสู้กันครั้งนี้ เพื่อต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ของบ้านเมือง
หากท่านนายกประยุทธ์ได้อ่านถึงความห่วงใยของนักปราชญ์ อย่างท่านประสงค์ ก็คงจะได้ประโยชน์ไม่น้อยที่ในการแก้ปัญหาบ้านเมืองในยามวิกฤติ
ท่านพลเอกประยุทธ์ครับ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พาดหัวในบทวิเคราะห์
“เกมยาวขุมอำนาจใหม่” หน้า 3 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อวันที่21 สิงหาคม โดยผู้จัดการออนไลน์เอามาเขียนเป็นข่าวเพื่อให้เห็นภาพ ชัดเจนขึ้นว่า “ วิเคราะห์การเมืองไทยรัฐเผย บิ๊กเน- เสี่ยหนู คีย์แมนพรรคทหาร” ( มีรายละเอียด ลองหาอ่านดูข่าวออนไลน์ของผู้จัดการ วันที่21สิงหาคมที่ผ่านมา)
ผมเองก็ทำหน้าที่สรุปข่าว สรุปสถานการณ์มาให้ท่านประยุทธ์ฟัง
ว่าสังคมภายนอกวงการข่าวสารสื่อมวลชน นำเสนอบทความบทวิเคราะห์ต่อการดำรงขอผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่ท่านประยุทธ์รับผิดชอบอยู่นั้น เขาว่ากันอย่างไรบ้าง!
ผมเองมีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟังก่อนจบครับว่า เมื่อสองวันที่แล้ว ผมไปตลาดซื้อผักแถวตลาดสันติอโศก พี่น้องประชาชนที่ขายผัก ขายผลไม้พูดฟังชัดเจน เลยนำมาฝากท่านด้วย เขาพูดถึงบ้านเมืองภายใต้การบริหารของท่านประยุทธ์ว่า
“ ในสายตาของ คสช. คนดีๆคงเป็นปัญหาของประเทศกระมัง! ที่ไม่รู้จักทำในสิ่งเลวๆ บ้าง”
ผมฟังแล้วสะอึก! เก็บมาคิดทั้งคืน ทำไมพี่สาวคนขายผัก ย่านสันติอโศกถึงได้สรุปแบบนั้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้คงเป็นประโยชน์ให้ท่านประยุทธ์ ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
นำเรียนปรึกษาท่านมาด้วยความจริงใจครับ
ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที
รายการสภากาแฟ-สภาประชาชน