สธ. สั่งโรงพยาบาลทั่วประเทศสำรองเซรุ่มแก้พิษงู 7 ชนิด หลังพบมีคนถูกงูพิษกัดตลอดทั้งปี เฉลี่ยปีละ 7,723 ราย ส่วนใหญ่ถูกกัดช่วง พ.ค. เตือน 4 ข้อห้ามช่วยเหลือคนถูกงูพิษกัดแบบผิดๆ
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝนที่น่าห่วง คือ สัตว์เลื้อยคลานมักหนีน้ำและเข้ามาอยู่ในที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะงูพิษ หากถูกกัดแล้ว อาจทำให้เสียชีวิตได้ ปีนี้ สธ. ได้ให้สถานบริการในสังกัดสำรองเซรุ่มแก้พิษงูไว้ให้พร้อม ตามชนิดงูพิษที่พบบ่อย 7 ชนิด ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์งูพิษกัด สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) พบมีคนถูกงูพิษกัดตลอดทั้งปี ตั้งแต่ปี 2546-2555 เฉลี่ยปีละ 7,723 ราย ปี 2555 มีรายงานผู้ถูกงูกัดสูงสุดในเดือน พ.ค. พบมากที่สุดในภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ เกือบร้อยละ 50 ถูกกัดในช่วงฤดูฝน
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดี คร. กล่าวว่า การสังเกตว่างูที่กัดเป็นงูมีพิษหรือไม่ ให้ดูจากรอยเขี้ยวงู หากเป็นงูพิษ รอยแผลจะมีขนาดเล็กคล้ายถูกเข็มตำ โดยปกติจะมี 2 รอย อยู่คู่กัน อย่างไรก็ตาม บางครั้งอาจจะเห็นเพียงรอยเดียว หากถูกกัดที่ปลายมือปลายเท้า ทั้งนี้พิษของงู ขึ้นอยู่กับชนิดของงู โดยงูที่มีพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา เมื่อพิษเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจ งูที่มีพิษต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกผิดปกติ ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ หลังถูกกัดจะมีเลือดซึมออกจากแผลรอยเขี้ยว หรือมีจ้ำเลือดที่บริเวณแผล มีเลือดออกตามไรฟัน บางรายอาจทำให้ไตวายได้
นพ.โสภณ กล่าวว่า ภายหลังถูกงูพิษกัด ควรทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนถึงมือแพทย์ โดยให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไป ให้บีบเลือดออกจากบาดแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยขจัดพิษงูออกจากร่างกาย และโทร.แจ้งหน่วยแพทย์กู้ชีพทางหมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด โดยพยายามให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ควรใช้ไม้กระดานหรือกระดาษแข็งๆ รองหรือดามไว้จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล เพื่อชะลอพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายช้าลง โดยอาจนำซากงูพิษที่กัดไปให้แพทย์ดูด้วยหากเป็นไปได้ สิ่งที่ไม่ควรทำในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกงูพิษกัด คือ 1. ห้ามใช้เหล้า ยาสีฟัน หรือสิ่งอื่นๆ ทาแผล พอกแผล เนื่องจากอาจทำให้แผลติดเชื้อ 2. ไม่ควรกรีดแผล เนื่องจากจะทำให้พิษงูกระจายเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น 3. ไม่ควรใช้ปากดูดเลือดจากแผลงูกัด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ดูดได้ และ 4. ห้ามให้ผู้ถูกงูกัดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน สำหรับการป้องกันงูกัด ควรเก็บกวาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้สะอาดหลีกเลี่ยงการเดินในบริเวณที่รกร้าง มีหญ้าขึ้นสูง โดยเฉพาะเวลากลางคืน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพกรีดยางตอนกลางคืน หรือ เช้ามืด ควรสวมรองเท้าบูตยางยาวเหนือเข่า หุ้มกางเกง เพื่อเป็นเกราะป้องกันเขี้ยวงู
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ "Quality of Life" ได้ที่
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝนที่น่าห่วง คือ สัตว์เลื้อยคลานมักหนีน้ำและเข้ามาอยู่ในที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะงูพิษ หากถูกกัดแล้ว อาจทำให้เสียชีวิตได้ ปีนี้ สธ. ได้ให้สถานบริการในสังกัดสำรองเซรุ่มแก้พิษงูไว้ให้พร้อม ตามชนิดงูพิษที่พบบ่อย 7 ชนิด ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์งูพิษกัด สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) พบมีคนถูกงูพิษกัดตลอดทั้งปี ตั้งแต่ปี 2546-2555 เฉลี่ยปีละ 7,723 ราย ปี 2555 มีรายงานผู้ถูกงูกัดสูงสุดในเดือน พ.ค. พบมากที่สุดในภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ เกือบร้อยละ 50 ถูกกัดในช่วงฤดูฝน
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดี คร. กล่าวว่า การสังเกตว่างูที่กัดเป็นงูมีพิษหรือไม่ ให้ดูจากรอยเขี้ยวงู หากเป็นงูพิษ รอยแผลจะมีขนาดเล็กคล้ายถูกเข็มตำ โดยปกติจะมี 2 รอย อยู่คู่กัน อย่างไรก็ตาม บางครั้งอาจจะเห็นเพียงรอยเดียว หากถูกกัดที่ปลายมือปลายเท้า ทั้งนี้พิษของงู ขึ้นอยู่กับชนิดของงู โดยงูที่มีพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา เมื่อพิษเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจ งูที่มีพิษต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกผิดปกติ ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ หลังถูกกัดจะมีเลือดซึมออกจากแผลรอยเขี้ยว หรือมีจ้ำเลือดที่บริเวณแผล มีเลือดออกตามไรฟัน บางรายอาจทำให้ไตวายได้
นพ.โสภณ กล่าวว่า ภายหลังถูกงูพิษกัด ควรทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนถึงมือแพทย์ โดยให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไป ให้บีบเลือดออกจากบาดแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยขจัดพิษงูออกจากร่างกาย และโทร.แจ้งหน่วยแพทย์กู้ชีพทางหมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด โดยพยายามให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ควรใช้ไม้กระดานหรือกระดาษแข็งๆ รองหรือดามไว้จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล เพื่อชะลอพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายช้าลง โดยอาจนำซากงูพิษที่กัดไปให้แพทย์ดูด้วยหากเป็นไปได้ สิ่งที่ไม่ควรทำในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกงูพิษกัด คือ 1. ห้ามใช้เหล้า ยาสีฟัน หรือสิ่งอื่นๆ ทาแผล พอกแผล เนื่องจากอาจทำให้แผลติดเชื้อ 2. ไม่ควรกรีดแผล เนื่องจากจะทำให้พิษงูกระจายเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น 3. ไม่ควรใช้ปากดูดเลือดจากแผลงูกัด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ดูดได้ และ 4. ห้ามให้ผู้ถูกงูกัดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน สำหรับการป้องกันงูกัด ควรเก็บกวาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้สะอาดหลีกเลี่ยงการเดินในบริเวณที่รกร้าง มีหญ้าขึ้นสูง โดยเฉพาะเวลากลางคืน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพกรีดยางตอนกลางคืน หรือ เช้ามืด ควรสวมรองเท้าบูตยางยาวเหนือเข่า หุ้มกางเกง เพื่อเป็นเกราะป้องกันเขี้ยวงู
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ "Quality of Life" ได้ที่