คอลัมน์ท่านขุนน้อย หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ถูกนำไปอ้างอิงและพูดถึงในวงกว้าง โดยเฉพาะในหมู่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
หัวข้อในคอลัมน์ตั้งไว้ “แด่...สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขัง ในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยท่านขุนน้อยได้ยกย่องและให้กำลังใจในการทำหน้าที่สื่อมวลชนของนายสนธิ
“ถ้าไม่มีความกล้าหรือลูกบ้า คนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวจุดประกายแล้ว ป่านนี้เราทั้งหลาย คงต้องตกอยู่ในทศวรรษแห่งความมืดมนไปอีกนาน” ท่านขุนน้อยกล่าวไว้ในข้อเขียน
คงเป็นไปตามที่ท่านขุนน้อยเขียน ถ้าไม่มี สนธิ ลิ้มทองกุล ป่านนี้ประเทศไทยคงตกอยู่ภายใต้บาทาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกตระกูลชินวัตรและบรรดาเหล่าขี้ข้า ทำปู้ยี่ปู้ยำจนประเทศยับเยินไปแล้ว
ท่านขุนน้อยเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร จุดยืนทางการเมืองอยู่ตรงไหน และเสื้อสีอะไร สีเหลือง สีแดง สีฟ้า หรือหลากสี
ท่านขุนน้อย เป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์มายาวนาน ใครไปใครมา แต่ท่านขุนน้อยก็ยังปักหลักซื้อใจกับ “เปลว สีเงิน” อยู่ที่ไทยโพสต์
กว่าค่อนชีวิตแล้ว ท่านขุนน้อยคลุกอยู่ในวงการน้ำหมึก เป็นทั้งนักเขียน นักข่าว เจ้าของหนังสือพิมพ์ โดยมีชีวิตที่โชกโชน หัวหกก้นขวิดไม่แพ้ “สนธิ”
ท่านขุนน้อยเป็นนักเขียนดาวรุ่งที่มาแรงมาก ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน โดยเขียนเรื่องสั้นตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ที่ผะดุงศิษย์พิทยา โรงเรียนกลางดงนักเลง และเป็นบก.หนังสือพิมพ์รายวัน ด้วยวัยเพียง 20 ปี เพียงแต่หนังสือพิมพ์รายวันฉบับนั้นก็อายุสั้น
ประมาณปี 2518 ท่านขุนน้อยเข้าไปเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ”รายวัน ของนายขรรค์ชัย บุนปาน และเป็นนักข่าวที่เจาะข่าวได้แหลมคม ในสายข่าวเดียวกันหาตัวจับยาก เพราะทั้งรายงานข่าวลึก สามารถเขียนรายงานข่าวและเขียนบทความที่มีทัศนะกว้างไกลเกินกว่าวัย
ท่านขุนน้อย ทำข่าวได้แทบทุกสาย เว้นแต่สายเดียวคือ สายข่าวต่างประเทศ เพราะอ่อนด้อยเรื่องภาษา ส่วนสายข่าวอื่น ทำได้ดีแทบทุกสาย ไม่เว้นแม้สายข่าวบันเทิง สายข่าววรรณกรรม ซึ่งนำเสนอได้ดีและแหวกแนว
ใครที่ร่วมงานกับท่านขุนน้อย จะยอมรับว่า โดยเป็นคนที่เขียนงานได้รวดเร็วมาก เป็นกูรูของเครื่องพิมพ์ดีด ระบบสองนิ้วจิ้ม โดยพิมพ์นวนิยายได้หลายบทภายในพริบตา เขียนข่าวฉับไวปานสายฟ้าจนเครื่องพิมพ์รับไม่ไหว ตัวอักษรหลวมๆ บนแป้นปลิวว่อนออกจากพิมพ์ดีด จนตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว
ท่านขุนน้อย เป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน รวมแล้วนับสิบฉบับ แต่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด จนสุดท้าย ล้มแล้วเบื่อที่จะลุกขึ้นมาอีก ยอมเลิกราไปเอง โดยหนังสืออาทิตย์รายสัปดาห์ เป็นฉบับสุดท้ายที่ปิดตัวแถวๆ ปี 2535 บวกลบ
สถิติการติดคุกของท่านขุนน้อย ไม่ด้อยไปกว่า “สนธิ” และแม้อายุจะน้อยกว่าร่วม 10 ปี แต่ท่านขุนน้อยถือเป็นรุ่นพี่ที่นอนคุกก่อน โดยประมาณปี 2517 มีคณะนายทหารพ่วงด้วยดาราสาว นำเฮลิคอปเตอร์ไปล่าสัตว์ในทุ่งใหญ่นเรศวร กลายป็นข่าวฉาวโฉ่
คดีมีการฟ้องร้อง แต่ศาลตัดสินยกฟ้อง ท่านขุนน้อยซึ่งแรงกล้าด้วยอุดมการณ์ แต่อ่อนด้อยด้านข้อกฎหมาย ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ “ประชาธิปไตย” วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาล
ผลตามมาคือ เจอข้อหาหมิ่นศาล ต้องติดคุกอยู่หลายเดือน ทั้งที่วัยน่าจะเพียง 18 ปีเท่านั้น และประมาณ 10 ปีต่อมาก็เดินเข้าคุกอีก ถูกยัดเยียดข้อหากบฏนอนอยู่ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนแรมเดือน
ความเป็นนักข่าวที่เจาะข่าวได้ลึก โดยเฉพาะข่าวสายกรมตำรวจ เสี้ยวหนึ่งของชีวิต ท่านขุนน้อยถูกกล่าวหาว่าเป็นสายของตำรวจสันติบาล ต้องอกตรมและเจ็บปวดอยู่พักใหญ่
แต่คนที่ปล่อยข่าวกล่าวหา ปัจจุบันเป็นคอลัมนิสต์สังกัดค่ายหนังสือพิมพ์ขี้ข้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ระหว่างท่านขุนน้อยกับ “สนธิ” รู้จักกันมาเกือบ 40 ปีแล้ว และแม้จะห่างเหิน ด้วยวิถีชีวิตที่แตกต่าง และจะมีอะไรเคืองๆ กันบ้างหรืออย่างไรไม่รู้ ช่วงหลังๆ จึงไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ยังติดตามความเคลื่อนไหวกันอยู่
เพื่อนเก่าในวงการหนังสือพิมพ์ แม้ไม่ได้เจอกันนับสิบปี แต่ “ตด” ก็ยังได้กลิ่นกันบ้าง เพราะไม่มีใครล้มหายตายจาก และไม่ได้ปิดจอรับข่าวสารความเคลื่อนไหวหรือสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนฝูงแต่ละคน
ถ้าไม่ทรยศหักหลังกัน ถ้าไม่เลวจนลืมอุดมการณ์ เพื่อนในวงการหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครโกรธใครถึงขั้นไม่เผาผีกัน อย่างดีถ้าเคืองกัน ทางใครทางมัน วงเหล้าใครวงเหล้ามัน
ท่านขุนน้อย เป็นคนไม่มีสีเสื้อ แต่เป็นนักอุดมการณ์มาตั้งแต่เรียนม.ปลาย และเป็นนักอุดมการณ์ตัวจริง หรือถูกยกให้เป็นศาสดาของนักอุดมการณ์สำหรับรุ่นน้องๆด้วยซ้ำ
ผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนส่วนใหญ่ เป็นจุดยืนที่ท่านขุนน้อยยึดมั่นตั้งแต่ก้าวย่างเข้าวงการหนังสือพิมพ์ ไม่เคยชื่นชมนักการเมือง ไม่ว่าหน้าไหน ใครต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ใครต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ท่านขุนน้อยสนับสนุนสุดตัว
นักหนังสือพิมพ์มักมี “อีโก้” สูง ไม่ยกย่องใครง่ายๆ การเขียนให้กำลังใจ “สนธิ” สะท้อนให้เห็นว่า ท่านขุนน้อยบรรลุแล้วในความเป็นสื่อ ใจกว้างพอที่จะชมเพื่อนหนังสือพิมพ์ที่มีคุณค่าแก่คำชม แยกแยะได้ระหว่างความรู้สึกในทางส่วนตัวกับหลักการของวิชาชีพหนังสือพิมพ์
ท่านขุนน้อยยอมรับว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” เป็นผู้นำความคิดทางสังคม เป็นผู้จุดประกายการต่อสู้ภาคประชาชน และเป็นคนหนังสือพิมพ์ที่บทสรุปสุดท้าย ไม่ยอมทรยศต่อวิชาชีพตัวเอง โดยไม่ต้องนำบทบาทและอุดมการณ์ไปเปรียบเทียบกับนักหนังสือพิมพ์รุ่นพี่คนไหน
ท่านขุนน้อยไม่ได้เป็นสื่อนักต่อสู้ที่มีชื่อเสียง ในฐานะคนที่อยู่หัวขบวนเหมือน “สนธิ” แต่ชีวิต จิตวิญญาณ อุดมการณ์ความเป็นคนหนังสือพิมพ์มั่นคง เข้มแข็งไม่น้อยกว่าใคร
ทุกวันนี้ ท่านขุนน้อยใช้ชีวิตอย่างสมถะ ปลีกวิเวกเป็นศาสดาอยู่ในโลกใบเล็กๆของตัวเอง ไม่นิยมที่จะสังคมกับใครมากนัก แต่ไม่เคยละทิ้งความรับผิดชอบต่อสังคม ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
หัวข้อในคอลัมน์ตั้งไว้ “แด่...สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขัง ในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยท่านขุนน้อยได้ยกย่องและให้กำลังใจในการทำหน้าที่สื่อมวลชนของนายสนธิ
“ถ้าไม่มีความกล้าหรือลูกบ้า คนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวจุดประกายแล้ว ป่านนี้เราทั้งหลาย คงต้องตกอยู่ในทศวรรษแห่งความมืดมนไปอีกนาน” ท่านขุนน้อยกล่าวไว้ในข้อเขียน
คงเป็นไปตามที่ท่านขุนน้อยเขียน ถ้าไม่มี สนธิ ลิ้มทองกุล ป่านนี้ประเทศไทยคงตกอยู่ภายใต้บาทาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกตระกูลชินวัตรและบรรดาเหล่าขี้ข้า ทำปู้ยี่ปู้ยำจนประเทศยับเยินไปแล้ว
ท่านขุนน้อยเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร จุดยืนทางการเมืองอยู่ตรงไหน และเสื้อสีอะไร สีเหลือง สีแดง สีฟ้า หรือหลากสี
ท่านขุนน้อย เป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์มายาวนาน ใครไปใครมา แต่ท่านขุนน้อยก็ยังปักหลักซื้อใจกับ “เปลว สีเงิน” อยู่ที่ไทยโพสต์
กว่าค่อนชีวิตแล้ว ท่านขุนน้อยคลุกอยู่ในวงการน้ำหมึก เป็นทั้งนักเขียน นักข่าว เจ้าของหนังสือพิมพ์ โดยมีชีวิตที่โชกโชน หัวหกก้นขวิดไม่แพ้ “สนธิ”
ท่านขุนน้อยเป็นนักเขียนดาวรุ่งที่มาแรงมาก ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน โดยเขียนเรื่องสั้นตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ที่ผะดุงศิษย์พิทยา โรงเรียนกลางดงนักเลง และเป็นบก.หนังสือพิมพ์รายวัน ด้วยวัยเพียง 20 ปี เพียงแต่หนังสือพิมพ์รายวันฉบับนั้นก็อายุสั้น
ประมาณปี 2518 ท่านขุนน้อยเข้าไปเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ”รายวัน ของนายขรรค์ชัย บุนปาน และเป็นนักข่าวที่เจาะข่าวได้แหลมคม ในสายข่าวเดียวกันหาตัวจับยาก เพราะทั้งรายงานข่าวลึก สามารถเขียนรายงานข่าวและเขียนบทความที่มีทัศนะกว้างไกลเกินกว่าวัย
ท่านขุนน้อย ทำข่าวได้แทบทุกสาย เว้นแต่สายเดียวคือ สายข่าวต่างประเทศ เพราะอ่อนด้อยเรื่องภาษา ส่วนสายข่าวอื่น ทำได้ดีแทบทุกสาย ไม่เว้นแม้สายข่าวบันเทิง สายข่าววรรณกรรม ซึ่งนำเสนอได้ดีและแหวกแนว
ใครที่ร่วมงานกับท่านขุนน้อย จะยอมรับว่า โดยเป็นคนที่เขียนงานได้รวดเร็วมาก เป็นกูรูของเครื่องพิมพ์ดีด ระบบสองนิ้วจิ้ม โดยพิมพ์นวนิยายได้หลายบทภายในพริบตา เขียนข่าวฉับไวปานสายฟ้าจนเครื่องพิมพ์รับไม่ไหว ตัวอักษรหลวมๆ บนแป้นปลิวว่อนออกจากพิมพ์ดีด จนตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว
ท่านขุนน้อย เป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน รวมแล้วนับสิบฉบับ แต่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด จนสุดท้าย ล้มแล้วเบื่อที่จะลุกขึ้นมาอีก ยอมเลิกราไปเอง โดยหนังสืออาทิตย์รายสัปดาห์ เป็นฉบับสุดท้ายที่ปิดตัวแถวๆ ปี 2535 บวกลบ
สถิติการติดคุกของท่านขุนน้อย ไม่ด้อยไปกว่า “สนธิ” และแม้อายุจะน้อยกว่าร่วม 10 ปี แต่ท่านขุนน้อยถือเป็นรุ่นพี่ที่นอนคุกก่อน โดยประมาณปี 2517 มีคณะนายทหารพ่วงด้วยดาราสาว นำเฮลิคอปเตอร์ไปล่าสัตว์ในทุ่งใหญ่นเรศวร กลายป็นข่าวฉาวโฉ่
คดีมีการฟ้องร้อง แต่ศาลตัดสินยกฟ้อง ท่านขุนน้อยซึ่งแรงกล้าด้วยอุดมการณ์ แต่อ่อนด้อยด้านข้อกฎหมาย ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ “ประชาธิปไตย” วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาล
ผลตามมาคือ เจอข้อหาหมิ่นศาล ต้องติดคุกอยู่หลายเดือน ทั้งที่วัยน่าจะเพียง 18 ปีเท่านั้น และประมาณ 10 ปีต่อมาก็เดินเข้าคุกอีก ถูกยัดเยียดข้อหากบฏนอนอยู่ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนแรมเดือน
ความเป็นนักข่าวที่เจาะข่าวได้ลึก โดยเฉพาะข่าวสายกรมตำรวจ เสี้ยวหนึ่งของชีวิต ท่านขุนน้อยถูกกล่าวหาว่าเป็นสายของตำรวจสันติบาล ต้องอกตรมและเจ็บปวดอยู่พักใหญ่
แต่คนที่ปล่อยข่าวกล่าวหา ปัจจุบันเป็นคอลัมนิสต์สังกัดค่ายหนังสือพิมพ์ขี้ข้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ระหว่างท่านขุนน้อยกับ “สนธิ” รู้จักกันมาเกือบ 40 ปีแล้ว และแม้จะห่างเหิน ด้วยวิถีชีวิตที่แตกต่าง และจะมีอะไรเคืองๆ กันบ้างหรืออย่างไรไม่รู้ ช่วงหลังๆ จึงไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ยังติดตามความเคลื่อนไหวกันอยู่
เพื่อนเก่าในวงการหนังสือพิมพ์ แม้ไม่ได้เจอกันนับสิบปี แต่ “ตด” ก็ยังได้กลิ่นกันบ้าง เพราะไม่มีใครล้มหายตายจาก และไม่ได้ปิดจอรับข่าวสารความเคลื่อนไหวหรือสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนฝูงแต่ละคน
ถ้าไม่ทรยศหักหลังกัน ถ้าไม่เลวจนลืมอุดมการณ์ เพื่อนในวงการหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครโกรธใครถึงขั้นไม่เผาผีกัน อย่างดีถ้าเคืองกัน ทางใครทางมัน วงเหล้าใครวงเหล้ามัน
ท่านขุนน้อย เป็นคนไม่มีสีเสื้อ แต่เป็นนักอุดมการณ์มาตั้งแต่เรียนม.ปลาย และเป็นนักอุดมการณ์ตัวจริง หรือถูกยกให้เป็นศาสดาของนักอุดมการณ์สำหรับรุ่นน้องๆด้วยซ้ำ
ผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนส่วนใหญ่ เป็นจุดยืนที่ท่านขุนน้อยยึดมั่นตั้งแต่ก้าวย่างเข้าวงการหนังสือพิมพ์ ไม่เคยชื่นชมนักการเมือง ไม่ว่าหน้าไหน ใครต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ใครต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ท่านขุนน้อยสนับสนุนสุดตัว
นักหนังสือพิมพ์มักมี “อีโก้” สูง ไม่ยกย่องใครง่ายๆ การเขียนให้กำลังใจ “สนธิ” สะท้อนให้เห็นว่า ท่านขุนน้อยบรรลุแล้วในความเป็นสื่อ ใจกว้างพอที่จะชมเพื่อนหนังสือพิมพ์ที่มีคุณค่าแก่คำชม แยกแยะได้ระหว่างความรู้สึกในทางส่วนตัวกับหลักการของวิชาชีพหนังสือพิมพ์
ท่านขุนน้อยยอมรับว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” เป็นผู้นำความคิดทางสังคม เป็นผู้จุดประกายการต่อสู้ภาคประชาชน และเป็นคนหนังสือพิมพ์ที่บทสรุปสุดท้าย ไม่ยอมทรยศต่อวิชาชีพตัวเอง โดยไม่ต้องนำบทบาทและอุดมการณ์ไปเปรียบเทียบกับนักหนังสือพิมพ์รุ่นพี่คนไหน
ท่านขุนน้อยไม่ได้เป็นสื่อนักต่อสู้ที่มีชื่อเสียง ในฐานะคนที่อยู่หัวขบวนเหมือน “สนธิ” แต่ชีวิต จิตวิญญาณ อุดมการณ์ความเป็นคนหนังสือพิมพ์มั่นคง เข้มแข็งไม่น้อยกว่าใคร
ทุกวันนี้ ท่านขุนน้อยใช้ชีวิตอย่างสมถะ ปลีกวิเวกเป็นศาสดาอยู่ในโลกใบเล็กๆของตัวเอง ไม่นิยมที่จะสังคมกับใครมากนัก แต่ไม่เคยละทิ้งความรับผิดชอบต่อสังคม ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย