กาญจนบุรี - ชาวสังขละบุรี เริ่มตั้งข้อสงสัยการซ่อมแซมบูรณะสะพานมอญที่เกิดความล่าช้า พร้อมระบุหาก “หลวงพ่ออุตตมะ” ยังอยู่คงเสร็จนานแล้ว และไม่ต้อใช้ใช้งบกว่า 16 ล้าน ขณะที่เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม เผยเคยเตือนบริษัทรับเหมาแล้วให้อ่านสัญญาให้ละเอียดก่อนเซ็นสัญญา พร้อมยอมรับว่าทางบริษัทเคยติดต่อขอซื้อไม้จากทางวัดจริง แต่ขายให้ไม่ได้ ส่วนจะมีการต่อสัญญาออกไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับจังหวัด ด้านบริษัทฯ คาดแล้วเสร็จไม่เกิน 31 ส.ค.นี้
วันนี้ (31 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการซ่อมแซมบูรณสะพานไม้ (สะพานมอญ) หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นสะพานไม้ข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ที่ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่เกิดความล่าช้า และในวันที่ 6 ส.ค.57 ที่จะถึงนี้ ก็จะครบกำหนดสัญญาว่าจ้าง แต่การก่อสร้างสะพานกลับมีความคืบหน้ายังไม่ถึง 30% ว่า ขณะนี้ได้เกิดมีคำถามจากประชาชนในพื้นที่ของทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำซองกาเรียแล้วว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่
พร้อมกับระบุว่า หากพระราชอุดมมงคล หรือพระมหาอุตตมะรัมโภภิกขุ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ “หลวงพ่ออุตตมะ” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ทั้งยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ชาวมอญผู้มีบทบาทผู้นำคนสำคัญของชาวมอญพลัดถิ่นที่อำเภอสังขละบุรี ยังดำรงสังขารอยู่ สะพานแห่งนี้คงสร้างเสร็จไปนานแล้ว และคงไม่ต้องใช้งบประมาณมากถึง 16,347,000 บาทเป็นแน่
ด้านพระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม หมู่ 2 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี องค์ปัจจุบัน เปิดเผยเกี่ยวกับการซ่อมแซมบูรณสะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ ที่เกิดความล่าช้าว่า ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญาว่าจ้างอาตมาเคยเตือนบริษัทที่เข้ามารับเหมาแล้วว่า ให้อ่านดูสัญญาให้ละเอียดว่าในสัญญาได้ระบุชนิดของไม้ที่จะต้องนำมาซ่อมแซมบูรณะสะพาน มีไม้เพียง 2 ชนิด คือ ไม้แดง และไม้ตะเคียน แต่เมื่อมีการเซ็นสัญญาว่าจ้างกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทก็มาประสบปัญหาเรื่องการนำไม้ทั้ง 2 ชนิดมาซ่อมสะพานตามที่อาตมาเคยเป็นห่วงจริงๆ
“มาภายหลังทางบริษัทได้ขอเพิ่มชนิดไม้เพื่อนำมาซ่อมบูรณะคือ ไม้เต็ง และไม้ประดู่ ซึ่งอาตมาเองก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะว่าทางจังหวัดกาญจนบุรี ก็อนุญาตให้นำไม้ทั้ง 2 ชนิดมาใช้ได้ อีกทั้งนักวิชาการของกรมป่าไม้ก็ได้รับรองว่าไม้ทั้ง 2 ชนิดเป็นไม้เนื้อแข็งมีความคงทนมาก เมื่อไม้แห้งจะทำให้เนื้อไม้แข็งเพิ่มขึ้น ทำให้ตะปูตอกไม่เข้าแต่อาตมาก็หวั่นใจบ้างเล็กน้อยเพราะไม้ทั้งสองชนิดยางไม้มีน้อยเหมาะต่อการนำไปใช้สำหรับตกแต่งภายในมากกว่า” พระมหาสุชาติ กล่าว
พระมหาสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับข่าวลือที่ว่าทางบริษัทได้มาขอซื้อไม้จากทางวัดเพื่อนำไปซ่อมบูรณะสะพานนั้นข่าวนี้เป็นเรื่องจริง แต่จากการปรึกษาหารือกับผู้นำชุมชนในพื้นที่มีความเห็นตรงกันว่า ไม่สามารถจะขายไม้ที่มีอยู่ให้แก่ทางบริษัทได้ เนื่องจากไม้ที่มีอยู่เป็นไม้ที่ได้รับการบริจาคจากประชาชนเพื่อเก็บเอาไว้ซ่อมแซมบูรณะวัด รวมทั้งเก็บเอาไว้ซ่อมแซมสะพานเมื่อยามชำรุดในอดีต จึงไม่เหมาะที่จะขายให้แก่ทางบริษัท ซึ่งทางบริษัทเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“ในส่วนสัญญาว่าจ้างระหว่างบริษัทกับทางจังหวัดกาญจนบุรีที่จะหมดลงในวันที่ 6 ส.ค.นี้ อาตมามองว่าเมื่อมีการว่าจ้างกันแล้วแต่ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ก็คงจะมีการปรับตามระเบียบของทางจังหวัด ส่วนจะต่อสัญญากันออกไปอีกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทางจังหวัดจะพิจารณา และเชื่อว่าทางจังหวัดคงจะให้โอกาสแก่บริษัท โดยอาตมา และชาวบ้านก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ขอให้ทางบริษัททำให้ดีที่สุดก็พอ” พระมหาสุชาติ กล่าว
ทางด้านนายประณต สุวัฒนรัตน์ ผู้แทนผู้รับจ้างจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้การซ่อมแซมไม่เสร็จตามกำหนดระยะเวลาในวันที่ 6 ส.ค.นี้ มาจากหลายปัจจัย เช่น การส่งมอบสัญญาจากทางผู้ว่าจ้างล่าช้ากว่ากำหนด และการเคลียร์พื้นที่เคลื่อนย้ายแพบ้านที่ปลูกอยู่บริเวณใกล้เคียงสะพานมอญ รวมถึงปัญหาการขนส่งไม้ที่นำมาทำเป็นวัสดุในการสร้างสะพาน เนื่องจากต้องนำไม้มาจากทางภาคอีสาน เพราะเป็นไม้ที่ถูกต้องตามกระบวนการในการที่จะตรวจสอบได้
แต่สาเหตุที่ไม่นำไม่จากพื้นที่ป่าในแถบนี้ก็เพราะอาจจะเป็นการเข่าข่ายตัดไม้อย่างผิดกฎหมายได้ โดยขณะนี้การดำเนินการซ่อมสะพานก็เร่งทำงานกันทุกวันตั้งแต่ 08.00-21.00 น. คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกิน 31 ส.ค.นี้ ส่วนเรื่องการที่จะถูกปรับเนื่องจากเกินกำหนดดระยะเวลาตามสัญญาหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้เพราะต้องขอคุยกับทางผู้ว่าจ้างก่อน เพราะมันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ล้าช้า
อนึ่ง สำหรับสะพานไม้ หรือที่นิยมเรียกกันว่า สะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ หลวงพ่ออุตตมะ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 850 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ที่ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
สะพานนี้สร้างขึ้นโดยดำริของหลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ในปี 2529 จนถึงปี 2530 โดยใช้แรงงานของชาวมอญ เป็นสะพานไม้ที่ใช้สัญจรไปมาของชาวมอญ และชาวไทยที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อวันที่ 28 ก.ค.56 เวลา 18.30 น.สะพานอุตตมานุสรณ์ ได้พังทลายขาดเป็น 2 ท่อน ในช่วงกลางสะพาน ความยาวประมาณ 30 เมตร เนื่องจากเกิดเหตุฝนตกหนักติดต่อกันนานถึง 3 วัน ทำให้เกิดน้ำป่าไหลเชี่ยวกรากจากทุ่งใหญ่นเรศวร พัดขยะตอไม้ลงสูแม่น้ำซองกาเลีย ปะทะกับเสาสะพานทำให้เกิดขาดกลาง และเสียหายเพิ่มเป็น 70 เมตร ในเที่ยงของวันต่อมา ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ก.ค.57 ที่ผ่านมา ครบรอบ 1 ปีเต็มที่สะพานแห่งนี้ถูกน้ำป่าพัดพัง
หลังจากสะพานพัง ได้มีหลายหน่วยงานบริจาคเงินเข้ามาเพื่อร่วมซ่อมแซมบูรณะสะพานให้กลับมาเหมือนเดิม เช่น เมื่อวันที่ 3 ก.ย.56 พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลขณะนั้น ได้มอบเงิน จำนวน 5 ล้านบาท ให้แก่ทางจังหวัดกาญจนบุรี นำไปสมทบทุนเพื่อบูรณะซ่อมแซมสะพาน โดยมี นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นตัวแทนรับมอบ ขณะนั้นทางจังหวัดได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในการบูรณะไว้ที่ 5.7 ล้านบาท และจะเริ่มบูรณะในช่วงหน้าแล้ง หรือเดือน มี.ค.-เม.ย.57
วันที่ 5 ต.ค.56 นางองค์อร อาภากร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสธนาคารไทยพาณิชย์ และนายธนะ คุ้งบรรพต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เป็นผู้แทนธนาคารมอบเงิน จำนวน 2 ล้านบาท ให้แก่ นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจบุรี
วันที่ 17 เม.ย.57 นายณัฐจพนธ์ ภูมิเวียงศรี ผู้ช่วยว่าการไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มอบเงิน จำนวน 4 ล้านบาท ให้แก่ นายชัยวัฒน์ ลิทป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ณ บริเวณสะพานอุตตมานุสรณ์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพื่อสนับสนุนการซ่อมแซมสะพานอุตตมานุสรณ์
วันที่ 9 เม.ย.57 จังหวัดกาญจนบุรี ได้ทำสัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองวัสดุภัณฑ์ ผู้แทนผู้รับจ้าง โดยนายประณต สุวัฒนรัตน์ เลขที่ 192 หมู่ที่ 1 ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี สัญญาจ้าง เลขที่ 0215/2557 เริ่มต้น 9 เมษายน 2557 สิ้นสุด 6 สิงหาคม 2557 ระยะเวลาก่อสร้าง 120 วัน งบประมาณค่าก่อสร้างเพิ่มเป็น จำนวน 16,347,000 บาท