ASTVผู้จัดการรายวัน-บอร์ดรฟม.ยันเจรจาBMCL เดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยายดีกว่าประมูล บีบ กก.มาตรา13 เลือกประมูลต้องกำหนดTOR ให้เดินรถเชื่อมต่ออ้างเพื่อผู้โดยสารสะดวก จับตากก.มาตรา13 ประชุมรับรอง อาจพลิกกลับมติให้เจรจา นอกจากนี้บอร์ดได้สั่งเดินหน้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-คูคต) โดยใช้TOR เดิม ยันพิจารณารอบคอบแล้ว ให้ 31 รายยื่นซองประมูล 19 ก.ย.นี้ และมีมติให้รฟม.เดินรถสีเขียวใต้ (สำโรง-สมุทรปราการ) เอง มีเวลา 2 ปีเตรียมบุคลากร
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า ที่ประชุมได้หารือการเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กม. ซึ่งคณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35)ได้มีมติเบื้องต้นให้เปิดประกวดเพื่อความโปร่งใสและแข่งขันเสรีนั้น บอร์ดรฟม.กก.มาตรา 13 ควรคำนึงถึงเรื่องความสะดวกของผู้โดยสารด้วยดังนั้นหากจะเปิดประมูลจะต้องกำหนดเงื่อนไขTOR ว่าจะมีการเดินรถต่อเชื่อมเป็นวงกลมกับสายสีน้ำเงินเฉลิมรัชมงคลที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งในส่วนของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือBMCLนั้นพร้อมให้ความร่วมมือกับผู้ที่เดินรถรายใหม่
“การประมูลเป็นอำนาจของคณะกรรมการมาตรา 13 แต่บอร์ดรฟม.เห็นว่าวิธีการเดินรถควรจะต่อเนื่องเพราะสีน้ำเงิน(บางซื่อ-หัวลำโพง)ระบบใต้ดินที่ทาง BMCLเดินรถอยู่แล้วจึงเห็นว่าถ้าสีน้ำเงินต่อขยาย BMCLเป็นผู้เดินรถก็จะเชื่อมต่อสะดวกมากขึ้น ถ้าเชื่อมต่อไม่ได้ผู้โดยสารจะต้องเปลี่ยนรถที่ท่าพระและเตาปูนจะไม่สะดวก ดังนั้นไม่ว่าจะเปิดประมูลหรือเจรจาตรงกับBMCLก็ต้องให้เดินรถเชื่อมต่อกัน บอร์ดเสนอแนวทาง ซึ่งกก.มาตรา 13 ต้องมีการประชุมรับรองมติเรื่องประมูลอีกครั้ง หากเห็นว่าควรเจรจาก็ต้องนำเรื่องเสนอไปที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนจากประมูลแบบPPP เป็นเจรจาตรงBMCLแต่เชื่อว่าวิธีการเจรจาจะเร็วกว่าการเปิดประมูลใหม่แน่นอนแม้ต้องขออนุมัติครม.ใหม่ ซึ่งขณะนี้งานเดินรถล่าช้าแล้วในขณะที่การก่อสร้างงานโยธาคืบหน้า 60% แล้วถ้ารางเสร็จไม่มีรถวิ่งประชาชนจะยิ่งเดือดร้อน”พล.อ.ยอดยุทธกล่าว
ด้านนายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าฯ รฟม.กล่าวว่า ที่ต้องการให้เดินรถต่อเชื่อมกันนั้นเพราะสถานีเชื่อมต่อที่เตาปูนมี 3 สายมาเจอกันอยู่คนละชั้น ผู้โดยสารต้องเสียเวลาลงจากสายหนึ่งไปต่อสายหนึ่งถ้าตารางเวลาเดินรถไม่ตรงกันก็จะยิ่งเสียเวลาในการรอขบวนใหม่มากขึ้น และเห็นว่า การเจรจากับBMCLรับจ้างเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย หรือ PPP Gross costซึ่งเป็นสัญญาคนละรูปแบบกับสัมปทานเดินรถสีน้ำเงินสายเฉลิมรัชมงคล (PPP-Net Cost ไม่ใช่ปัญหา รวมถึงการเจรจากับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ผู้รับเหมาสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสัญญา 4 งานก่อสร้างทางรถไฟฟ้ายกระดับจากช่วงท่าพระ-หลักสอง ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร รวมศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณถนนเพชรเกษม 47 กับถนนเพชรเกษม 80 วงเงิน 13,330 ล้านบาทเพื่อให้ปรับลดเนื้องานศูนย์ซ่อมบำรุงลง ในส่วนของการจัดซื้ออุปกรณ์ซึ่งมีวงเงินส่วนนี้ประมาณ 1,700 ล้านบาทท ซึ่ง เชื่อว่า ซิโน-ไทยฯ จะไม่มีปัญหาในการปรับแก้สัญญาเพราะทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
พล.อ.ยอดยุทธ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) วงเงิน 29,225 ล้านบาท ซึ่งบอร์ดได้พิจารณาอย่างรอบคอบโดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวมแล้วเห็นว่า ไม่ควรมีการปรับแก้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การกำหนดคุณสมบัติ และการให้คะแนนการประกวดราคา (TOR) แต่อย่างใด เพราะTORเดิมที่ทำได้ตั้งเกณฑ์ไว้สูงเพื่อความมั่นใจว่าบริษัทที่เข้ามาจะไม่ทิ้งงาน ซึ่งหลังจากนี้จะให้ยื่นเอกสารประมูลได้ ประมาณวันที่ 19 กันยายนนี้ และเริ่มเดินหน้าก่อสร้างได้ เดิมขายซองประมูล มีเอกชนมาซื้อถึง 31 รายแต่ มี 1 รายขอให้ปรับแก้ TOR ถ้าปรับให้แล้วอีก 30 รายร้องเรียนจะมีปัญหาอีก
“บอร์ดเห็นว่าเกณฑ์ที่ รฟม.กำหนดไว้มีความเหมาะสมแล้ว เพราะโครงการมีมูลค่าสูงเป็นหมื่นล้านผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอก็ต้องระดับ 5,000 ล้านบาท จะให้ผ่านงานแค่ 500 หรือ 1,000 ล้านบาทมารับงาน ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงว่าเขาจะทำงานไม่ได้ เราต้องตั้งเกณฑ์ให้สูงไว้ก่อน เพื่อให้ได้บริษัทที่มีมาตรฐาน และยืนยันว่าเราไม่ได้ล็อกสเปกให้รายใหญ่ เพราะรายเล็กกว่าจะมาก็ได้
โดยรวมตัวกันเป็นจอยท์เวนเจอร์ เพื่อให้มีเงินทุนมั่นคงขึ้น ไม่มีการปิดกั้นใดๆ” พล.อ.ยอดยุทธ กล่าว
ส่วนสายสีเขียวใต้ (สำโรง-สมุทรปราการ) บอร์ดเห็นชอบให้รฟม.เดินรถเอง ในรูปแบบ PSC (รัฐลงทุนจะซื้อระบบและตัวรถไฟฟ้าเอง) วงเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท (รถไฟฟ้า 13 ขบวนๆละ 3 ตู้ รวมทั้งสิ้น 39 ตู้) โดยให้รฟม.เร่งเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรองรับในการเดินรถเอง ซึ่งยังมีเวลาประมาณ 2 ปี ทั้งนี้การเดินรถเองจะส่งผลดีต่อรฟม.และรองรับการเดินรถไฟฟ้าในอนาคตที่สัญญาสัมปทานหรือสัญญาจ้างเอกชนครบอายุ รฟม.จะต้องรับผิดชอบการเดินรถเอง โดยหลังจากนี้จะเร่งนำเสนอกระทรวงคมนาคมและครม.เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า ที่ประชุมได้หารือการเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กม. ซึ่งคณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35)ได้มีมติเบื้องต้นให้เปิดประกวดเพื่อความโปร่งใสและแข่งขันเสรีนั้น บอร์ดรฟม.กก.มาตรา 13 ควรคำนึงถึงเรื่องความสะดวกของผู้โดยสารด้วยดังนั้นหากจะเปิดประมูลจะต้องกำหนดเงื่อนไขTOR ว่าจะมีการเดินรถต่อเชื่อมเป็นวงกลมกับสายสีน้ำเงินเฉลิมรัชมงคลที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งในส่วนของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือBMCLนั้นพร้อมให้ความร่วมมือกับผู้ที่เดินรถรายใหม่
“การประมูลเป็นอำนาจของคณะกรรมการมาตรา 13 แต่บอร์ดรฟม.เห็นว่าวิธีการเดินรถควรจะต่อเนื่องเพราะสีน้ำเงิน(บางซื่อ-หัวลำโพง)ระบบใต้ดินที่ทาง BMCLเดินรถอยู่แล้วจึงเห็นว่าถ้าสีน้ำเงินต่อขยาย BMCLเป็นผู้เดินรถก็จะเชื่อมต่อสะดวกมากขึ้น ถ้าเชื่อมต่อไม่ได้ผู้โดยสารจะต้องเปลี่ยนรถที่ท่าพระและเตาปูนจะไม่สะดวก ดังนั้นไม่ว่าจะเปิดประมูลหรือเจรจาตรงกับBMCLก็ต้องให้เดินรถเชื่อมต่อกัน บอร์ดเสนอแนวทาง ซึ่งกก.มาตรา 13 ต้องมีการประชุมรับรองมติเรื่องประมูลอีกครั้ง หากเห็นว่าควรเจรจาก็ต้องนำเรื่องเสนอไปที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนจากประมูลแบบPPP เป็นเจรจาตรงBMCLแต่เชื่อว่าวิธีการเจรจาจะเร็วกว่าการเปิดประมูลใหม่แน่นอนแม้ต้องขออนุมัติครม.ใหม่ ซึ่งขณะนี้งานเดินรถล่าช้าแล้วในขณะที่การก่อสร้างงานโยธาคืบหน้า 60% แล้วถ้ารางเสร็จไม่มีรถวิ่งประชาชนจะยิ่งเดือดร้อน”พล.อ.ยอดยุทธกล่าว
ด้านนายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าฯ รฟม.กล่าวว่า ที่ต้องการให้เดินรถต่อเชื่อมกันนั้นเพราะสถานีเชื่อมต่อที่เตาปูนมี 3 สายมาเจอกันอยู่คนละชั้น ผู้โดยสารต้องเสียเวลาลงจากสายหนึ่งไปต่อสายหนึ่งถ้าตารางเวลาเดินรถไม่ตรงกันก็จะยิ่งเสียเวลาในการรอขบวนใหม่มากขึ้น และเห็นว่า การเจรจากับBMCLรับจ้างเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย หรือ PPP Gross costซึ่งเป็นสัญญาคนละรูปแบบกับสัมปทานเดินรถสีน้ำเงินสายเฉลิมรัชมงคล (PPP-Net Cost ไม่ใช่ปัญหา รวมถึงการเจรจากับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ผู้รับเหมาสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสัญญา 4 งานก่อสร้างทางรถไฟฟ้ายกระดับจากช่วงท่าพระ-หลักสอง ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร รวมศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณถนนเพชรเกษม 47 กับถนนเพชรเกษม 80 วงเงิน 13,330 ล้านบาทเพื่อให้ปรับลดเนื้องานศูนย์ซ่อมบำรุงลง ในส่วนของการจัดซื้ออุปกรณ์ซึ่งมีวงเงินส่วนนี้ประมาณ 1,700 ล้านบาทท ซึ่ง เชื่อว่า ซิโน-ไทยฯ จะไม่มีปัญหาในการปรับแก้สัญญาเพราะทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
พล.อ.ยอดยุทธ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) วงเงิน 29,225 ล้านบาท ซึ่งบอร์ดได้พิจารณาอย่างรอบคอบโดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวมแล้วเห็นว่า ไม่ควรมีการปรับแก้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การกำหนดคุณสมบัติ และการให้คะแนนการประกวดราคา (TOR) แต่อย่างใด เพราะTORเดิมที่ทำได้ตั้งเกณฑ์ไว้สูงเพื่อความมั่นใจว่าบริษัทที่เข้ามาจะไม่ทิ้งงาน ซึ่งหลังจากนี้จะให้ยื่นเอกสารประมูลได้ ประมาณวันที่ 19 กันยายนนี้ และเริ่มเดินหน้าก่อสร้างได้ เดิมขายซองประมูล มีเอกชนมาซื้อถึง 31 รายแต่ มี 1 รายขอให้ปรับแก้ TOR ถ้าปรับให้แล้วอีก 30 รายร้องเรียนจะมีปัญหาอีก
“บอร์ดเห็นว่าเกณฑ์ที่ รฟม.กำหนดไว้มีความเหมาะสมแล้ว เพราะโครงการมีมูลค่าสูงเป็นหมื่นล้านผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอก็ต้องระดับ 5,000 ล้านบาท จะให้ผ่านงานแค่ 500 หรือ 1,000 ล้านบาทมารับงาน ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงว่าเขาจะทำงานไม่ได้ เราต้องตั้งเกณฑ์ให้สูงไว้ก่อน เพื่อให้ได้บริษัทที่มีมาตรฐาน และยืนยันว่าเราไม่ได้ล็อกสเปกให้รายใหญ่ เพราะรายเล็กกว่าจะมาก็ได้
โดยรวมตัวกันเป็นจอยท์เวนเจอร์ เพื่อให้มีเงินทุนมั่นคงขึ้น ไม่มีการปิดกั้นใดๆ” พล.อ.ยอดยุทธ กล่าว
ส่วนสายสีเขียวใต้ (สำโรง-สมุทรปราการ) บอร์ดเห็นชอบให้รฟม.เดินรถเอง ในรูปแบบ PSC (รัฐลงทุนจะซื้อระบบและตัวรถไฟฟ้าเอง) วงเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท (รถไฟฟ้า 13 ขบวนๆละ 3 ตู้ รวมทั้งสิ้น 39 ตู้) โดยให้รฟม.เร่งเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรองรับในการเดินรถเอง ซึ่งยังมีเวลาประมาณ 2 ปี ทั้งนี้การเดินรถเองจะส่งผลดีต่อรฟม.และรองรับการเดินรถไฟฟ้าในอนาคตที่สัญญาสัมปทานหรือสัญญาจ้างเอกชนครบอายุ รฟม.จะต้องรับผิดชอบการเดินรถเอง โดยหลังจากนี้จะเร่งนำเสนอกระทรวงคมนาคมและครม.เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป