**เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอยตามวาทะที่ “บิ๊กตู่”เคยลั่นสัญญาไว้ภายหลังการยึดอำนาจ และกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ ระยะที่ 2 โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเลือกประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2557 พร้อมด้วยรองประธานอีก 2 คน เพื่อเตรียมสรรหานายกรัฐมนตรีก็ตาม
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญเช่นนี้ นักการเมืองหลากค่ายหลายสีต่างถูกเตือน“ห้ามตั้งคำถาม” ใดๆ ที่เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะไปกระทบการ“คืนความสุขให้ประชาชน”ตามนโยบายคสช.
ดังจะเห็นได้จากคำพูดของ“บิ๊กตู่”ที่หล่นผ่านรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”ออกอากาศผ่านโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2557 เตือนนักการเมืองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแหลมคม และเจ็บแสบ โดยระบุว่า ในช่วงที่ตัวเองมีอำนาจทำไมถึงไม่แก้ไขในช่วงนั้น แต่พอ คสช. เข้ามา กลับพูดให้ทำนู่น ทำนี่ ดังนั้นขอร้องอย่าพูดอะไรเลยดีกว่า ขอเวลาให้คสช. ปฏิรูปเรื่องต่างๆ ให้เสร็จสิ้นกระบวนความเสียก่อน
แต่ท่ามกลาง “ความเงียบ”ของบรรดานักการเมือง และพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นความหวังของประชาชนเช่นนี้ กลับมีนักการเมืองรายหนึ่ง ที่ใครหลายคนอาจมองว่าไม่มีความสำคัญ และไม่มีความจำเป็นจะต้องติดตามข่าวเพื่อลงพื้นที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำ กลับออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ คสช. ติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของ “ขั้วอำนาจเก่า-รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ที่เคย “ทำมิดีมิร้าย”ไว้กับประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา
เปรียบได้ดั่ง “แสงเทียน”ที่ลุกสว่างโชติช่วง ท่ามกลางความมืดมิด และหนาวเหน็บของสังคมไทยในช่วงนี้ เตือนความจำให้ใครหลายคนที่เคยลืมเลือนไปแล้วว่า“รัฐบาลเก่า”แอบทำอะไรผิดหลักผิดเกณฑ์ไปบ้าง ?
**ชื่อของ "แจ็ค" - วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานอนุกรรมาธิการพัฒนาการเมือง และการสื่อสารมวลชนแห่งรัฐสภา ถูกสังคมจับตามองอีกครั้งในห้วงเดือนที่ผ่านมา ภายหลังเข้ายื่นหนังสือร้องคสช. และองค์กรอิสระต่างๆ ถึงพฤติกรรมส่อปฏิบัติมิชอบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในหลายประเด็น
โดยประเด็นที่โดดเด่นและน่าจับตา และอาจเป็นประเด็นที่หลายคนอาจลืมไปแล้วคือ กรณีไม่ดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นายวัชระ เคยยื่นไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นประธานสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินให้จำคุก 2 ปี จากคดีที่ดินย่านรัชดาภิเษก
แม้ว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน จะมีมติในกรณีดังกล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และร.ต.อ.เฉลิม ไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจในการพิจารณาถอดยศ และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะนั้น ไม่ได้กระทำที่เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม โดยสรุปว่า ไม่สามารถถอดยศได้ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสตช.
แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า สตช. ไม่ได้นำข้อเท็จจริงประเด็นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา แล้วหลบหนีตามหมายจับของศาลฎีกาฯ รวม 5 คดี ซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ที่ สตช. จะต้องนำมาพิจารณาประกอบในการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงขอให้สตช. ดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
**แม้ว่านายวัชระ จะยื่นเรื่องดังกล่าวให้กับคสช. เพื่อให้ “บิ๊กตู่”พิจารณาในกรณีนี้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ระเบียบ และกฎหมายบังคับใช้ได้โดยเสมอภาค แต่คสช. กลับโยนเรื่องนี้คืนมาให้สตช. พิจารณาแทน ทั้งที่ความเป็นจริงพล.อ.ประยุทธ์ สามารถตัดสินใจได้ว่า สมควรถอดยศ ทักษิณหรือไม่ ?
"พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็นเจ้าของรัฏฐาธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว ควรใช้ความเด็ดขาด พิจารณาปัญหาทุกเรื่อง อย่าโยนไปต้นสังกัดและตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ถ้าไม่ถอด เพราะอะไร ควรแจ้งให้ประชาชนรับทราบเพื่อความชัดเจนจะได้ไม่อึมครึมอีกต่อไป"
นั่นเป็นข้อเรียกร้องที่นายวัชระ ยิงคำถามตรงไปถึง“บิ๊กตู่”ให้แก้ไขสถานการณ์โดยด่วน เพื่อลดข้อครหาของสังคม และคลี่คลายปัญหาที่คาราคาซังมาเนิ่นนานให้จบสิ้นลงเสียที
นอกจากนี้นายวัชระ ยังยื่นหนังสือถึงหัวหน้าคสช. ในประเด็นที่ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจที่ถูกฆาตกรรมสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสรุปสำนวนว่า เป็นการฆ่าชิงทรัพย์ ต่อมาเพิ่มข้อกล่าวหา นายสันติภาพ เพ็งด้วง กับพวกว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
**นายวัชระ เชื่อว่าเรื่องนี้ค้านสายตาสังคมเป็นอย่างมาก เนื่องจากตามพยานบุคคลและผลการชันสูตรของแพทย์ ไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ต้องหาในคดีน้ให้การ ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์“คืนความสุข”ของ คสช. จึงขอเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่ หรือให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมด้วย
ขณะเดียวกัน นายวัชระได้เข้ายื่นหนังสือต่อองค์กรอิสระต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ยอมรับโครงการรับจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษ พร้อมสำทับว่า หากนายธาริตรับคดีนี้ไว้ตั้งแต่กลางปี 2556 ความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว คงไม่มากมายเหยียบ 5 แสนล้านบาท เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน !
รวมไปถึงเข้ายื่นเรื่องต่อ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อธิบดี ดีเอสไอ ใหม่แกะกล่อง หลังคสช. ตะเพิด “ธาริต”พ้นตำแหน่งเก็บเข้ากรุ เพื่อขอให้รับกรณี “โฮมสเตย์ ฟีออร์เร่ ปาร์ค”ซึ่งเป็นบ้านของภรรยานายธาริต ที่จังหวัดนครราชสีมา เข้าเป็นคดีพิเศษ เพราะพื้นที่บางส่วนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ
**โดยสาเหตุสำคัญคือ การรื้อบ้านของนายธาริต ที่สังคมต่างจับตาว่า หากไม่ผิดจริง แล้วจะชิงรื้อบ้านด้วยเหตุอะไร ? ดังนั้น จึงขอให้คสช. ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะนายธาริต เป็นถึงข้าราชการระดับสูงของกระทรวงยุติธรรม
ทั้งหมดนี้คือข้อเรียกร้องสำคัญ ที่นายวัชระยิงตรงไปถึง“บิ๊กตู่”หัวหน้า คสช. ที่เป็น“หัวเรือใหญ่”ในการนำพาประเทศไทยก้าวไปสู่ “อนาคตที่ดีกว่า”ตามวาจาที่ลั่นไว้กับประชาชน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ดังนั้น “บิ๊กตู่”สมควรรับฟังเสียงคนการเมืองตัวเล็กๆ อย่างนายวัชระบ้าง แม้นใครหลายคนจะเคลือบแคลงว่า อาจมีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ เนื่องจากเป็นอดีตนักการเมือง และคว่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองมาหลายปี ย่อมรู้ทิศทางลม ในการแฝงชื่อเข้าไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองได้
**แต่สิ่งที่สำคัญเหนือผลประโยชน์ทางการเมือง นั่นก็คือ ผลประโยชน์ของประชาชนที่ฝากฝังไว้กับ “บิ๊กตู่”ในการแก้ปัญหาสิ่งที่นักการเมืองหมักหมมไว้ และล้มเหลวในการแก้ไขมานานนับสิบปี !
แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอยตามวาทะที่ “บิ๊กตู่”เคยลั่นสัญญาไว้ภายหลังการยึดอำนาจ และกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ ระยะที่ 2 โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเลือกประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2557 พร้อมด้วยรองประธานอีก 2 คน เพื่อเตรียมสรรหานายกรัฐมนตรีก็ตาม
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญเช่นนี้ นักการเมืองหลากค่ายหลายสีต่างถูกเตือน“ห้ามตั้งคำถาม” ใดๆ ที่เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะไปกระทบการ“คืนความสุขให้ประชาชน”ตามนโยบายคสช.
ดังจะเห็นได้จากคำพูดของ“บิ๊กตู่”ที่หล่นผ่านรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”ออกอากาศผ่านโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2557 เตือนนักการเมืองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแหลมคม และเจ็บแสบ โดยระบุว่า ในช่วงที่ตัวเองมีอำนาจทำไมถึงไม่แก้ไขในช่วงนั้น แต่พอ คสช. เข้ามา กลับพูดให้ทำนู่น ทำนี่ ดังนั้นขอร้องอย่าพูดอะไรเลยดีกว่า ขอเวลาให้คสช. ปฏิรูปเรื่องต่างๆ ให้เสร็จสิ้นกระบวนความเสียก่อน
แต่ท่ามกลาง “ความเงียบ”ของบรรดานักการเมือง และพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นความหวังของประชาชนเช่นนี้ กลับมีนักการเมืองรายหนึ่ง ที่ใครหลายคนอาจมองว่าไม่มีความสำคัญ และไม่มีความจำเป็นจะต้องติดตามข่าวเพื่อลงพื้นที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำ กลับออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ คสช. ติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของ “ขั้วอำนาจเก่า-รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ที่เคย “ทำมิดีมิร้าย”ไว้กับประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา
เปรียบได้ดั่ง “แสงเทียน”ที่ลุกสว่างโชติช่วง ท่ามกลางความมืดมิด และหนาวเหน็บของสังคมไทยในช่วงนี้ เตือนความจำให้ใครหลายคนที่เคยลืมเลือนไปแล้วว่า“รัฐบาลเก่า”แอบทำอะไรผิดหลักผิดเกณฑ์ไปบ้าง ?
**ชื่อของ "แจ็ค" - วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานอนุกรรมาธิการพัฒนาการเมือง และการสื่อสารมวลชนแห่งรัฐสภา ถูกสังคมจับตามองอีกครั้งในห้วงเดือนที่ผ่านมา ภายหลังเข้ายื่นหนังสือร้องคสช. และองค์กรอิสระต่างๆ ถึงพฤติกรรมส่อปฏิบัติมิชอบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในหลายประเด็น
โดยประเด็นที่โดดเด่นและน่าจับตา และอาจเป็นประเด็นที่หลายคนอาจลืมไปแล้วคือ กรณีไม่ดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นายวัชระ เคยยื่นไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นประธานสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินให้จำคุก 2 ปี จากคดีที่ดินย่านรัชดาภิเษก
แม้ว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน จะมีมติในกรณีดังกล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และร.ต.อ.เฉลิม ไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจในการพิจารณาถอดยศ และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะนั้น ไม่ได้กระทำที่เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม โดยสรุปว่า ไม่สามารถถอดยศได้ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสตช.
แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า สตช. ไม่ได้นำข้อเท็จจริงประเด็นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา แล้วหลบหนีตามหมายจับของศาลฎีกาฯ รวม 5 คดี ซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 (6) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ที่ สตช. จะต้องนำมาพิจารณาประกอบในการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงขอให้สตช. ดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
**แม้ว่านายวัชระ จะยื่นเรื่องดังกล่าวให้กับคสช. เพื่อให้ “บิ๊กตู่”พิจารณาในกรณีนี้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ระเบียบ และกฎหมายบังคับใช้ได้โดยเสมอภาค แต่คสช. กลับโยนเรื่องนี้คืนมาให้สตช. พิจารณาแทน ทั้งที่ความเป็นจริงพล.อ.ประยุทธ์ สามารถตัดสินใจได้ว่า สมควรถอดยศ ทักษิณหรือไม่ ?
"พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็นเจ้าของรัฏฐาธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว ควรใช้ความเด็ดขาด พิจารณาปัญหาทุกเรื่อง อย่าโยนไปต้นสังกัดและตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ถ้าไม่ถอด เพราะอะไร ควรแจ้งให้ประชาชนรับทราบเพื่อความชัดเจนจะได้ไม่อึมครึมอีกต่อไป"
นั่นเป็นข้อเรียกร้องที่นายวัชระ ยิงคำถามตรงไปถึง“บิ๊กตู่”ให้แก้ไขสถานการณ์โดยด่วน เพื่อลดข้อครหาของสังคม และคลี่คลายปัญหาที่คาราคาซังมาเนิ่นนานให้จบสิ้นลงเสียที
นอกจากนี้นายวัชระ ยังยื่นหนังสือถึงหัวหน้าคสช. ในประเด็นที่ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจที่ถูกฆาตกรรมสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสรุปสำนวนว่า เป็นการฆ่าชิงทรัพย์ ต่อมาเพิ่มข้อกล่าวหา นายสันติภาพ เพ็งด้วง กับพวกว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
**นายวัชระ เชื่อว่าเรื่องนี้ค้านสายตาสังคมเป็นอย่างมาก เนื่องจากตามพยานบุคคลและผลการชันสูตรของแพทย์ ไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ต้องหาในคดีน้ให้การ ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์“คืนความสุข”ของ คสช. จึงขอเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่ หรือให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมด้วย
ขณะเดียวกัน นายวัชระได้เข้ายื่นหนังสือต่อองค์กรอิสระต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ยอมรับโครงการรับจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษ พร้อมสำทับว่า หากนายธาริตรับคดีนี้ไว้ตั้งแต่กลางปี 2556 ความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว คงไม่มากมายเหยียบ 5 แสนล้านบาท เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน !
รวมไปถึงเข้ายื่นเรื่องต่อ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อธิบดี ดีเอสไอ ใหม่แกะกล่อง หลังคสช. ตะเพิด “ธาริต”พ้นตำแหน่งเก็บเข้ากรุ เพื่อขอให้รับกรณี “โฮมสเตย์ ฟีออร์เร่ ปาร์ค”ซึ่งเป็นบ้านของภรรยานายธาริต ที่จังหวัดนครราชสีมา เข้าเป็นคดีพิเศษ เพราะพื้นที่บางส่วนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ
**โดยสาเหตุสำคัญคือ การรื้อบ้านของนายธาริต ที่สังคมต่างจับตาว่า หากไม่ผิดจริง แล้วจะชิงรื้อบ้านด้วยเหตุอะไร ? ดังนั้น จึงขอให้คสช. ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะนายธาริต เป็นถึงข้าราชการระดับสูงของกระทรวงยุติธรรม
ทั้งหมดนี้คือข้อเรียกร้องสำคัญ ที่นายวัชระยิงตรงไปถึง“บิ๊กตู่”หัวหน้า คสช. ที่เป็น“หัวเรือใหญ่”ในการนำพาประเทศไทยก้าวไปสู่ “อนาคตที่ดีกว่า”ตามวาจาที่ลั่นไว้กับประชาชน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ดังนั้น “บิ๊กตู่”สมควรรับฟังเสียงคนการเมืองตัวเล็กๆ อย่างนายวัชระบ้าง แม้นใครหลายคนจะเคลือบแคลงว่า อาจมีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ เนื่องจากเป็นอดีตนักการเมือง และคว่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองมาหลายปี ย่อมรู้ทิศทางลม ในการแฝงชื่อเข้าไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองได้
**แต่สิ่งที่สำคัญเหนือผลประโยชน์ทางการเมือง นั่นก็คือ ผลประโยชน์ของประชาชนที่ฝากฝังไว้กับ “บิ๊กตู่”ในการแก้ปัญหาสิ่งที่นักการเมืองหมักหมมไว้ และล้มเหลวในการแก้ไขมานานนับสิบปี !