xs
xsm
sm
md
lg

แค่รื้อบ้าน “ธาริต” ไม่พอ ต้องเอาผิดให้สุดซอย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

กลับเป็นข่าวคึกโครมอีกหนสำหรับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่วันนี้อำนาจผลัดมือจนต้องมานั่งตบยุงช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี

เป็น “ธาริต” ที่คนไทยรู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง แบบคนเกลียดทั้งเมือง-คนชังทั้งประเทศ และเป็นผู้ที่จับจองตำแหน่ง “ขี้ข้าดีเด่น” ตามสนองพวกนักการเมืองแบบไม่ลืมหูลืมตา

ภายหลังการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เส้นทางของ “ธาริต” ที่เคยรุ่งโรจน์อย่างถึงที่สุดในยุคที่อำนาจ “ระบอบทักษิณ” เบ่งบานก็ถึงคราพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า อนาคตของอดีตอธิบดีดีเอสไอดับวูบทันที

เพราะถูกมองว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

ย้อนไปเมื่อวันที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ.ได้ประกาศกฎอัยการศึก ก่อนที่เข้ายึดอำนาจเพียง 2 วัน ครั้งนั้นได้มีการเรียกหัวหน้าส่วนราชการเข้าประชุม ระหว่างการประชุม “บิ๊กตู่” ที่นั่งเป็นประธานได้ถามหา “ธาริต” เสียงดังลั่น พร้อมกับวาทะที่อดีตอธิบดีดีเอสไอต้องจดจำไปจนวันตาย

“มันไม่ได้แล้ว หยุดได้แล้ว ทำงานได้แล้ว มันเละไปหมดแล้วต้องหยุด และถ้าจะฟ้องใครก็ให้มาฟ้องผม” คือสิ่งที่ “บิ๊กตู่” พูดกับ “ธาริต” ในวันนั้น ซึ่งก็มาจากกรณีที่ดีเอสไอไล่ฟ้องร้องเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม กปปส. โดยเฉพาะรายของ “ถวิล เปลี่ยนศรี” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในคดีก่อการร้าย

สะท้อนให้เห็นว่า กองทัพจับตามองบทบาทของ “ธาริต” มาโดยตลอด และเห็นว่าลุแก่อำนาจจนขยายความขัดแย้งเกินจะควบคุม จึงไม่แปลกเมื่อทันทีที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” จะเป็นข้าราชการลำดับต้นๆ ที่ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง

และถือเป็นใบเสร็จยืนยันสิ่งที่ “ธาริต” ร่วมทำร้ายทำร้ายประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

จากนั้นชื่อ “ธาริต” ก็ตกสำรวจห่างหายไปจากหน้าสื่อ จะมีบ้างก็ในส่วนคดีฟ้องร้องต่างๆ ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในฐานะ “จำเลย” ที่ถูกฝ่าย กปปส.ไล่ฟ้องนับสิบคดี

จนเมื่อ 2-3 วันก่อน “ธาริต” ก็มีชื่อปรากฏบนหน้าสื่ออีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า “กรมป่าไม้” เตรียมการรื้อถอนบ้าน 2 หลังบนเนื้อที่จำนวนกว่า 6 ไร่ที่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกันกับบ้านพักตากอากาศของ “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ภรรยานายธาริต ในวันที่ 6 ส.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นผลพวงมาจากมาตรการของ คสช.ที่ให้เอาจริงต่อการปราบปรามและจับกุมผู้บุกรุกยึดถือ ครอบครอง ทำลายทรัพยากรป่าไม้ สภาพป่าในทุกพื้นที่ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 64/2557 ต่อเนื่องด้วยคำสั่งฉบับที่ 66/2557 ที่ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มีหน้าที่รับผิดชอบปัญหาการบุกรุกทำลายป่าเพิ่มเติมด้วย

“ประสาร มฤคพิทักษ์” ซึ่งเคยเป็นประธานอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มี.ค. และวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 และคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบบ้าน 2 หลังดังกล่าว หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านที่ปากช่องว่ามีรีสอร์ตรุกล้ำที่ป่าสงวน จึงลงพื้นที่และพบว่ารีสอร์ตแห่งนี้มีปัญหาว่ามีสิ่งก่อสร้างรุกล้ำป่าสงวนจริง จากนั้นได้เชิญกรมป่าไม้มาชี้แจงในกรรมาธิการของวุฒิสภา ก็พบว่าบ้าน 2 หลังดังกล่าวรุกที่ป่าสงวน ปลูกสร้างในที่ลาดเอียงเกิน 45 องศา และยังมีการทำถนนจากบ้านหลังใหญ่ทอดยาวไปถึงบ้านสองหลังดังกล่าว

โดยพบว่าปลูกสร้างในพื้นที่โซนซี คือ เขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างหรือถนนไม่ได้ ถือว่าเป็นเขตอนุรักษ์

จากนั้นกรมป่าไม้ได้แจ้งผู้ครอบครองให้มาแสดงเอกสารแสดงการครอบครองภายใน 30 วัน แต่ก็ไม่มาแสดง และยังได้อุทธรณ์เป็นเวลาอีก 30 วัน รวมทั้งหมด 60 วัน แต่ก็ยังไม่มีการยื่นแสดงหลักฐานใดๆ จนเป็นที่มาในการเข้ารื้อถอนดังกล่าว

แต่ล่าสุดกลับมีรายงานว่า มีชายฉกรรจ์หลายสิบคนใช้เครื่องมือเครื่องจักรเข้าทุบรื้อบ้านเจ้าปัญหาสองหลังดังกล่าวตั้งแต่เมื่อ 2 วันแล้ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเข้ารื้อถอน โดยมีรถเข้ามาขนไม้ที่ถูกรื้อออกไปจากพื้นที่ไปจำนวนมาก จนในพื้นที่เหลือเพียงเศษหินเศษปูนกองอยู่เท่านั้น

ฟากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการชิงปฏิบัติการเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยอะไรหรือไม่

ซึ่งแน่นอนว่า “ธาริต” ผู้ที่ถกเพ่งเล็งว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับบ้าน 2 หลังที่ผิดกฎหมายก็ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องตามคาด แต่หลักฐานคาตาที่มีอยู่บ้านทั้ง 2 หลังอยู่ในรั้วเดียวกับบ้านของ “ธาริต” แถมมีถนนเชื่อมต่อกันอีกต่างหาก

ท่าทีทางฝ่าย “กรมป่าไม้” ก็ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวผิดปกติ โดยบอกว่า การเข้ารื้อถอนบ้านนี้เป็นการใช้กฎหมายตามปกติ ตามมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากไม่มีเจ้าของมาแสดงสิทธิ์ครอบครอง แถมยังบอกด้วยว่า พื้นที่ที่จะเข้าไปดำเนินการเป็นคนละพื้นที่กับบ้านพักตากอากาศของ “ธาริต”

แต่กลับไม่มีท่าทีที่จะสืบสาวราวเรื่องเอาผิดกับบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแม้แต่น้อย เหมือนว่ารื้อสิ่งปลูกสร้างจากพื้นที่แล้วก็จบเรื่อง ถือเป็นการดำเนินการแบบ “สองมาตรฐาน” ชัดเจน เพราะปลูกบ้านในพื้นที่ป่าสงวน ย่อมส่งผลทำให้พื้นทีป่าสงวนเกิดความเสียหาย ทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้

เทียบเคียงกับกรณี “สองตายาย” ที่เข้าไปเก็บเห็ดและหาของป่า กลับถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและตัดไม้ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ จนถูกตัดสินจำคุกถึง 30 ปี

ดังนั้นเรื่องทำนองเดียวกันนี้ กรมป่าไม้จะทำทีรื้อบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างไม่เพียงพอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลากคอคนทำผิดมาลงโทษให้สุดซอย โดยเฉพาะบรรดาคนใหญ่คนโตที่มีหน้าที่รักษากฎหมาย แต่กลับกระทำผิดเสียเอง

ต้องลงโทษแบบสองมาตรฐานให้หนักกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ
กำลังโหลดความคิดเห็น