8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพเตรียมยื่นหลักฐาน ร้องดีเอสไอ สอบบอร์ดและ ผอ.อภ.กรณีโรงงานยารังสิตและโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก พร้อมเสนอ คสช.อีกครั้งปลด "ปลัด สธ.-ผอ.อภ." ออกจากบอร์ด อภ. เผยเตรียมยื่นซูเปอร์บอร์ด ปฏิรูป อภ.เป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อประชาชนเน้นสร้างความมั่นคงทางยา
นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า หลังจากใช้เวลารวบรวมหลักฐานเกือบ 2 สัปดาห์ วันที่ 22 ก.ค.นี้ 8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพ จะไปยื่นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้รับพิจารณากรณีคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) ที่มี นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เป็นประธาน และ นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา เป็นผู้อำนวยการ อภ. โดยมี 2 ประเด็นให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษคือ 1.การก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตของ อภ. ที่ ผอ.อภ.และบอร์ด อภ.ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างและร่างทีโออาร์ใหม่เอื้อแก่บริษัทที่เคยทิ้งงาน และไม่ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ทิ้งงาน ทั้งที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยทักท้วง ทำให้ไม่สามารถสร้างโรงงานเสร็จทันกำหนด จนเกิดความเสียหายร้ายแรง คือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ราคาแพงจำนวนมาก เสื่อมเพราะไม่ได้ใช้งาน และทยอยหมดอายุรับประกันตามสัญญา เช่น เครื่อง Chiller (เครื่องทำความเย็น) ราคานับร้อยล้านบาท หมดประกันไปเมื่อ มิ.ย. 2557 นอกจากนี้ โรงงานของ อภ. ที่ถนนพระราม 6 จะต้องทยอยปิดปรับปรุงเพื่อให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนด GMP ตั้งแต่ ต.ค. 2557 การที่โรงงานยารังสิตไม่แล้วเสร็จ จึงไม่มีโรงงานรองรับการผลิตยา ทำให้เกิดปัญหาไม่มียาจำหน่ายให้โรงพยาบาล กระทบต่อผู้ป่วยทั่วประเทศ ที่สำคัญโรงงานยาที่รังสิต ต้องเสียค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ เดือนละหลายแสนบาทโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโรงงานเลย
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า 2.การก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลังจากบอร์ดปลด นพ.วิทิต อรรถเวชกุล จากตำแหน่ง ผอ.อภ. แต่กลับไม่มีการเร่งรัดเพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว ตรงกันข้ามกลับดำเนินการอย่างล่าช้า มีทั้งความผิดที่โทษกันไปมาระหว่างบอร์ดและ นพ.สุวัช จนทำให้บริษัทวัคซีนจากประเทศญี่ปุ่นถอนความช่วยเหลือไป และยังมีความบกพร่องของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งมีหน้าที่ทำเรื่องเพื่อเสนอ รมว.สาธารณสุข นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ก็มีการตั้งคำถามในลักษณะที่น่าจะเป็นการถ่วงเรื่อง จนในที่สุดก็ยังไม่มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด จากความล่าช้าโดยเหตุอันไม่สมควรอย่างยิ่งนี้ หากเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่จะก่อความเสียหายร้ายแรงให้แก่ประเทศชาติและประชาชน
ด้าน นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า หลังจากยื่นหนังสือที่ DSI แล้ว ตัวแทนทั้ง 8 องค์กรจะไปยื่นหนังสือถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกครั้ง โดยจะนำหลักฐานเพิ่มเติมให้ คสช. พิจารณาปลดกรรมการที่เหลือทั้ง 2 คน คือ นพ.ณรงค์ และ นพ.สุวัช โดยเร็ว เพราะทั้งสองมีส่วนร่วมรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายของ อภ. โดยมีหลักฐานรายงานการประชุมที่ ผอ.อภ.ให้ลดการผลิตยาจำเป็นที่กำไรน้อยลงไป ชัดเจนว่า ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน และเราเสนอให้เร่งเลือกบอร์ดชุดใหม่ด้วยความโปร่งใสและพิจารณาบุคคลที่มีความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสม และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกิจการส่วนตัวหรือคนใกล้ชิด นอกจากนี้ จะต้องไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในกรรมการชุดปัจจุบันหรือที่ได้ลาออกไป
ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ตัวแทนชมรมเภสัชชนบท กล่าวว่า การก่อสร้างโรงงานยารังสิตที่ไม่คืบหน้า ขณะที่โรงงานผลิตยา ถนนพระราม 6 ต้องทยอยปิดปรับปรุง จะทำให้กำลังการผลิตยาของ อภ.ลดลงอย่างมาก โดยปัญหายาตัดจ่ายที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะยิ่งลุกลามออกไปจนกระทบระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของระบบยาของประเทศ โดยโรงพยาบาลจะเผชิญปัญหาการบริหารยา ประชาชนจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
“ขณะนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญปัญหาการขาดยารักษาโรคเรื้อรังที่จำเป็นหลายรายการ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือแจ้งผัดผ่อนไปทีละเดือน ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถบริหารจัดการยาได้อย่างเหมาะและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเปลี่ยนบริษัทยา ซึ่งมีสีและรูปลักษณ์ของยาเปลี่ยนไปทำให้ผู้ป่วยใช้ยาซ้ำซ้อน เกินขนาด หรือเกิดความสับสนไม่กล้าใช้ยาดังกล่าว” ภญ.ศิริพร กล่าว
สำหรับหนังสือที่จะมีถึงซูเปอร์บอร์ดที่กำกับดูแลด้านรัฐวิสาหกิจนั้น จะเสนอให้จัด อภ.เป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อประชาชน ต้องมุ่งเน้นบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางยาให้กับประเทศในการตั้งราคาและคิดกำไรที่สมเหตุสมผล ไม่มุ่งแต่แสวงหากำไร โดยมีบทบาทในการสร้างการเข้าถึงยาจำเป็นให้กับประเทศ เช่น ยากำพร้า ยาที่บริษัทเอกชนไม่สนใจผลิตเพราะได้กำไรน้อย ยาช่วยชีวิต เป็นต้น ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนายา มากกว่าการส่งเสริมการขาย เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งตนเองด้านยาได้ การกระจายยาควรให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพระหว่างการขนส่ง เช่น การควบคุมอุณหภูมิ และให้ความสำคัญกับการจัดส่งยาให้โรงพยาบาลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกล และควรมีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงในการขาดผลิตยา.
นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า หลังจากใช้เวลารวบรวมหลักฐานเกือบ 2 สัปดาห์ วันที่ 22 ก.ค.นี้ 8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพ จะไปยื่นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้รับพิจารณากรณีคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) ที่มี นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เป็นประธาน และ นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา เป็นผู้อำนวยการ อภ. โดยมี 2 ประเด็นให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษคือ 1.การก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตของ อภ. ที่ ผอ.อภ.และบอร์ด อภ.ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างและร่างทีโออาร์ใหม่เอื้อแก่บริษัทที่เคยทิ้งงาน และไม่ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ทิ้งงาน ทั้งที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยทักท้วง ทำให้ไม่สามารถสร้างโรงงานเสร็จทันกำหนด จนเกิดความเสียหายร้ายแรง คือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ราคาแพงจำนวนมาก เสื่อมเพราะไม่ได้ใช้งาน และทยอยหมดอายุรับประกันตามสัญญา เช่น เครื่อง Chiller (เครื่องทำความเย็น) ราคานับร้อยล้านบาท หมดประกันไปเมื่อ มิ.ย. 2557 นอกจากนี้ โรงงานของ อภ. ที่ถนนพระราม 6 จะต้องทยอยปิดปรับปรุงเพื่อให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนด GMP ตั้งแต่ ต.ค. 2557 การที่โรงงานยารังสิตไม่แล้วเสร็จ จึงไม่มีโรงงานรองรับการผลิตยา ทำให้เกิดปัญหาไม่มียาจำหน่ายให้โรงพยาบาล กระทบต่อผู้ป่วยทั่วประเทศ ที่สำคัญโรงงานยาที่รังสิต ต้องเสียค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ เดือนละหลายแสนบาทโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโรงงานเลย
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า 2.การก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลังจากบอร์ดปลด นพ.วิทิต อรรถเวชกุล จากตำแหน่ง ผอ.อภ. แต่กลับไม่มีการเร่งรัดเพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว ตรงกันข้ามกลับดำเนินการอย่างล่าช้า มีทั้งความผิดที่โทษกันไปมาระหว่างบอร์ดและ นพ.สุวัช จนทำให้บริษัทวัคซีนจากประเทศญี่ปุ่นถอนความช่วยเหลือไป และยังมีความบกพร่องของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งมีหน้าที่ทำเรื่องเพื่อเสนอ รมว.สาธารณสุข นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ก็มีการตั้งคำถามในลักษณะที่น่าจะเป็นการถ่วงเรื่อง จนในที่สุดก็ยังไม่มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด จากความล่าช้าโดยเหตุอันไม่สมควรอย่างยิ่งนี้ หากเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่จะก่อความเสียหายร้ายแรงให้แก่ประเทศชาติและประชาชน
ด้าน นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า หลังจากยื่นหนังสือที่ DSI แล้ว ตัวแทนทั้ง 8 องค์กรจะไปยื่นหนังสือถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกครั้ง โดยจะนำหลักฐานเพิ่มเติมให้ คสช. พิจารณาปลดกรรมการที่เหลือทั้ง 2 คน คือ นพ.ณรงค์ และ นพ.สุวัช โดยเร็ว เพราะทั้งสองมีส่วนร่วมรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายของ อภ. โดยมีหลักฐานรายงานการประชุมที่ ผอ.อภ.ให้ลดการผลิตยาจำเป็นที่กำไรน้อยลงไป ชัดเจนว่า ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน และเราเสนอให้เร่งเลือกบอร์ดชุดใหม่ด้วยความโปร่งใสและพิจารณาบุคคลที่มีความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสม และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกิจการส่วนตัวหรือคนใกล้ชิด นอกจากนี้ จะต้องไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในกรรมการชุดปัจจุบันหรือที่ได้ลาออกไป
ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ตัวแทนชมรมเภสัชชนบท กล่าวว่า การก่อสร้างโรงงานยารังสิตที่ไม่คืบหน้า ขณะที่โรงงานผลิตยา ถนนพระราม 6 ต้องทยอยปิดปรับปรุง จะทำให้กำลังการผลิตยาของ อภ.ลดลงอย่างมาก โดยปัญหายาตัดจ่ายที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะยิ่งลุกลามออกไปจนกระทบระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของระบบยาของประเทศ โดยโรงพยาบาลจะเผชิญปัญหาการบริหารยา ประชาชนจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
“ขณะนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญปัญหาการขาดยารักษาโรคเรื้อรังที่จำเป็นหลายรายการ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือแจ้งผัดผ่อนไปทีละเดือน ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถบริหารจัดการยาได้อย่างเหมาะและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเปลี่ยนบริษัทยา ซึ่งมีสีและรูปลักษณ์ของยาเปลี่ยนไปทำให้ผู้ป่วยใช้ยาซ้ำซ้อน เกินขนาด หรือเกิดความสับสนไม่กล้าใช้ยาดังกล่าว” ภญ.ศิริพร กล่าว
สำหรับหนังสือที่จะมีถึงซูเปอร์บอร์ดที่กำกับดูแลด้านรัฐวิสาหกิจนั้น จะเสนอให้จัด อภ.เป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อประชาชน ต้องมุ่งเน้นบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางยาให้กับประเทศในการตั้งราคาและคิดกำไรที่สมเหตุสมผล ไม่มุ่งแต่แสวงหากำไร โดยมีบทบาทในการสร้างการเข้าถึงยาจำเป็นให้กับประเทศ เช่น ยากำพร้า ยาที่บริษัทเอกชนไม่สนใจผลิตเพราะได้กำไรน้อย ยาช่วยชีวิต เป็นต้น ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนายา มากกว่าการส่งเสริมการขาย เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งตนเองด้านยาได้ การกระจายยาควรให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพระหว่างการขนส่ง เช่น การควบคุมอุณหภูมิ และให้ความสำคัญกับการจัดส่งยาให้โรงพยาบาลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกล และควรมีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงในการขาดผลิตยา.