ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การจับกุมมือยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่การชุมนุม กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ ในช่วงเย็นของวันที่ 23 ก.พ. 2557 ที่ผ่านมานั้น นับเป็นข่าวดีที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษได้ถึง 4 คน อันได้แก่ นายทวีชัย หรือวี วิชาคำ อายุ 39 ปี, นายสุนทร หรือ ทร ผิผ่วนนอก อายุ 49 ปี, นายสมศรี หรือ เยอะ มาฤทธิ์ อายุ 40 ปี และ นายชัชวาล หรือ ชัช ปราบบำรุง อายุ 45 ปี จากผู้ต้องหาทั้งสิ้นจำนวน 7 คนที่ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับ ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 3 ราย ได้แก่ นายสุขสันต์ ล้อมวงศ์ , นางกรรณิการ์ วงศ์ตัว และนายวิเชียร สุขภิรมณ์ นั้นเจ้าหน้าที่กำลังติดตามไล่ล่าเพื่อนำตัวมารับโทษตามกฎหมายต่อไป
ที่ว่านับเป็นข่าวดีเนื่องเพราะคดีนี้ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ นอกจากจะใช้อาวุธสงครามยิงถล่มกันกลางเมืองแล้วยังคร่าชีวิตเด็กๆที่ไร้เดียงสาไปถึง 2 ราย เป็นโศกนาฏกรรมที่นำมาซึ่งความเศร้าสลดของคนไทยทั้งประเทศ โดยลูกระเบิด M79ที่ตกลงบริเวณหน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ ส่งผลให้ น.ส.ฐิพาพรรณ สุวรรณมณี อายุ 59 ปี ,ด.ญ.พัชรากร ยศอุบล หรือน้องเค้ก อายุ 6 ปี และ ด.ช.กวิชญ์ ยศอุบล หรือน้องเคน อายุ 4 ปี เสียชีวิต นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกถึง 21 ราย แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือหลังเกิดเหตุคดีกลับเงียบหาย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่หือไม่อือ ทำราวกับไม่มีข้อมูลหลักฐานในการจับกุมตัวคนร้าย ทั้งที่บริเวณห้างบิ๊กซีและพื้นที่ย่านราชดำริรายล้อมไปด้วยศูนย์การค้าซึ่งแน่นอนว่ามีกล้องวงจรปิดกระจายอยู่หลายจุด
แต่พอกองทัพในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามารัฐประหารยึดอำนาจ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับสามารถติดตามจับกุมคนร้ายและนำตัวมารับโทษได้อย่างน่าอัศจรรย์
แม้แต่คุณพ่อของน้องเค้กและน้องเคน สองเด็กน้อยที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับความอำมหิตของกลุ่มคนที่ใช้ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ก็ยังเอ่ยปากว่าตื้นตันใจเพราะไม่เคยคิดว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้
นายทนากร ยศอุบล บิดาของ 'น้องเค้ก' ด.ญ.พัชรากร ยศอุบล และ 'น้องเคน' ด.ช.กรวิทย์ ยศอุบล หรือ น้องเคน ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้กล่าว ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และตำรวจ ที่เร่งรัดคดีและสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ พร้อมทั้งระบุว่าตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีการเร่งรัดและจับกุมคนร้ายได้
“ตั้งแต่เกิดเหตุ เวลาขับรถผ่านหน้าห้างบิ๊กซี จะรู้สึกสะเทือนใจ และเสียใจทุกครั้ง ผมและครอบครัวไม่มีความสุขเลย เหมือนฝันร้ายมาตลอด ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัว เพราะเป็นการเสียลูกไปทั้ง 2 คน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาผมถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ซึ่งผมอยากจะบอกว่า ผมเป็นประชาชนทั่วไปที่ทำมาหากินสุจริต มีความรักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์ และอยากเรียกร้องผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นทุกรายรวมทั้งผมเองและครอบครัว ซึ่งทุกวันนี้ผมต้องพาภรรยาไปหาหมอทุกวันเพื่อที่จะแก้หมัน เพื่อให้สามารถกลับมามีบุตรได้อีกครั้ง ”
ขณะที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ดูเหมือนจะยอมรับกลายๆ ว่าสามารถจับกุมคนร้ายได้เพราะนโยบายปราบปรามอาวุธสงครามของ คสช. ทั้งที่จริงๆ แล้วการจับกุมอาวุธสงครามผิดกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้ว ?
“ในทางคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอ จึงเชื่อว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าว เป็นคนร้ายที่ได้ร่วมกันก่อเหตุในคดีนี้จริง จึงได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับผู้ต้องหา ก่อนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว ซึ่งจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยเบื้องต้นยอมรับว่ายิงจากรถยนต์ซึ่งขณะกำลังวิ่งอยู่บนสะพานข้ามแยกประตูน้ำ ขณะที่จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า นายทวีชัย วิชาคำ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือยิง ในขณะที่คนอื่นรับหน้าที่ดูต้นทางเท่านั้น”พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านความมั่นคง กล่าวในการแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายในคดียิง M79 ที่ห้างบิ๊กซี ราชดำริ
นอกจากเสียงวิจารณ์เรื่องการจับกุมคนร้ายซึ่งหลายฝ่ายมองว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจแอบอิงกับอำนาจการเมืองจนยอมปล่อยให้มีการฆ่ากันกลางเมืองโดยไม่สกัดจับกุมแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาดราม่าทำงานกันเอาเป็นเอาตายแล้ว ประเด็นที่คนไทยกำลังจับตามองมากที่สุดในขณะนี้คือการสืบสาวไปถึงตัว “ผู้บงการ” ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าเหตุรุนแรงและการบาดเจ็บล้มตายของผู้ชุมนุมและประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเน่ตลอดช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.นั้นมาจากคำสั่งของกลุ่มการเมืองในระบอบทักษิณ ดังที่ 1 ในผู้ต้องหาคือ “นายชัชวาล” อ้างว่า “นายต้อม” ซึ่งเป็นลูกน้องของ “นายอารีย์ ไกรนรา” อดีตหัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ชื่อ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เป็นผู้จ้างวานให้ลงมือก่อเหตุ โดยได้รับค่าจ้างเป็นอาวุธปืน 2 กระบอก
งานนี้ นายอารีย์ถึงกับเต้นเร่าๆ และเข้าแจ้งความกับกองปราบปรามโดยแจ้งดำเนินคดีนายชัชวาลในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมทั้งประกาศชัดว่า จะดำเนินคดีต่อหนังสือพิมพ์รายวัน รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการ นสพ.แนวหน้า และ นสพ.ไทยโพสต์
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว และก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่นายชัชวาลพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยดังอึงมี่ขึ้นมาในทันที เพราะแม้จะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของรูปคดี แต่ตำรวจก็ไม่ควรออกตัวก่อน เนื่องจากอาจทำให้สังคมเข้าใจได้ว่า เป็นการตัดตอน เพราะนี่เป็นการรับสารภาพของผู้ต้องหาเอง
อีกกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่แพ้กันก็คือเรื่องการดูแลช่วยเหลือเหยื่อและครอบครัว เพราะดูเหมือนที่ผ่านมาจะมีแค่ราคาคุยฟุ้งฝอยพีอาร์ ดราม่าเรียกคะแนนนิยมแต่กลับไม่ได้ให้การช่วยเหลือจริงอย่างที่กล่าวอ้าง ชนิดที่ประกาศบนเวทีว่าจะให้เงินช่วยเหลือเท่านี้เท่านั้นแต่พอสอบถามไปยังครอบครัวของน้องเค้กน้องเคน นายทนากร ยศอุบล บิดาของเด็กทั้งสองกลับยืนยันว่าหลังจากการเสียชีวิตของลูกๆ เขาไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากนักการเมืองคนไหน หรือพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น
“รัฐบาลที่ผ่านมาบอกจะช่วยเหลือเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือแม้แต่กลุ่ม กปปส.ที่จะช่วยเหลือเงินก็ไม่ได้ตามที่เป็นข่าว ซึ่งลูกผมทั้งสองคนก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือความขัดแย้งทางการเมือง ขณะที่ผมได้ติดต่อไปยังนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ซึ่งดูแลเรื่องนี้ ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ผู้เสียหายรายอื่นได้รับเงินไปหมดแล้ว”พ่อน้องเค้ก น้องเคนระบายความในใจ
นี่คือความจริงที่สังคมต้องรับทราบ เพราะสะท้อนให้เห็นว่า เกมการเมืองและความจริงใจของทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และฝ่าย กปปส.ในการให้ความช่วยเหลือนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร
คสช.จะคืนความสุขให้กับน้องเค้กและน้องเคนอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์อย่าปล่อยให้น้องเค้ก น้องเคนต้องตายฟรีโดยไม่ได้รับการเยียวยาใดๆ