xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อิสรีย์แห่งวีระ งานเลี้ยงขอบคุณ “วีระบุรุษ” ที่ “คสช.” ไม่ปลื้ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บรรยากาศในงานเลี้ยงต้อนรับนายวีระ สมความคิด
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ขณะที่คนไทยกำลัง “ฟินฝุดๆ” กับการกลับมาของ “นายวีระ สมความคิด” เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน(คปต) หลังจากได้รับการพระราชทานอภัยโทษจากสมเด็จฯ นโรดมสีหมุนี ภายใต้การชี้นิ้วสั่งการของ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” และพร้อมใจกันรวมตัวจัดงานเลี้ยงต้อนรับ “วีรบุรุษ” ที่ราชตฤณมัยสมาคมหรือสนามม้านางเลิ้งภายใต้ชื่อVeera , A Free Spirit “อิสรีย์แห่งวีระ” เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา

ก็เกิดปรากฏการณ์ที่สร้างความงุนงงและตะลึงพรึงเพริดไปทั้ง 3 โลก เมื่อปรากฏว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ของ ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคำสั่งและประกาศเรียกนายวีระ สมความคิด พร้อมด้วย “เสธ.อ้าย-พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์” ประธานจัดงานเข้ารายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 ทันที

“ทาง คสช.ได้พยายามขอความร่วมมือให้บุคคลทั่วไปหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่เข้าข่ายที่สังคมอาจมองได้ว่า เป็นกิจกรรมทางการเมืองในช่วงนี้ เพราะล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจพบว่า มีบางบุคคลได้รวมกันจัดกิจกรรมในลักษณะที่อาจเข้าข่ายดังกล่าว ณ บริเวณสนามม้านางเลิ้ง โดยที่ไม่ได้มีการแจ้งบอกกล่าวหรือขออนุญาตจาก คสช.ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนี้ จึงจำเป็นจะต้องเรียกตัวเพื่อเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพบต่อไป เพราะถือว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ คสช.ได้ขอความร่วมมือไว้ ” เสธ.ต๊อด-พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษก คสช.อธิบายว่าทำไมถึงต้องเรียก พล.อ.บุญเลิศและนายวีระมารายงานตัว

คำถามสำคัญมีคำถามเดียวคือ ทำไม คสช.ถึงไม่ปลื้มกับการจัดงานเลี้ยงวีรบุรุษผู้ปกป้องขอบขัณฑสีมาแห่งราชอาณาจักรไทย

เพราะถ้า คสช.เห็นว่าการจัดกิจกรรมเพื่อต้อนรับการกลับคืนสู่มาตุภูมิของนายวีระเข้าข่ายการจัดกิจกรรมทางการเมือง การจัดงาน “รับประทานอาหารเย็นกับกำนันสุเทพ” ณ แปซิฟิกคลับ ย่านสุขุมวิทเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2557 ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกลุ่มคณะกรรมการประชาชนประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ซึ่งก็ต้องถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

แถมในงานวันนั้นนายสุเทพยังกล่าวพาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนว่า มีส่วนรู้เห็นในการวางแผนโค่นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอีกต่างหาก

ทว่า คสช.ก็มิได้เรียกนายสุเทพ รวมถึงแกนนำคนสำคัญของ กปปส.ที่เข้าร่วมงานวันนั้น เช่น นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก ฯลฯ เข้ารายงานตัวเหมือนเช่นที่ทำกับ พล.อ.บุญเลิศและนายวีระ

คสช.กำลังทำให้สังคมสับสนกับตรรกะที่สองมาตรฐานกับสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับนายวีระเพราะต้องไม่ลืมว่า นายวีระคือคนที่ติดคุกเพื่อรักษาแผ่นดินไทย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรถ้าจะมีการจัดการเลี้ยงต้อนรับอย่างสมเกียรติ

แน่นอน เรื่องนี้ย่อมมีที่มาที่ไป ซึ่งสุดท้ายก็จะกลับไปที่เรื่องเดิมก็คือ ใครเป็นผู้ที่ทำให้นายวีระต้องติดคุก

นายวีระถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวและนำไปกักขังในเรือนจำเปรย์ซอว์ในช่วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประทศ

ที่สำคัญที่สุดคือมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาของ คสช. เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น

มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พูดตรงกันว่า คณะของนายวีระลุกล้ำเข้าไปในแผ่นดินของนายกัมพูชา และมิได้พยายามหาทางช่วยให้ นาย วีระรอดพ้นจากการถูกจับกุมแต่ประการใด ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว “ถ้าจะทำก็ทำได้” เว้นเสียแต่ว่า “ไม่อยากทำ” เพราะต้องไม่ลืมว่า ตัวละครที่สำคัญ ณ เวลานั้นกับ ณ เวลานี้ล้วนแล้วแต่สามารถให้ความช่วยเหลือนายวีระได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ถ้าจะทำ

โดยเฉพาะพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ที่ชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

ไม่เช่นนั้นแล้วทำไม เที่ยวนี้ คสช.ถึงสามารถทำให้นายวีระได้รับพระราชทานอภัยโทษได้ จะอ้างว่าสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยน ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าใดนัก

พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าคณะ คสช.ในเวลานี้ก็เป็นผู้บัญชาการทหารบกในช่วงที่นายวีระถูกจับกุมมิใช่หรือ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า คสช.ไม่ต้องการให้นายวีระรื้อฟื้นความหลัง รื้อฟื้นถึงตัวละครตัวสำคัญในช่วงที่เขาถูกจับกุมตัว เพราะไม่สามารถตากหน้ายอมรับความผิดที่เกิดขึ้นในอดีตแม้สุดท้ายจะตัดสินใจ “ไถ่บาป” เพื่อลบล้างกับสิ่งที่กระทำพลาดไปแล้วก็ตาม

นอกจากนั้น เมื่อย้อนหลังตรวจสอบคำพูดของนายวีระที่ได้เปิดใจในวันงาน ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลังของคำสั่งรายงานตัวดังกล่าวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

นายวีระตอบผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามว่า ที่ผ่านมารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ประสานความช่วยเหลืออย่างเต็มที่หรือไม่ว่า...

“ส่วนตัวไม่ทราบต้องไปถามกับสองรัฐบาล แต่เท่าที่ดูคิดว่าทั้งสองรัฐบาลไม่ค่อยจริงใจในการช่วยเหลือ หากจริงใจช่วยเหลือน่าจะดำเนินการได้ดีกว่านี้ และรู้สึกว่า รัฐบาลในขณะที่ตนเองถูกควบคุมตัวไม่ทำหน้าที่ตั้งแต่ต้นจริงจัง ปล่อยให้ถูกจับตัวไปดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า รายละเอียดทั้งหมดจะเปิดเผยแน่นอน แต่ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม และจะเล่าตั้งแต่วินาทีแรกที่ไปตรงนั้น และใครเป็นคนริเริ่มความคิดดังกล่าว แต่ที่ยังไม่พูดตอนนี้เพราะไม่อยากให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงนโยบายปรองดองและการปฏิรูปที่ คสช.กำลังดำเนินการอยู่ เมื่อมีคนขอร้องผมไม่ให้พูดตอนนี้เพราะท่านอุตส่าห์ช่วยผม ขอแค่นี้ทำไมจะทำให้ท่านไม่ได้”

นายวีระประกาศชัดเจนว่ารัฐบาลและอภิสิทธิ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

และเมื่อ คสช.ไม่อยากให้นายวีระพูด ก็ย่อมมิอาจมองเป็นอื่นได้อีกเช่นกันว่า คสช.ไม่ต้องการให้นายวีระวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ต้องการให้เสียบรรยากาศการปรองดอง รวมถึงความจริงที่นายวีระจะนำออกมาเปิดเผยอย่างหมดเปลือก ซึ่งท่านที่ว่านี้คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ สังคมก็ย่อมรู้ว่าคือใคร

ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะขอให้นายวีระพูดถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เพราะเมื่อไล่เรียงตัวละครดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็จะเห็นได้ว่า มีใครบ้าง และถึงตอนนี้ก็ยังสามารถใช้คำว่า พวกเขายังคงมิได้สำนึกผิดแต่ประการใด

นายพนิช วิกิตเศรษฐ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นคนชักชวนนายวีระไปสำรวจเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาโดยความเห็นชอบของนายอภิสิทธิ์ ก่อนจะถูกจับกุมตัวและปล่อยตัวออกมาก่อนยังคงให้สัมภาษณ์ปกป้องทั้งตัวนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างเต็มที่

นายพนิชระบุชัดว่า หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวกลับมา ได้เข้าพุดคุยกับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งก็ได้บอกกับตนเองว่าได้พยายามทำทุกวิถีทางในการช่วยเหลือ นอกจากนี้ ตนเองยังได้พามารดาและน้องชายนายวีระไปพบกับนายอภิสิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ขณะนั้นสถานการณ์ตามแนวชายแดนมีความตึงเครียด มีการปะทะกันบริเวณปราสาทพระวิหาร หลังจากจากนั้น 3 เดือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยุบสภา

เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ที่ผ่านมา คสช.ก็มิได้ดำเนินการอะไรกับคณะบุคคลในรัฐบาลชุดนี้เท่าใดนัก นอกจากการควบคุมตัวประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็ปล่อยตัวไป และก็ไม่เห็นว่า วันนี้คนเสื้อแดงตั้งแต่เบื้องต่ำจนถึงเบื้องสูงจะอนาทรร้อนใจอะไรกับการทำรัฐประหาร ไม่ เคยมีการต่อต้าน มีเพียงกลุ่มอิสระที่มีได้ “แดง” ในคอกเท่านั้นที่หาญกล้าท้าสู้กับอำนาจอันล้นฟ้าของ คสช. เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข นายศรัณ ฉุยฉาย หรืออั้ม เนโกะ เป็นต้น

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ยิ่งตัวพ่อที่โลกทั้งโลกรู้ว่าอยู่เบื้องหลังอย่างนักโทษชายหนีคดียิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เพราะแม้แต่พาสปอร์ตก็ยังคงมิได้มีการยึดคืนให้เห็นแต่ประการใด

แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นคงต้องย้อนกลับไปดูคำให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.วินธัยในวันที่ 9 มิถุนายน 2557

“คสช.ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขประจำเครื่อง(ไอดีแอดเดรส” ของผู้สนับสนุน กปปส.ที่ยังมีการแสดงความเห็นทางการเมืองโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำความเข้าใจ ร่วมสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองสมานฉันท์....”

แปลไทยเป็นไทยก็คือ คสช.ไม่ต้องการให้มีการโจมตีระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่

เฉกเช่นเดียวกับ “แฟนเพจเสธ.น้ำเงิน” ซึ่งสังคมออนไลน์รับรู้กันดีกว่ามีข้อเขียนอันร้อนแรงและเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณชัดเจน

“เพื่อบรรยากาศของการสร้างความปรองดองให้เกิดโดยเร็ว คสช.จึงได้ดำเนินการตรวจสอบไอพีแอดเดรสของผู้สนับสนุน กปปส.ที่ใช้ชื่อเสธ.น้ำเงินที่ยังมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโจมตีฝ่ายตรงข้ามอยู่ โดยเฉพาะมีการระบุว่า คสช.จะทำลายระบอบทักษิณ ซึ่ง คสช.มีความไม่สบายใจว่าจะสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน เพื่อทำความเข้าใจและให้ร่วมสร้างบรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ จึงจะต้องดูแลผู้ที่เสนอความคิดเห็นทางไอทีอย่างใกล้ชิด”พ.อ.วินธัยให้สัมภาษณ์

นี่ไม่นับรวมถึงจดหมายของ “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” แกนนำคนสำคัญของ กปปส.ที่ใช้ชื่อว่า “ดร.เสรีเขียนถึงคุณครูตู่” ที่ถูกมือที่มองไม่เห็นตักเตือนและขอความร่วมมือจนจำต้องลบจดหมายฉบับดังกล่าวออกไปจากเฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังทำให้สังคมเข้าใจผิด และเข้าใจว่า เป็นเรื่องของคนสองกลุ่มทะเลาะกัน ถ้าสามารถทำให้ไม่ทะเลาะกันได้ ประเทศชาติก็จะเดินต่อไปได้ ซึ่งจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่สิ่งที่ปรากฏทำให้สามารถคิดไปในทำนองนั้นได้

เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า ด้วยเหตุอันใด คสช.ถึงต้องเรียกนายวีระ สมความคิด และพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ไปรายงานตัว เนื่องเพราะ คสช.ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งนั่นเอง แม้ความขัดแย้งนั้นสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมก็ตาม




นายวีระ สมความคิดและ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์หลังจากเข้ารายงานตัวกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
กำลังโหลดความคิดเห็น