ASTVผู้จัดการรายวัน – บี.กริม ฯเทคโอเวอร์ 2โรงไฟฟ้าของไซม์ ดาร์บี้ฯที่แหลมฉบัง กำลังผลิตรวม 163 เมกะวัตต์ มูลค่า 5.3 พันล้านบาท นับเป็นครั้งแรกในการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าของบี.กริมจากเดิมเน้นพัฒนาโครงการเอง หวังเป้าผลิตครบ 5,000เมกะวัตต์ใน 5ปีนี้ โดยจะเร่งหาโครงการใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มอีก 3พันเมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ มองโอกาสทั้งเมียนมาร์ ญี่ปุ่นและไทย พร้อมเข็นบริษัทลูก” บี.กริม เพาเวอร์” เข้าตลาดฯใน 2 ปีข้างหน้า
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) อันดับต้นของไทย เปิดเผยภายหลังการลงนามสัญญาซื้อโรงไฟฟ้า 2 โรง ที่นิคมฯแหลมฉบังจากบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ พีทีอี เอนเนอร์จี จำกัด โดยมีธนาคารซีไอเอ็มบีเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วานนี้ (16 มิ.ย.)ว่า การซื้อกิจการโรงไฟฟ้าจากไซม์ ดาร์บี้ฯทั้ง 2 โรง กำลังการผลิตรวม 163 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 5,300 ล้านบาท นับเป็นอีกก้าวหนึ่งในขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มบี.กริม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ 5,000 เมกะวัตต์ภายใน 2562 จากเดิมที่บริษัทฯเน้นการพัฒนาโรงไฟฟ้าเอง ทำให้การขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอาจไม่รวดเร็ว เพราะต้องขึ้นกับนโยบายรัฐในการรับซื้อไฟฟ้าด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าSPP ให้ครบทั้ง 16 โรงในปี 2562 คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 2,000 เมกะวัตต์ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งได้ดำเนินการโรงไฟฟ้าเสร็จไปแล้ว 6 โรง กำลังการผลิตรวม 733 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆจะทยอยแล้วเสร็จ โดยกำลังการผลิตใหม่ที่ต้องมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มอีก 3,000 เมกะวัตต์นั้น บริษัทฯก็มองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการใช้เงินลงทุนที่สูงในอนาคตอันใกล้นี้ บี.กริม มีแผนที่จะนำบริษัท บี.กริม. เพาเวอร์ จำกัด เข้าระดมทุนเสนอขายหุ้นIPOในตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 2ปีข้างหน้า รวมทั้งอาจนำโรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง 2 โรงขายเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์
(ABPIF)
นายฮาราลด์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทให้ความสำคัญในการลงทุนโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์ หลังจากบริษัทฯได้เข้าร่วมประมูลสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงขนาด 220 เมกะวัตต์ที่Myingan ประเทศเมียนมาร์ คาดว่าจะรู้ผลสรุปผู้ชนะประมูลในเดือนก.ย.นี้ นอกจากนี้ ยังได้มีการเจรจากับซูมิโตโม ซึ่งเป็นพันธมิตรของเดิมของบริษัท ที่จะเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้า กำลังผลิต 40 เมกะวัตต์ในนิคมฯติลาวา เฟส 2 เบื้องต้นอาจเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด เพราะพื้นที่ติดกับแม่น้ำทำให้การขนส่งถ่านหินทำได้สะดวกกว่าการใช้ก๊าซฯที่ยังมีความเสี่ยงจากปริมาณก๊าซฯที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย แต่ยังไม่มีข้อสรุป รวมทั้งหาโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่นอร์เวย์ด้วย ส่วนที่เวียดนามยังไม่มีแนวคิดที่จะลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม แม้ว่าบริษัทฯจะมีโรงไฟฟ้าอยู่ในนิคมฯอมตะ เบียนหัว กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์แล้ว เนื่องจากนโยบายการคำนวณค่าไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงทุก 1-2ปี ทำให้มีความเสี่ยงด้านการลงทุน
ส่วนในไทยนั้น บริษัทฯมีแผนจะลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม ที่จังหวัดมุกดาหาร เบื้องต้นจะผลิตไฟฟ้า 16 เมกะวัตต์ หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 40 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตในการลงทุนโครงการดังกล่าว คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 2 พันล้านบาทสำหรับโรงไฟฟ้าพลังลมขนาด 14เมกะวัตต์
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่าหลังจากเข้าร่วมกิจการโดยซื้อหุ้นทั้งหมดของไซม์ ดาร์บี้ เพาเวอร์ จำกัด บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ แอลพีซี เพาเวอร์ จำกัด และบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ โอ แอนด์เอ็ม (ประเทศไทย )จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ไซม์ ดาร์บี้ เอนเนอจี้ จำกัด ทำให้รายได้ของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์เติบโตขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เดิมในปีนี้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2.32 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.3 พันล้านบาทเป็น 1.52 พันล้านบาท โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วเพิ่มขึ้นจาก 6 โรง เพิ่มเป็น 8 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตจาก 733 เมกะวัตต์ เป็น 896 เมกะวัตต์
การตัดสินใจซื้อโรงไฟฟ้าจากไซม์ ดาร์บี้ฯนี้ เนื่องจากบริษัทมองเป็นการเพิ่มมูลค่า เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เครื่องจักรเหมือนกับโรงไฟฟ้าของบี.กริม. อยู่แล้ว ทำให้สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆร่วมกัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ระหว่างกัน และมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถธุรกิจไฟฟ้าเข้ามาเสริมด้วย อีกทั้งสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าดังกล่าวเหมาะสมมีลูกค้ารายใหญ่หลายราย ทำให้มีโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ แม้ว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เหลืออยู่ 8ปีและ 20 ปีตามลำดับ แต่ก็สร้างรายได้ให้บริษัทพอคุ้มค่า
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการซื้อโรงไฟฟ้านี้ เบื้องต้นจะกู้เงินระยะสั้น(Bridge Loan ) จากสถาบันการเงินทั้งจำนวน หลังจากนั้นจะให้สถาบันการเงินยื่นข้อเสนอแผนโปรเจ็กต์ ไฟแนนซ์มาให้บริษัทฯพิจารณาคัดเลือกในปลายปีนี้
ด้าน Dato’ Ir Jauhari hamidi รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ กล่าวว่า การขายโรงไฟฟ้าทั้ง 2แห่งในไทย ไม่ได้เป็นการถอนธุรกิจออกจากไทยแต่อย่างใด เป็นเพียงการเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อเน้น ธุรกิจหลัก เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังมีหลายธุรกิจที่อยู่ในไทย อาทิ ธุรกิจปาล์มน้ำมัน ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ในไทย อาทิ ฟอร์ด มาสด้า และบีเอ็มดับบิว เป็นต้น
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) อันดับต้นของไทย เปิดเผยภายหลังการลงนามสัญญาซื้อโรงไฟฟ้า 2 โรง ที่นิคมฯแหลมฉบังจากบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ พีทีอี เอนเนอร์จี จำกัด โดยมีธนาคารซีไอเอ็มบีเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วานนี้ (16 มิ.ย.)ว่า การซื้อกิจการโรงไฟฟ้าจากไซม์ ดาร์บี้ฯทั้ง 2 โรง กำลังการผลิตรวม 163 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 5,300 ล้านบาท นับเป็นอีกก้าวหนึ่งในขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มบี.กริม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ 5,000 เมกะวัตต์ภายใน 2562 จากเดิมที่บริษัทฯเน้นการพัฒนาโรงไฟฟ้าเอง ทำให้การขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอาจไม่รวดเร็ว เพราะต้องขึ้นกับนโยบายรัฐในการรับซื้อไฟฟ้าด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าSPP ให้ครบทั้ง 16 โรงในปี 2562 คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 2,000 เมกะวัตต์ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งได้ดำเนินการโรงไฟฟ้าเสร็จไปแล้ว 6 โรง กำลังการผลิตรวม 733 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆจะทยอยแล้วเสร็จ โดยกำลังการผลิตใหม่ที่ต้องมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มอีก 3,000 เมกะวัตต์นั้น บริษัทฯก็มองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการใช้เงินลงทุนที่สูงในอนาคตอันใกล้นี้ บี.กริม มีแผนที่จะนำบริษัท บี.กริม. เพาเวอร์ จำกัด เข้าระดมทุนเสนอขายหุ้นIPOในตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 2ปีข้างหน้า รวมทั้งอาจนำโรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง 2 โรงขายเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์
(ABPIF)
นายฮาราลด์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทให้ความสำคัญในการลงทุนโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์ หลังจากบริษัทฯได้เข้าร่วมประมูลสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงขนาด 220 เมกะวัตต์ที่Myingan ประเทศเมียนมาร์ คาดว่าจะรู้ผลสรุปผู้ชนะประมูลในเดือนก.ย.นี้ นอกจากนี้ ยังได้มีการเจรจากับซูมิโตโม ซึ่งเป็นพันธมิตรของเดิมของบริษัท ที่จะเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้า กำลังผลิต 40 เมกะวัตต์ในนิคมฯติลาวา เฟส 2 เบื้องต้นอาจเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด เพราะพื้นที่ติดกับแม่น้ำทำให้การขนส่งถ่านหินทำได้สะดวกกว่าการใช้ก๊าซฯที่ยังมีความเสี่ยงจากปริมาณก๊าซฯที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย แต่ยังไม่มีข้อสรุป รวมทั้งหาโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่นอร์เวย์ด้วย ส่วนที่เวียดนามยังไม่มีแนวคิดที่จะลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม แม้ว่าบริษัทฯจะมีโรงไฟฟ้าอยู่ในนิคมฯอมตะ เบียนหัว กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์แล้ว เนื่องจากนโยบายการคำนวณค่าไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงทุก 1-2ปี ทำให้มีความเสี่ยงด้านการลงทุน
ส่วนในไทยนั้น บริษัทฯมีแผนจะลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม ที่จังหวัดมุกดาหาร เบื้องต้นจะผลิตไฟฟ้า 16 เมกะวัตต์ หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 40 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตในการลงทุนโครงการดังกล่าว คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 2 พันล้านบาทสำหรับโรงไฟฟ้าพลังลมขนาด 14เมกะวัตต์
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่าหลังจากเข้าร่วมกิจการโดยซื้อหุ้นทั้งหมดของไซม์ ดาร์บี้ เพาเวอร์ จำกัด บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ แอลพีซี เพาเวอร์ จำกัด และบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ โอ แอนด์เอ็ม (ประเทศไทย )จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ไซม์ ดาร์บี้ เอนเนอจี้ จำกัด ทำให้รายได้ของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์เติบโตขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เดิมในปีนี้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2.32 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.3 พันล้านบาทเป็น 1.52 พันล้านบาท โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วเพิ่มขึ้นจาก 6 โรง เพิ่มเป็น 8 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตจาก 733 เมกะวัตต์ เป็น 896 เมกะวัตต์
การตัดสินใจซื้อโรงไฟฟ้าจากไซม์ ดาร์บี้ฯนี้ เนื่องจากบริษัทมองเป็นการเพิ่มมูลค่า เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เครื่องจักรเหมือนกับโรงไฟฟ้าของบี.กริม. อยู่แล้ว ทำให้สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆร่วมกัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ระหว่างกัน และมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถธุรกิจไฟฟ้าเข้ามาเสริมด้วย อีกทั้งสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าดังกล่าวเหมาะสมมีลูกค้ารายใหญ่หลายราย ทำให้มีโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ แม้ว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เหลืออยู่ 8ปีและ 20 ปีตามลำดับ แต่ก็สร้างรายได้ให้บริษัทพอคุ้มค่า
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการซื้อโรงไฟฟ้านี้ เบื้องต้นจะกู้เงินระยะสั้น(Bridge Loan ) จากสถาบันการเงินทั้งจำนวน หลังจากนั้นจะให้สถาบันการเงินยื่นข้อเสนอแผนโปรเจ็กต์ ไฟแนนซ์มาให้บริษัทฯพิจารณาคัดเลือกในปลายปีนี้
ด้าน Dato’ Ir Jauhari hamidi รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ กล่าวว่า การขายโรงไฟฟ้าทั้ง 2แห่งในไทย ไม่ได้เป็นการถอนธุรกิจออกจากไทยแต่อย่างใด เป็นเพียงการเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อเน้น ธุรกิจหลัก เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังมีหลายธุรกิจที่อยู่ในไทย อาทิ ธุรกิจปาล์มน้ำมัน ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ในไทย อาทิ ฟอร์ด มาสด้า และบีเอ็มดับบิว เป็นต้น