xs
xsm
sm
md
lg

อย่าให้สิ่งที่เห็นเป็นลิ้นไก่เมื่อเมืองไทยมองหารัฐบุรุษ

เผยแพร่:   โดย: ไสว บุญมา

มาถึงวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่คงหายใจได้ทั่วท้องมาเกินสองสัปดาห์แล้ว ผู้ที่หายใจได้คล่องไม่น้อยกว่าใครคงได้แก่ชาวนาที่รอเงินขายข้าวมานานจากรัฐบาลที่ถูกตราว่าเป็นโจร แต่การยึดอำนาจเป็นการคงไว้ซึ่งวงจรอุบาทว์ของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทยที่เกิดหลังการยึดพระราชอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี 2475 มีผู้มองว่า วงจรอุบาทว์นี้จะไม่มีทางแตกสลายไปตราบใดที่คนไทยยังไม่ถวายคืนพระราชอำนาจ หาก คสช.ทำลายวงจรอุบาทว์ได้ เมืองไทยจะได้ทั้งความยั่งยืนและรัฐบุรุษ

วงจรอุบาทว์เกิดจากการแย่งชิงและใช้อำนาจไปในทางฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ทั้งทหารที่ได้อำนาจมาด้วยการใช้กำลังและนักการเมืองที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งต่างมีประวัติของการใช้อำนาจไปในทางฉ้อฉลมายาวนาน การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยจึงล้มลุกคลุกคลานมากว่า 80 ปี การยึดอำนาจครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นเพราะสังคมไทยไม่มีทางออกที่ดีกว่าเมื่อรัฐบาลทำตัวเป็นโจรสุดหน้าด้านแม้คนไทยหลายล้านจะออกมาขับไล่อยู่หลายเดือนก็ตาม ร้ายยิ่งกว่านั้น รัฐบาลยังมีทีท่าว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการเข่นฆ่าคนไทยที่ออกมาขับไล่ตนตามครรลองของรัฐธรรมนูญอีกด้วย

จากวันยึดอำนาจและจากวันนี้ต่อไป ผู้ยึดอำนาจได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำลายวงจรอุบาทว์ด้วยการใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปเป็นงานใหญ่ซึ่งจะประกอบด้วยอะไรบ้างก็ยังไม่กระจ่างชัด หลายฝ่ายพยายามเสนอให้ทำตามมุมมองของตน ทางด้านผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ประกาศบางอย่างออกมาซึ่งชี้บ่งว่าตนกำลังคิดอย่างไรและอาจจะเดินไปทางไหน สิ่งเหล่านี้มีทั้งด้านที่มองได้ว่าไปในทางถูกต้องและด้านที่มองได้ว่าอาจสร้างปัญหาร้ายแรงต่อไปในอนาคต

การสลายกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมทำลายความมั่นคงของชาติพร้อมกับจับอาวุธร้ายที่เคยนำมาใช้ หรือพร้อมที่จะนำมาใช้ในการก่ออาชญากรรมจำพวกทำลายความมั่นคงเป็นงานชิ้นสำคัญที่สุด งานทางด้านนี้ผู้มีอำนาจมีความเชี่ยวชาญเป็นทุนอยู่แล้ว จึงทำได้ผลอย่างรวดเร็วสมกับที่ได้รับคำขอบคุณและสรรเสริญจากประชาชนส่วนใหญ่ที่หายใจได้ทั่วท้อง

การผ่าทางตันให้นำเงินหลายหมื่นล้านบาทไปชำระหนี้ที่ค้างชาวนาอยู่นานเป็นงานที่ควรได้รับการยกย่องไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองไหน ชาวนาจำนวนมากมีหนี้สินอยู่แล้ว การไม่ได้รับเงินจากการขายข้าวตามกำหนดเวลาสร้างปัญหาหนักหนาสาหัสโดยเฉพาะแก่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้ในการดำรงชีวิต ความโหดร้ายของแหล่งเงินกู้นอกระบบย่อมเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว เงินที่ชาวนาได้รับมีความสำคัญทั้งในด้านการปลดหนี้ ในด้านการดำรงชีวิตต่อไป และในด้านการลงทุนทำนาในฤดูที่เพิ่งมาถึง เงินจำนวนหลายหมื่นล้านนี้จะมีปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปซึ่งจะช่วยฉุดเศรษฐกิจให้ก้าวพ้นความถดถอยที่เกิดขึ้นในตอนต้นปี

อนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าเมื่อปี 2544 นโยบายประชานิยมชนิดเลวร้ายได้ถูกนำมาใช้ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก นโยบายจำพวกนี้มีลักษณะเป็นยาเสพติด เมื่อเริ่มแล้วเลิกยาก ฉะนั้น มันจึงถูกใช้ตลอดมาไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล โครงการรับจำนำข้าวเป็นประชานิยมเลวร้ายที่จะทำลายประเทศชาติเนื่องจากมันทำลายระบบตลาดและการปลูกข้าวซึ่งเป็นทั้งอาหารหลักและอาชีพหลักของคนไทยและทำรายได้ให้ประเทศจำนวนมหาศาล กระบวนการทำลายของนโยบายได้ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วทั้งในรูปของการขาดทุนราว 5 แสนล้านบาท การค้างชำระหนี้ชาวนาเป็นเวลานาน และการหายไปของข้าวสารเกือบ 3 ล้านตัน

อันที่จริง ข้าวสารเกือบ 3 ล้านตันคงมิได้หายไปไหน แต่มันไม่เคยมีอยู่ในโกดังมาตั้งแต่ต้น ตัวเลขนั้นเกิดจากการสร้างกันขึ้นมาเพื่อเบิกเงินไปเข้ากระเป๋าของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้นอันเป็นการโกงกันอย่างเป็นระบบ เรื่องนี้ประชาชนกำลังจับตามองว่าจะหาผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษได้หรือไม่ หากไม่มีนักการเมือง นักธุรกิจและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ถูกลงโทษ ประชาชนจะมองว่าผู้มีอำนาจไร้ความสามารถ หรือร้ายยิ่งกว่านั้น ได้ประโยชน์จากโครงการเลวร้ายนี้ หากการมองเช่นนั้นเกิดขึ้น ความเชื่อมั่นในผู้มีอำนาจจะลดลง หรืออาจหมดไปเลยก็ได้ การฉ้อโกงในโครงการรับจำนำข้าวเป็นส่วนหนึ่งของความฉ้อฉลอย่างกว้างขวางในสังคมไทยซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ของการพัฒนามานาน ฉะนั้น งานปฏิรูปชิ้นสำคัญอันดับต้นจะต้องอยู่ที่การลดความฉ้อฉลของคนไทยลงอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวเป็นประชานิยมเลวร้ายที่จะทำลายชาติฉะนั้น โครงการนี้จะต้องไม่มีต่อไปแม้การหาเงินมาจ่ายให้ชาวนาจะสร้างความนิยมในตัวผู้มีอำนาจอย่างมากก็ตาม และเนื่องจากนโยบายประชานิยมเลวร้ายมีผลในทางทำลายสังคมดังเป็นที่ปรากฏแล้วในหลายประเทศ การปฏิรูปจะต้องลดโครงการประชานิยมที่มีอยู่แล้วและหลีกเลี่ยงการนำประชานิยมเลวร้ายมาใช้ในนาคต

ในขณะนี้มีการพูดกันอย่างกว้างขวางเรื่องการปฏิรูปภาคพลังงาน ในการพูดกันนั้นมีแนวหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง นั่นคือ พลังงานราคาถูกเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ภาคพลังงานมีความสำคัญยิ่งและมีความสลับซับซ้อนที่จะต้องสะสางกันชนิดแบบถึงรากเหง้า แต่การตั้งเป้าที่จะเอาราคาถูกเป็นเกณฑ์ซึ่งได้กดดันจนเกิดการสั่งให้ราคากลับมายังที่เดิมหลังขึ้นไปได้เพียงวันเดียวอาจนำไปสู่นโยบายในแนวประชานิยมเลวร้ายและเป็นกับดักใหญ่ที่จะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกสารพัด คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมาได้ชี้ให้เห็นว่า ในเวเนซุเอลาน้ำมันชั้นดีราคาเพียงลิตรละ 35 สตางค์ แต่เวเนซุเอลากลับยิ่งพัฒนายิ่งจน

มาตรการใหม่ที่ชี้บ่งว่าอาจนำไปสู่ประชานิยมเลวร้ายได้แก่การให้ตรึงราคาสินค้า 250 รายการเป็นเวลานาน 6 เดือน ตามธรรมดา การตรึงราคาสินค้าในระบบตลาดเสรีเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงให้มากเนื่องจากมันบิดเบือนกลไกตลาดส่งผลให้เศรษฐกิจขาดประสิทธิภาพ ยกเว้นในกรณีที่มีภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้น ในขณะนี้เมืองไทยมิได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้น จึงไม่ควรทำ

มาตรการใหม่อีกอย่างหนึ่งได้แก่การรณรงค์ทำกิจกรรมนำสู่การปรองดองกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะการจัดงานรื่นเริงซึ่งคนไทยถนัดที่สุด ยิ่งกว่านั้น ยังดูจะมีการเน้นการประชาสัมพันธ์ให้การจัดงานนั้นเป็นข่าวสำหรับให้สื่อนำไปเผยแพร่ จริงอยู่ความปรองดองมีความสำคัญ แต่ถ้ามันนำไปสู่การทำกิจกรรมจำพวก “ขึ้นป้ายถ่ายรูปแล้วจบ” ซึ่งข้าราชการไทยเชี่ยวชาญ มันจะเป็นการผลาญงบประมาณแบบไม่คุ้มค่า ผู้แนะนำให้ทำกิจกรรมจำพวกนี้จะมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่อย่างไรไม่เป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา คำว่า “ปรองดอง” สำหรับนักการเมืองบางกลุ่มหมายถึงการยกโทษให้ผู้ก่ออาชญากรรมทำลายชาติ ฉะนั้น จึงหวังว่าผู้ให้คำปรึกษาจะไม่มีแนวคิดนี้แฝงอยู่

เมื่อพูดถึงผู้ให้คำปรึกษา เท่าที่ได้ฟังมาทั้งในระดับยอดไม้และในระดับรากหญ้าเกิดความกังขาอย่างกว้างขวางเรื่องการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา 10 คน จริงอยู่การแต่งตั้งที่ปรึกษาเป็นสิ่งที่น่าทำและตรงกับวาทกรรมอันประทับใจของหัวหน้า คสช.ที่ว่า “ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไร ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลงเท่านั้น” แต่เกิดข้อกังขาว่าคณะที่ปรึกษาจะนำความเชี่ยวชาญทางด้านไหนมาให้บ้าง ทั้งนี้เพราะครึ่งหนึ่งเป็นนายพลและอีกสามคนมีผลงานชวนน่าสงสัย

ในช่วงที่ผ่านมา คนไทยเอือมระอากับคำว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” เนื่องจากระบอบทักษิณ หรือ “เข่งห้าเหลี่ยม” เลวร้ายที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2544 มี “ญาติกาธิปไตย” หรือการเล่นพรรคเล่นพวกเป็นส่วนประกอบสำคัญ (อีก 4 ส่วนได้แก่ “อัตตาธิปไตย” ซึ่งหมายถึงคนคนเดียวสั่งการ “ธนาธิปไตย” ซึ่งหมายถึงเอาเงินนำหน้าไม่ว่าจะทำอะไร “โจราธิปไตย” ซึ่งหมายถึงใช้ความฉ้อฉลเป็นกลยุทธ์ และ “ประชานิยมาธิปไตย” ซึ่งหมายถึงใช้นโยบายประชานิยมเข้าสู่และครองอำนาจ คอลัมน์นี้ได้พูดถึงแล้วหลายครั้งรวมทั้งเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ด้วย) จริงอยู่นายทหารมีความเชี่ยวชาญบางด้าน แต่การแต่งตั้งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาถึง 5 ใน 10 คนดูจะเป็นการหนีไม่พ้นความคิดเก่า นั่นคือ เอาพวกเราไว้ก่อน ซึ่งแม้จะมีข้อดี แต่มีข้อเสียมากมายเมื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติ

ทางด้านคนที่มีผลงานชวนน่าสงสัยต้องย้อนไปดูถึงสมัยก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินเมื่อปี 2540 ซึ่งเมืองไทยล้มละลายต้องคลานไปหาไอเอ็มเอฟ ผลของการคลานไปกราบกรานไอเอ็มเอฟครั้งนั้นได้แก่การขายหุ้น ปตท.ในเวลาต่อมาซึ่งคนไทยคงยังเจ็บช้ำน้ำใจและไม่มีวันลืม วิกฤตร้ายแรงเกิดจากการกู้เงินจำนวนมากจากต่างชาติซึ่งทำได้ง่ายผ่านการเปิดเสรีทางการเงินที่มีกรุงเทพวิเทศธนกิจ (Bangkok International Banking Facility) เป็นกลไกสำคัญ แต่เงินที่กู้มานั้นส่วนใหญ่มิได้นำไปลงทุน หากใช้หมดไปกับการเก็งกำไรในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ผู้เก็งกำไรในตอนต้นๆ และผู้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บางคนร่ำรวยมหาศาล แต่การเก็งกำไรเหล่านั้นไม่นำไปสู่การได้เงินตราต่างประเทศเช่นเดียวกับการส่งสินค้าออก เมื่อถึงวันชำระหนี้ เมืองไทยไม่มีเงินตราพอ ส่งผลให้ประเทศล้มละลาย อาจจำกันได้ว่า ที่ปรึกษาที่ คสช. ตั้งขึ้นมาคนหนึ่งเป็นทั้งรัฐมนตรีพาณิชย์และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการเงินในตอนก่อนเกิดวิกฤติ 2540 บทบาทของเขาเป็นอย่างไรและมีผลประโยชน์ทับซ้อนจนสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติหรือไม่จึงเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง

อีกสองคนเป็นฟันเฟืองสำคัญของการก่อให้เกิดและขับเคลื่อนระบอบทักษิณซึ่งเลวร้ายอย่างไรคงไม่ต้องสาธยายมากนัก ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลากว่า 6 เดือนที่คนไทยนับล้านออกมาต่อต้านจนนำไปสู่การยึดอำนาจครั้งล่าสุดนี้ได้ถูกนำมาตีแผ่อย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่อยากจะเน้นให้เห็นเป็นพิเศษได้แก่คนหนึ่งเป็นนักกฎหมายชั้นแนวหน้า ทว่ามีบทบาทชวนน่าสงสัยในการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่น การฆ่าตัดตอนนับพันคนในสงครามปราบยาเสพติด การยิงเข้าไปในมัสยิดกรือเซะซึ่งทำให้คนไทยตาย 32 คน และการปราบปรามผู้ประท้วงที่ตากใบส่งผลให้ผู้ประท้วงตาย 85 คน

คนที่สองเป็นนักการตลาดแต่วางมาดเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำจึงได้ร่วมคิดร่วมทำโครงการต่างๆ ที่ล้มเหลวอย่างน่าอับอายและนิยมใช้ภาษาอังกฤษเป็นชื่อ เช่น Elite Card ซึ่งขาดทุนย่อยยับแต่ยกเลิกไม่ได้ ART ซึ่งลงทุนไปเกือบ 400 ล้านบาทแต่ยกเลิกไปเพราะไม่คุ้มค่าหลังทำมา 5 ปี และโครงการที่นำไปสู่การสร้างอาคารสำหรับการนั่งตบยุงทั่วประเทศชื่อ OTOP นากจากนั้น การเป็นนักการตลาดในคราบของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะมาแนะนำอะไรในการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งหัวหน้า คสช.และทหารต้องการยึดเป็นแนวทางพัฒนาประเทศเนื่องจากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทางที่ถูกต้องสำหรับเมืองไทยและโลกยุคใหม่ด้วย?

โดยสรุป เมื่อคนเหล่านี้เคยมีประวัติเป็นดั่งอสรพิษ คำแนะนำทางเศรษฐกิจ การต่างประเทศและกฎหมายจะไม่ทำให้การปฏิรูปประเทศไทยถูกวางยาพิษไปด้วยหรือ?

ทั้งหมดที่เขียนมานี้มีความหวังดีเป็นที่ตั้งและด้วยการมองว่าครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่เมืองไทยจะเดินเข้าทางแห่งความยั่งยืน หากทำสำเร็จ เมืองไทยย่อมโชคดีที่จะมีทั้งความยั่งยืนและรัฐบุรุษคนใหม่ คนไทยส่วนใหญ่เอาใจช่วยและคงภาวนากันอย่างทั่วถึงว่าในไม่ช้านี้บ้านเมืองจะมีรัฐบุรุษคนใหม่เกิดขึ้น ตรงข้าม หากทำไม่ได้ เมืองไทยย่อมเดินเข้าทางแห่งความล้มละลายหายนะ จะไปทางไหนขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะตัดสินใจถูกหรือไม่ในการเลือกมาตรการและนโยบายพร้อมกับการเลือกใช้คน
กำลังโหลดความคิดเห็น